จดหมายเหตุวัฒนธรรม กับจริยธรรมในการใช้เอกสาร

 |  การจัดการข้อมูลทางวัฒนธรรม
ผู้เข้าชม : 698

จดหมายเหตุวัฒนธรรม กับจริยธรรมในการใช้เอกสาร

ปัจจุบันข้อมูลหรือความรู้ได้กลายมาเป็น “ทรัพย์สิน” ประเภทหนึ่ง แต่ทรัพย์สินเหล่านี้แปรเปลี่ยนมาเป็นสิ่งมีค่าได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้ เหตุใดจึงต้อง มีการถกเถียงกันหรือกำหนดกฎหมาย ข้อบังคับเพื่อปกป้องรักษาสิ่งที่เป็นนามธรรมนี้ โดยพื้นฐานแล้วความรู้สามารถเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินได้สองทาง ประการแรกเมื่อความรู้นั้นเป็นความลับ และสองเมื่อความรู้นั้นได้รับรองตามกฎหมายว่าเป็นทรัพย์สินทางปัญญา เช่น ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร สิ่งประดิษฐ์เกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่ขึ้นทะเบียนแล้ว และเครื่องหมายการค้า1

ความรู้ที่เป็นความลับ ได้แก่ ความลับทางด้านการค้า ความรู้ความชำนาญด้านใดด้านหนึ่ง และพิธีกรรม ซึ่งความรู้เกี่ยวกับพิธีกรรมนี้เองที่กลายมาเป็นประเด็นถกเถียงในแวดวงวิชาการ โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำงานเกี่ยวกับการใช้เอกสารที่ไม่เปิดเผย (unpublished materials) ด้านมานุษยวิทยา ชาติพันธุ์วิทยา ภาษาศาสตร์ มานุษยวิทยา-ชีวการแพทย์ (Biomedical Anthropology)เป็นต้น

ประเด็นที่มีการพูดถึงคือ การควบคุมการเข้าถึงและใช้ความรู้ที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมของชนพื้นเมือง เสรีภาพในการเข้าถึงข่าวสารข้อมูลบางครั้งอาจส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมของผู้เป็นเจ้าของวัฒนธรรม แม้จะมีกฎหมายลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญาออกมา แต่กฎหมายดังกล่าว

ยังไม่สามารถปกป้องดูแลข้อมูลได้ทุกระดับชั้น ชนพื้นเมืองจึงเริ่มเข้ามาเรียกร้องสิทธิความชอบธรรมในการจัดการเอกสารที่บรรจุข้อมูลความรู้วัฒนธรรมของพวกเขา หลายสถาบันที่เก็บเอกสารจดหมายเหตุเกี่ยวกับวัฒนธรรมของชนพื้นเมือง จึงต้องเผชิญปัญหาและอุปสรรคในการจัดการเอกสารกลุ่มนี้

ทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงเป็น “ประเด็นร้อน” อะไรทำให้เจ้าของวัฒนธรรมมีความรู้สึกอย่างรุนแรงในการลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิ์ ทั้งๆ ที่เอกสารเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้ใช้แล้วและถูกทิ้งไว้ในคลังเอกสารมานานนับปี ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้เอกสารตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นมากน้อยเพียงใดและหาทางออกให้กับปัญหาเหล่านี้อย่างไร

» ความกังวลของเจ้าของวัฒนธรรม 

Michael F. Brown กล่าวถึงประเด็นนี้ในบทความเรื่อง “Cultural Records in Question : Information and Its Moral Dilemmas” เขาชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่ชนพื้นเมืองอินเดียนเผ่าโฮปิ (Hopi) ในสหรัฐอเมริกา รู้สึกวิตกกังวลกับเอกสารที่มีข้อมูลวัฒนธรรมของพวกเขาซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ที่คลังเก็บเอกสารของประเทศ ในปี 1994 ประธานของชนเผ่าโฮปิได้ยื่นจดหมายไปถึงพิพิธภัณฑ์และหอจดหมายเหตุหลายแห่งในอเมริกา เพื่อขอร้องให้ระงับการให้บริการวัตถุและเอกสารที่นักวิจัยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของวัฒนธรรม ประธานชนเผ่าโฮปิอ้างนโยบายรัฐที่มีต่อชนพื้นถิ่นตามรัฐบัญญัติการปกป้องและการส่งกลับวัตถุอันเนื่องด้วยพิธีกรรมฝังศพไปสู่ถิ่นเดิมของชนพื้นเมืองอเมริกันปี 1990 หรือ NAGPRA (The Native American Graves Protection and Repatriation Act of 1990) ที่ระบุให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องชี้แจงกระบวนการฝังศพ

สิ่งที่ใช้ในหลุมฝังศพ วัตถุที่เป็นสิ่งสำคัญทางศาสนา โดย กระบวนการพิจารณาคดีส่วนใหญ่ในอเมริกา ผู้อ้างสิทธิต้องแสดงหรือพิสูจน์หลักฐานด้วยเอกสารและใบรับรอง สิ่งนี้ทำให้ชนพื้นเมืองเกิดความลำบากใจที่จะต้องเปิดเผยหรือแสดงความรู้สัมพันธ์กับศาสนาและความเชื่อ เพื่อพิสูจน์ว่าวัตถุที่มีการอ้างสิทธิ์นั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประธานเผ่าโฮปิยังกล่าวอีกว่าแม้แต่แท่งไม้ที่ใช้ขุดดินก็มีพิธีกรรมในการใช้ ปัญหาที่สำนักงานอนุรักษ์วัฒนธรรมชนเผ่าโฮปิ (The Hopi Cultural Preservation Office) ต้องประสบคือการต่อสู้กับข้อกำหนดของ NAGPRA อันนำมาซึ่งความขัดแย้งรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นกับหอจดหมายเหตุในสหรัฐ อเมริกา แคนนาดา ออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ

ประเด็นที่ชนพื้นเมืองวิตกกังวล คือการควบคุมการใช้เอกสารที่มีข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย ภาพร่าง แถบบันทึกเสียง สิ่งประดิษฐ์ที่ใช้ในพิธีกรรม บันทึกทางมานุษยวิทยา และการถอดความวรรณกรรมบอกเล่า รวมไปถึงความไม่น่าไว้วางใจของสถาบันในการจัดการเอกสารจดหมายเหตุ นอกจากนี้ยังมีความขัดแย้งในเรื่องมุมมองของคำว่า “ข้อมูล” ที่ไม่สอดคล้องกัน กล่าว คือกฎหมายของสหรัฐอเมริกาและวัฒนธรรมประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมมองการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเป็นอิสระว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เพราะการเปิดเผยข้อมูลจะนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะ ประดิษฐกรรมทางวิทยาศาสตร์ ฯลฯ การเข้าถึงข้อมูลอย่างเสรีจึงดูราวกับว่าเป็นหลักพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยและเป็นกุญแจสำคัญของการเปิดสังคม แต่ในมุมมองของชนพื้นเมืองผู้เคยตกเป็นเมืองขึ้นมาก่อนไม่ได้คิดเช่นนั้น ตัวอย่างเช่น ในศตวรรษที่ 17 นักบวชชาวสเปนได้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาของชนพื้นเมืองอินเดียนในเปรู การเก็บข้อมูลในครั้งนั้นไม่ได้นำมาเก็บรักษาเพื่อคนรุ่นหลัง แต่เป็นไปเพื่อทำลายการบูชาทางศาสนา ภายหลังเมื่อได้รับอิสระในการนับถือศาสนาตามกฎหมายสหรัฐฯ ชนพื้นเมืองจึงพยายามปกป้องและรักษาความรู้ของตนเองด้วยการทำตัวให้เงียบที่สุดและแบ่งปันข้อมูลเมื่อจำเป็นเท่านั้น

การเห็นคนนอกเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากศาสนาของตัวเอง ทำให้ชนชาวอินเดียนมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าที่จะ กระตุ้นให้เกิดการควบคุมข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรม พิธีกรรมทางศาสนา สถานที่แสวงบุญ เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา เพลง ศิลปะของชนพื้นเมืองดั้งเดิม ความรู้เรื่องพืชที่เป็นยา ความหลากหลายของพืชพันธุ์ แม้แต่ลำดับขั้นของสายตระกูลของประชากรที่อยู่ห่างไกล สิ่งที่กล่าวมานี้ยังไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่มี อยู่ และยังผลให้บุคคลภายนอกเข้าถึงและนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้อย่างง่ายดาย

ภาพถ่ายและบันทึกภาคสนามของ Reverend H.R. Voth (1855-1931)
เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเผชิญกับคำถามที่คลุมเครือทางด้านศีลธรรมและจริยธรรมในการใช้เอกสารจดหมายเหตุ

Voth เป็นมิชชันนารีและนักชาติพันธุ์วิทยาที่เข้ามาอาศัยอยู่ในชุมชนชนพื้นเมืองโฮปิกว่า 20 ปี หน้าที่ของ Voth ในการเป็นทั้งมิชชันนารีและนักวิจัย ทำให้เห็นข้อขัดแย้งที่ว่าเป้าหมายของการเก็บข้อมูลเป็นไปเพื่อต้องการทำลายศาสนาหรือเป็นการอนุรักษ์ศาสนาด้วยบันทึกเอกสารเหล่านั้นกันแน่ แม้ภาพถ่ายและบันทึกการสำรวจเกี่ยวกับพิธีกรรมของชาวโฮปิจะเป็นบันทึกที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาและชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการศึกษาวัฒนธรรมของชาวโฮปิ (ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 1920) แต่ชาวโฮปิกลับต้องขมขื่นกับความสำเร็จของ Voth ที่ล่วงล้ำเข้าไปในพิธีกรรมของพวกเขา

Voth จึงถูกมองจากชาวโฮปิว่าเขาเป็นเหมือนพ่อมดที่เข้าไปขโมยความลับในพิธีกรรมและศาสนพิธีจำนวนมากของพวกเขา แม้ 50 ปีให้หลัง ผู้นำเผ่ายังพิจารณาว่าเอกสารบันทึกของ Voth ทำลายวัฒนธรรมของชาวโฮปิ โดยได้รับการยกย่องว่าเป็นข้อมูลความลับมีค่าต่อสาธารณชน ทั้งๆ ที่ข้อมูลดังกล่าวควรได้รับอนุญาตให้เผยแพร่โดยผู้เชี่ยวชาญทางศาสนาเท่านั้น การระงับใช้เอกสารต้นฉบับของ Voth แทบไม่ได้ช่วยอะไร เพราะรูปภาพและบันทึกภาคสนามของ Voth ได้มีการผลิตซ้ำและตีพิมพ์ครั้งแล้วครั้งเล่า

ในประเทศอื่นๆ ที่มีคนพื้นเมืองอาศัยอยู่เช่นในออสเตรเลีย ปรากฏการถกเถียงเกี่ยวกับข้อมูลทางศาสนาของชาวอะบอริจิน สังคมชาวอะบอริจินมีความวิตกกังวลในการถ่ายโอนความลับทางพิธีกรรมของตนไปยังชาวอะบอริจินกลุ่มอื่นๆ มากกว่าที่ข้อมูลเหล่านี้ถูกส่งไปยังกลุ่มที่ไม่ใช่ชาวอะบอริจิน ข้อมูลบางชุดจำกัดแม้กระทั่งสมาชิกที่เป็นผู้หญิง ปัจจุบันคลังเก็บเอกสารสาธารณะจึงจำกัดการเข้าถึงข้อมูลและวัตถุจัดแสดงที่มี “ความอ่อนไหว” ซึ่งหมายความว่าถึงแม้พวกเขาจะเป็นชาวอะบอริจินแต่ถ้าไม่ใช่สมาชิกของชุมชนที่เป็นเจ้าของเอกสารเหล่านั้น ก็จะถูกจำกัดการใช้เอกสารชุดนั้นเช่นกัน

Grace Koch นักจดหมายเหตุจากสถาบันอะบอริจินศึกษาแห่งออสเตรเลีย (The Australian Institute of Aboriginal Studies) ซึ่งเป็นสถาบันที่จัดเก็บเอกสารจดหมายเหตุประเภทแถบบันทึกเสียง วีดิทัศน์ รูปถ่าย และฟิล์มภาพยนตร์ รวมถึงเอกสารที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมของประชากรพื้นเมืองของออสเตรเลีย ชนเผ่าอะบอริจินและชาวเกาะที่อาศัยอยู่บริเวณช่องแคบตอเรส (Torres Strait)

Koch ได้ชี้ให้เห็นปัญหาในการบริหารจัดการหอ-จดหมายเหตุชาติพันธุ์ขนาดเล็ก และการให้บริการเอกสารจดหมายเหตุที่มีข้อมูลด้านวัฒนธรรม เขากล่าวว่าเอกสารประเภทภาพยนตร์และรูปภาพพิธีกรรมยังมีข้อจำกัดในการเข้าใช้ เนื่องมาจากเหตุผลทางด้านวัฒนธรรม เช่น ข้อมูลบางอย่างของชนเผ่าอะบอริจิน จะอนุญาตให้คนบางกลุ่ม บางเพศ หรือคนที่มีสถานะเฉพาะเท่านั้นสามารถเข้าดูข้อมูลได้ แต่ด้วยเทคโนโลยีการค้นคว้าข้อมูลด้วยอินเตอร์เน็ต ทำให้คนจากทั่วทุกมุมโลกเข้ามาที่สถาบันเพื่อใช้เอกสารจดหมายเหตุด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป ผู้ใช้จำนวนมากต้องการทำสำเนา ซึ่งจำนวนผู้ใช้ยิ่งมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งยากที่จะควบคุม

การร่ายรำของชาวอะบอริจินอธิบายถึงชีวิตของชุมชน ความสัมพันธ์ของมนุษย์ รวมไปถึงความผูกพันของผู้คนกับดินแดนและคนอื่นๆ ศิลปินชาวอะบอริจินรุ่นใหม่มักจะแสดงการร่ายรำนี้ในที่สาธารณะ อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงเก็บรักษาการแสดงจำนวนมากเป็นความลับเพื่อการประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ การวาดลวดลายต่างๆ บนร่างกายของผู้แสดงเกี่ยวเนื่องกับขนบธรรมเนียมประเพณี กฎหมายและความเชื่อ ชนพื้นเมืองหลายกลุ่มแสดงการร่ายรำนี้เพื่ออนุรักษ์ไว้ซึ่งวัฒนธรรมประเพณี และส่งต่อไปยังชาวอะบอริจินรุ่นต่อไป

(ภาพจาก http://www.digitalphoto.com.au/tag/indigenous_dance) ถ่ายโดย Ted Szukalski เดือนสิงหาคม ปี 2006

» ทางออกของผู้ดูแลเอกสาร 

จากกฎหมายการต่อต้านการเลือกปฏิบัติที่บังคับใช้ในสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ทำให้ผู้ดูแลคลังเอกสารส่วนใหญ่รู้สึกลำบากใจที่จะปฏิเสธการให้บริการที่อยู่บนเงื่อนไขของลักษณะเฉพาะทางชาติพันธุ์ เพศ หรือความเกี่ยวพันทางศาสนาของผู้ใช้ หอจดหมายเหตุบางแห่งจึงใช้หลักสามัญ สำนึกโดยการระบุลงไปอย่างชัดเจนว่าเอกสารชุดใดที่มีข้อมูลที่อ่อนไหว จะกำหนดให้นักวิจัยติดต่อกับชนเผ่าอินเดียน ก่อนจะใช้ นอกจากนี้จะใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการ เตรียมจัดนิทรรศการเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาไม่ได้บรรจุข้อมูลทางศาสนาที่ไม่เหมาะสมกับเด็กอินเดียนและคนที่ไม่มีความรู้หรือประสบการณ์

ทางออกที่น่าสนใจอีกประการคือการให้เจ้าของวัฒนธรรมเองเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการเอกสารของตนเอง ดังเช่นที่สถาบันอะบอริจินศึกษาแห่งออสเตรเลียได้พยายามทำอยู่ โดยสถาบันและคณะกรรมการร่วมระหว่างชนเผ่าอะบอริจินและชาวเกาะที่อาศัยอยู่บริเวณช่องแคบตอเรส สนับสนุนให้มีการศึกษาเพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของชนพื้นเมืองเกี่ยวกับกฎหมายและนโยบายที่จะมีผลต่อวัฒนธรรมและทรัพย์สินทางปัญญาของพวกเขา ดังนั้น ในปี 1989 จึงมีรัฐบัญญัติควบคุมการเผยแพร่เอกสารที่มีผลในทางลบต่อชาวอะบอริจินหรือชาวเกาะที่อาศัยอยู่บริเวณช่องแคบตอเรส ปัจจุบันจึงไม่ได้บันทึกวัสดุโสตทัศน์ใดๆ ลงในเว็บเพจของสถาบัน มีเพียงรายการวัสดุเท่านั้นที่สามารถเปิดเผยได้

สิ่งสำคัญในการจัดการเอกสารจดหมายเหตุอีกประการคือ ใบนำฝากเอกสาร (deposit form) แบบดังกล่าวต้องระบุสิทธิตามกฎหมายของสถาบันในการจัดการเอกสาร ผู้นำฝากต้องระบุอย่างชัดเจนว่าเมื่อมอบเอกสารชุดนั้นให้แล้ว เอกสารทั้งหมดจะเป็นทรัพย์สินของสถาบัน หรือชนพื้นเมืองยังคงมีสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา และอนุญาตให้ใช้เอกสารภายใต้เงื่อนไขใดบ้าง หากเอกสารใดที่สถาบันเป็นผู้เก็บรักษาได้รับการเผยแพร่และตีพิมพ์ ผู้ใช้ต้องติดต่อและเจรจาเงื่อนไขต่างๆ กับเจ้าของเอกสารโดยตรง

ด้วยเหตุนี้ สถาบันจึงมีนโยบายจ้างคนพื้นเมืองเข้ามาทำงาน เป้าหมายหลักของสถาบันคือ การเปลี่ยนจากสถาบันวิจัยและเป็นศูนย์เอกสารเกี่ยวกับชนพื้นเมือง ไปสู่การเป็นสถาบันวิจัยและจัดเก็บเอกสารที่จัดการโดยชนพื้นเมืองเพื่อชนพื้นเมือง ซึ่งหมายความว่าชนพื้นเมืองอะบอริจินและชาวเกาะที่อาศัยอยู่บริเวณช่องแคบตอเรส จะทำงานเคียงข้างไปกับชาวออสเตรเลียอื่นๆ ที่มีพื้นฐานทางวัฒนธรรมต่างกัน เพื่อให้ความสัมพันธ์ในการทำงานเป็นไปได้ด้วยดี สถาบันได้จัดการอบรมเจ้าหน้าที่ทุกคนให้เข้าใจความแตก ต่างของวัฒนธรรม โดยเชื่อว่าคนที่มีความแตกต่างทางด้าน วัฒนธรรม จำเป็นต้องเข้าใจพื้นฐานของแต่ละวัฒนธรรม พฤติกรรมที่ยอมรับได้ในวัฒนธรรมหนึ่งอาจไม่เป็นที่ ยอมรับในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง เจ้าหน้าที่ของสถาบันทั้งหมด จะต้องให้ความสำคัญกับความเป็นชนพื้นเมืองมากขึ้น

Craig Greene ผู้จัดการฝ่ายให้บริการเอกสารโสตทัศน์ของ AIATSIS (Australian Institute of Aboriginal and Torres Strait Islander Studies) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่เป็นคนพื้นเมืองอะบอริจิน

(ภาพจาก http://www.aiatsis.gov.au ถ่ายโดย Caroline Carmody)

ในส่วนของการให้บริการ ทศวรรษที่ผ่านมากลุ่มผู้ เข้ามาใช้หลักๆ คือกลุ่มคนพื้นเมือง บางคนรู้สึกผิดหวังที่ ได้รับการปฏิเสธเมื่อขอสำเนาเอกสารที่เกี่ยวกับวัฒนธรรม ท้องถิ่นของตน อาจเป็นเพราะมีข้อจำกัดในการใช้บางประการ ที่ระบุไว้ในเงื่อนไขการนำฝาก หรืออาจจะเป็นเพราะผู้ที่ดูแล เอกสารเป็นบุคคลจากวัฒนธรรมอื่น ดังนั้น สถาบันจึงแก้ ปัญหาเหล่านี้โดยการตั้งหน่วยงานที่เรียกว่า Access Unit ซึ่งเป็นหน่วยที่ให้บริการการเข้าใช้ข้อมูล เจ้าหน้าที่ในหน่วย นี้เป็นคนพื้นเมือง เมื่อมีการขอสำเนารูปภาพหรือแถบบันทึก ภาพและเสียง จะต้องติดต่อกับหน่วย Access Unit ก่อน การที่เลือกเจ้าหน้าที่ที่เป็นคนพื้นเมืองมาให้บริการเพราะ เห็นว่าคนพื้นเมืองมีความพึงพอใจที่จะติดต่อกับคนพื้น เมืองด้วยกันมากกว่า มีความเข้าใจในส่วนลึกของกันและ กันว่าต้องการอะไร และเจ้าหน้าที่ที่เป็นคนพื้นเมืองสามารถ อธิบายกฎและขั้นตอนต่างๆ ได้อย่างอิสระ และรู้ดีว่าจะไม่ เกิดการตีความการสื่อสารที่ผิดพลาด ส่วนงานที่เกี่ยวกับ การจัดเก็บและอนุรักษ์เอกสารจะเป็นหน้าที่ของ นักจดหมายเหตุ

» ข้อควรตระหนักในการใช้เอกสารจดหมายเหตุ 

จากตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้น เราจะเห็นถึงความ วิตกกังวลของเจ้าของวัฒนธรรมและเจ้าของแหล่งที่มา ของเอกสารเกี่ยวกับการเข้าไป ใช้ข้อมูลบางอย่างใน เอกสารเหล่านั้น และหลายๆ สถาบันที่เป็นผู้ดูแลรักษา เอกสารทางวัฒนธรรมเหล่านี้ได้พยายามหานโยบายใน การทำงานที่ยังคงให้บริการแก่สาธารณะแต่เคารพและ ปกป้องเจ้าของวัฒนธรรมอยู่ สำหรับคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเอกสารเหล่านี้ รวมไปถึงผู้ที่เข้าไปใช้เอกสารเหล่านี้ ควรมีความระมัดระวัง อย่างไรในการจัดการหรือใช้เอกสาร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา หรือข้อถกเถียงตามมาทีหลัง ที่ผ่านมาไม่ได้มีแต่กรณีการ ใช้ที่ละเมิดกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเกิดปัญหาด้านจริยธรรม ดังนั้นสิ่งที่ผู้ให้บริการและผู้ใช้พึงตระหนักคือ “กฎหมาย ควบคู่ไปกับจริยธรรม”

ที่เว็บเพจของ AIATSIS จะระบุหลักการ ในการใช้เอกสารจดหมายเหตุโสตทัศน์ ให้ผู้ใช้ทราบอย่างชัดเจน
พร้อมทั้งระบุ ข้อควรตระหนักทั้งในด้านกฎหมายและ จริยธรรม (ภาพจาก http://www.aiatsis.gov.au)

แบบฟอร์มการขอใช้เอกสารจดหมายเหตุบนเว็บเพจของ AIATSIS ที่ผู้ใช้ต้องระบุข้อมูลส่วนตัว และวัตถุประสงค์ในการใช้เอกสารอย่างชัดเจน

(ภาพจาก http://www.aiatsis.gov.au)

» กฎหมาย 

เมื่อผู้บริจาคมอบเอกสารให้หอจดหมายเหตุ ผู้บริจาคอาจเลือกที่จะรักษาสิทธิ์ไว้หรือมอบสิทธิ์ให้ผู้รับฝากทั้งหมด หากบุคคลนั้นเลือกที่จะรักษาสิทธิ์ไว้ เอกสารเหล่านี้จะได้รับการลงทะเบียนลิขสิทธิ์ภายใต้ชื่อของผู้บริจาคหรือเป็นลิขสิทธิ์ภายใต้ชื่อของผู้รับฝากก็ได้ ไม่ว่าจะเลือกแบบใดก็ตาม สำหรับกฎหมายของสหรัฐอเมริกา การใช้เอกสารอยู่ภายใต้เงื่อนไขทางกฎหมายที่เรียกว่า “fair use” หมายถึงเงื่อนไขที่สามารถใช้เอกสารซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของผู้ใดผู้หนึ่งโดยไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ โดยจะอนุญาตให้ใช้ได้เพื่อวัตถุประสงค์ในการวิจารณ์ ให้ความเห็น รายงานข่าว การศึกษา การทำวิจัย และการใช้อื่นๆ ที่ไม่ได้แสวงหาผลประโยชน์และกำไร

หอจดหมายเหตุส่วนมากจะให้ผู้ใช้อ่านและลงนามเอกสารที่ระบุเจตนาในการใช้เอกสารอย่างชัดเจน ผู้ใช้และผู้ให้บริการต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบตามกฎหมายของตนเอง รวมทั้งรักษาเอกสารให้ได้ตามเจตนานั้น แต่ในความเป็นจริง การควบคุมการใช้เอกสารให้เป็นไปตามนโยบายนับเป็นเรื่องยาก บางครั้งเอกสารได้เสียหายไปแล้วก่อนที่จะมีการควบคุมเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าผู้เป็นเจ้าของจะสามารถรักษาสิทธิ์ของตนได้ครอบคลุมข้อมูลทุกระดับภายใต้กฎหมายนี้เพียงใด ในอนาคตสิทธิ์บางอย่างเหล่านี้อาจกำหนดให้อยู่ในชุมชนดั้งเดิมหรืออยู่กับบุคคลที่อยู่ในชุมชนนั้นเท่านั้น

ถ้าหากยังไม่มีการจดลิขสิทธิ์ คลังที่รับฝากเอกสารจะเป็นผู้มีสิทธิ์ทั่วๆ ไปในการใช้เอกสารแบบที่เรียกว่า “fair use” ผู้รับฝากจะกำหนดนโยบายหรือแนวทางเฉพาะในการควบคุมเอกสารที่อยู่ในครอบครอง หรือกำหนดเงื่อนไขเฉพาะกับเอกสารแต่ละประเภท และต้องอธิบายข้อกำหนดเหล่านี้ให้ผู้ใช้ทราบอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามผู้ใช้เองต้องมีความรับผิดชอบในการถามรายละเอียดและเงื่อนไขทั้งหมดในการใช้เอกสาร ในกรณีที่ข้อกำหนดและเงื่อนไขต่างๆ ไม่มีความชัดเจน สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงคือ “จริยธรรม” ในการใช้เอกสาร

» จริยธรรม

จริยธรรมที่ปรับใช้กับเอกสารจดหมายเหตุนั้น บางส่วนเกี่ยวข้องกับการปกป้องตัวเอกสารทางด้านกายภาพ และบางส่วนเป็นการควบคุมเนื้อหาทางด้านความรู้

ด้านกายภาพ เอกสารที่เก็บรักษาอยู่ในหอจดหมาย เหตุนั้นมีความเปราะบางและควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ นักจดหมายเหตุควรตรวจสอบการใช้เอกสารของผู้ใช้ แต่ไม่ใช่การจับตามอง ด้วยเหตุนี้ผู้ใช้จึงไม่ควรทำลายหรือก่ออันตรายต่อเอกสารด้วยวิธีหนึ่งวิธีใด ไม่ว่าจะเป็นการขีดเขียนลงบนตัวเอกสาร พับหรือทำให้เกิดรอยยับ เอาปกออก ทำให้เกิดรอยนิ้วมือบนตัวเอกสาร หรือทำให้หมึกหรือดินสอเปื้อนบนเอกสาร การจัดระเบียบเอกสารเพื่อให้สะดวกสำหรับการใช้ของตนก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำ เอกสารจดหมายเหตุส่วนใหญ่มีนโยบายเฉพาะในการควบคุมการทำสำเนาหรือถ่ายภาพ

ด้านข้อมูลและเนื้อหา มีกฎหลายข้อที่กำหนดมาเพื่อปกป้องแหล่งอ้างอิงและข้อมูลที่เป็นความรู้ รวมถึงเพื่อควบคุมการใช้หรือการตีความโดยนักวิจัย ดังต่อไปนี้

  • ต้องให้ความดูแลแหล่งที่มาของเอกสารที่ไม่เปิดเผยเหล่านั้น การกล่าวอ้างควรระบุชื่อผู้ที่ทำงานภาคสนาม หมายเลขของชุดเอกสาร ชื่อเต็มและที่ตั้งของคลังที่เก็บรักษาเอกสาร หมายเลขของแฟ้มหรือหน้า การเข้าใช้ข้อมูลที่ไม่เปิดเผยจากงานวิจัยที่ทำเสร็จแล้ว ได้เช่นเดียวกับเอกสารที่เปิดเผยนั้นไม่ยุติธรรม
  • พึงตระหนักในลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญาของเจ้าของเอกสารดั้งเดิม ในที่นี้รวมถึงการให้ความชื่นชมโดยกล่าวอ้างแนวคิดหรือข้อมูลของเจ้าของ รวมไปถึงบุคคลในชุมชนที่นักวิจัยลงไปเก็บข้อมูล หากการกล่าวอ้างนั้นไม่มีผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวหรือความลับ
  • ให้ความเคารพในบริบทหรือสภาพแวดล้อมที่เก็บข้อมูลรวมไปถึงให้ความเคารพในข้อวิจารณ์เฉพาะที่อยู่ในบันทึก หมายถึงการคำนึงถึงการใช้ภาษาในยุคสมัยนั้นที่อาจจะมีความหมายหรือนัยที่แตกต่างจากปัจจุบัน ความรู้และอคติทางทฤษฎีของผู้ทำงานภาคสนาม ฯลฯ การไม่ได้คำนึงถึงตัวแปรด้านอื่นที่สำคัญ อาจนำมาซึ่งการตีความเอกสารที่ผิดพลาด
  • คำนึงถึงเอกสารที่มีความอ่อนไหวและใช้อย่างเหมาะสม การบริจาคเอกสาร บางครั้งไม่ได้พิจารณาว่าในขณะนั้นข้อมูลที่อยู่ในเอกสารอาจจะมีความอ่อนไหวหรือวันหนึ่งอาจจะกลายมาเป็นสิ่งที่อ่อนไหว เอกสารที่มีความอ่อนไหวทุกชิ้นควรจะได้รับการหารือกันภายในชุมชนหรือบุคคลหรือทายาทก่อนตัดสินใจนำไปใช้หรือตีความ
  • เคารพและรักษาไว้ซึ่งความลับ โดยเฉพาะถ้าหากเป็นส่วนหนึ่งในสัญญาที่นักวิจัยทำไว้กับบุคคลหรือชุมชน หลีกเลี่ยงการระบุบุคคลหรือเปิดเผยข้อมูลที่อาจจะเป็นอันตรายต่อเจ้าของข้อมูลหรือกลุ่มตัวอย่างหรือทายาท ข้อมูลบางอย่างมีลักษณะที่เป็นความลับอยู่แล้ว เช่น ข้อมูลทางด้านการแพทย์หรือสุขภาพ คนที่ทำงานกับกลุ่มที่ทำผิดกฎหมาย ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นความลับหรือมีการวิจัยที่สืบต่อมา ที่อาจเป็นเหตุให้เกิดความอับอายหรือเจ็บปวดทางด้านอารมณ์ของบุคคล ชุมชนหรือทายาทอาจจะเป็นคนที่ตัดสินใจเรื่องนี้ได้ดีที่สุด
  • เดินตามแนวทางของการใช้เอกสารแบบ “fair use”และข้อกำหนดอื่นๆ ที่ระบุตามกฎหมายลิขสิทธิ์หรือกำหนดโดยคลังเก็บเอกสาร

ในการใช้เอกสารจดหมายเหตุ ทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้จำเป็นอย่างมากที่จะต้องปฏิบัติตามแนวทางด้านกฎหมายและจริยธรรม เอกสารทุกชิ้นควรได้รับการปกป้องจากสิ่งที่เป็นอันตรายหรือสิ่งที่จะทำให้เอกสารเสื่อมสภาพ เอกสารที่ไม่เปิดเผยทุกชิ้นเป็นสิ่งที่ต้องกล่าวอ้างตามมารยาท เอกสารเหล่านี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญา ที่มีข้อมูลที่อ่อนไหวหรือเป็นความลับ โดยเฉพาะเอกสารจดหมายเหตุที่มีข้อมูลความรู้ด้านวัฒนธรรมของกลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่ง ผู้เก็บรักษาเอกสารและผู้ให้บริการพึงระมัดระวังว่าเอกสารจดหมายเหตุทางวัฒนธรรมบางอย่างที่มีข้อถกเถียงทางศีลธรรมควรให้บริการแก่สาธารณะหรือไม่ และเพื่อการดำรงอยู่ของสังคมชนพื้นเมือง ควรจำกัดการพูดอย่างเสรีหรือจำกัดเสรีทางด้านข้อมูลหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ควรมีแนวทางในการควบคุมที่ชัดเจน และผู้ใช้เอกสารต้องใช้โดยไม่แสวงหาผลกำไร สุดท้ายสิ่งพวกเราทุกคนควรตระหนักคือ “ความเป็นส่วนตัวทางวัฒนธรรม” และ “การให้ความเคารพเจ้าของวัฒนธรรม”.

» เอกสารอ้างอิง

Brown, Michael F, “Cultural Records in Question – Information and Its Moral Dilemmas,” Cultural Resource Management, Vol. 21, No. 6, 1998, p.18-20.

Chartrand, Harry Hillman, “Intellectual Property Rights in the Postmodern World,” The Journal of Arts Management, Law and Society, Vol. 25, No. 4, 1996, p. 306-319.

» เอกสารออนไลน์

Flower, Catherine S and Crum, Steven J, “Ethical

Use of Anthropological Records,” Guide to Preserving Anthropological Records, Available from http://www.nmnh.si.edu/naa/copar/bulletin10.htm

Koch, Grace, “Challenges to a Small Ethnographic

Archive,” Archives for the Future : Global Perspectives on Audiovisual Archives in the 21st Century, 2004, P. 170-182. Available


1 Harry Hillman Chartrand, “Intellectual Property Rights in the Postmodern World,” The Journal of Arts Management, Law and Society, Vol. 25, No. 4, 1996, p.310.

2 คือศาสตร์ทางมานุษยวิทยาด้านหนึ่งที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างชีวศาสตร์การแพทย์กับพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่ก่อให้เกิดภาวะทางด้านสุขภาพ โดยเน้นไปที่วิธีการทางชีววิทยาทางการแพทย์ ชีววิทยาทางพฤติกรรมและระบาดวิทยา เพื่อจะเข้าใจการกระจายและการแพร่เชื้อของเชื้อโรค กลไกลของเซลล์และโมเลกุลของการทำให้เกิดโรค และปฏิสัมพันธ์ของปัจจัยด้านชีววิทยาและวัฒนธรรมสังคม ที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ต่อสุขภาพ (ข้อมูลจาก http://biomedical.binghamton.edu/about.htm)

อ้างอิง : http://www.sac.or.th/databases/anthroarchive/backend/resource/file/20081005_ethicuseofculturalarchives.pdf

ป้ายกำกับ จดหมายเหตุวัฒนธรรม

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Share
Facebook Messenger Icon คลิกที่นี่เพื่อสนทนา