“นิทานในฐานะกลไกสร้างประชาคม: มุมมองจากนิทานพื้นเมืองเอเชีย”

 |  มรดกวัฒนธรรม และภูมิปัญญา
ผู้เข้าชม : 490

“นิทานในฐานะกลไกสร้างประชาคม: มุมมองจากนิทานพื้นเมืองเอเชีย”

           พ.ศ. 2519 ศูนย์วัฒนธรรมแห่งเอเชียยูเนสโกและศูนย์พัฒนาหนังสือของโตเกียว ร่วมกับประเทศสมาชิกยูเนสโก ได้จัดพิมพ์หนังสือนิทานของเอเชียเป็นหนังสือส่งเสริมการอ่านฉบับภาษาอังกฤษและภาษาหลักของประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย ได้แก่ บังคลาเทศ อินเดีย อินโดนีเซีย ไทย ลาว สิงคโปร์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย กัมพูชา เมียนมา อิหร่าน ญี่ปุ่น เกาหลี หนังสือส่งเสริมการอ่านชื่อ “นิทานพื้นเมืองของเอเชีย” ทั้งหมดมีหกเล่ม ประกอบด้วยนิทาน 48 เรื่อง ได้แก่ เรื่องกากับนกกระจอก (บังคลาเทศ) เรื่องเสด็จขึ้นสวรรค์ (อินเดีย) เรื่องนายมิตรกับศัตรู (อิหร่าน) เรื่องชายหนุ่มกับหนังสือ (เกาหลี) เรื่องท้าวคำผู้ดีดก้อนกรวด (ลาว) เรื่องทำไมเนินเขาจึงสีแดง (สิงคโปร์) เรื่องมะกะโทคนขยัน (ไทย) เรื่องของพลูกับหมาก (เวียดนาม) เรื่องข้าว (อินโดนีเซีย) เรื่องภรรยาในภาพวาด (ญี่ปุ่น) เรื่องหัวล้านสี่คน (กัมพูชา) เรื่องพระสุธนผจญภัย (มาเลเซีย) เรื่องหญิงชรากับน้ำเต้า (เนปาล) เรื่องภรรยากับเสือ (ปากีสถาน) เรื่องบุตรสาวชาวประมง (ฟิลิปปินส์) เรื่องตุ๊กแกกับเสือดาว (ศรีลังกา) เรื่องลูกชายช่างไม้ (อัฟกานิสถาน) เรื่องหุ่นทั้งสี่ (เมียนมา) เรื่องกระจงเจ้าปัญญา (อินโดนีเซีย) เรื่องกากับหมาจิ้งจอก (อิหร่าน) เรื่องของยูระชิมะ ทาโร (ญี่ปุ่น) เรื่องใครเป็นผู้หาเลี้ยง (ปากีสถาน) เรื่องบาดังผู้ทรงพลัง (สิงคโปร์) เรื่องมหาเทนะมุตตา (ศรีลังกา) เรื่องจอมกะล่อน (เวียดนาม) เรื่องจระเข้กับหมาใน (บังคลาเทศ) เรื่องหญิงชรากับกระต่ายป่า (กัมพูชา) เรื่องช้างเผือก (อินเดีย) เรื่องชายแก่คอพอก (เกาหลี) เรื่องเราไม่ใช่คนหรืออย่างไร (ลาว) เรื่องรายาเขี้ยวงอก (มาเลเซีย) เรื่องเข่งใบใหญ่ (เนปาล) เรื่องนิยายของเต๋า (ฟิลิปปินส์) เรื่องนายสุกกับนายดิบ (ไทย) เรื่องพราหมณ์กับผี (อินเดีย) เรื่องสามพี่น้องกับความฝัน (ฟิลิปปินส์) เรื่องพระราชากับไก่ (ปากีสถาน) เรื่องยันต์สามแผ่น (ญี่ปุ่น) เรื่องพระราชากับสามขโมย (มาเลเซีย) เรื่องเจ้าชายนีผู้ขมังธนู (เมียนมา) เรื่องน้องน้อยแมลงสาบผู้น่าเอ็นดู (อิหร่าน) เรื่องดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ที่น่ารัก (เกาหลี) เรื่องแพะกับสุนัขป่า (ปากีสถาน) เรื่องเด็กที่ถูกลักพา (อินโดนีเซีย) เรื่องสุนัขตัวที่อยากเป็นพระอาทิตย์ (ไทย) เรื่องนกเค้าแมวกับช้าง (เนปาล) เรื่องสิงหปุระนครราชสีห์ (สิงคโปร์) เรื่องแบ่งขนมห้าก้อนได้อย่างไร (ศรีลังกา) การเรียบเรียงนิทานพื้นเมืองของเอเชียครั้งนี้เป็นการผลิตซ้ำ การเล่าเรื่องที่เป็นความทรงจำของแต่ละสังคม โดยมีการเปลี่ยนวัฒนธรรมมุขปาฐะเป็นวัฒนธรรมลายลักษณ์ คณะทำงานแสดงถ้อยแถลงไว้ชัดเจนว่าได้รักษาเนื้อเรื่องเดิมไว้และยังคงรูปแบบนิทานไว้คือ เป็นเรื่องเล่าง่าย ๆ มีทั้งความจริงของมนุษย์และมีทั้งเรื่องสมมติที่เป็นจินตนาการ นิทานทุกเรื่องมีความเก่าแก่เดิม แม่ ย่า ยาย เล่าสู่ลูกหลานฟังกันมานับร้อยปี บางเรื่องแพร่กระจายสู่ดินแดนอื่นหลายทิศทาง จึงมีบางส่วนของเรื่องผิดแผกจากเดิมบ้าง

           จุดมุ่งหมายของการเรียบเรียงพิมพ์นิทานพื้นเมืองของเอเชียคือ ผลิตวรรณกรรมที่ดีให้เด็กเอเชียและทั่วโลก เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีงามระหว่างชาติ ระหว่างผู้คนเพื่อนำไปสู่การสร้างสรรค์สันติภาพในการอยู่ร่วมกัน นิทานจึงมีบทบาทสื่อสารทางสังคมทั้งภายในชุมชนทางภาษาและข้ามภาษา นอกจากนี้คณะทำงานได้ใช้นิทานเพื่อสนองนโยบายทางการเมืองระดับภูมิภาคคือ การสร้างประชาคมอาเซียนในด้านสังคมและวัฒนธรรม

           กระบวนการผลิตวรรณกรรมเรื่องนี้ผู้แทนของแต่ละประเทศมีบทบาทในการเล่านิทาน มีบทบาทในการแปล และมีบทบาทในการวาดภาพประกอบในฐานะเจ้าของนิทานและผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมการกลางทำหน้าที่บรรณาธิการฉบับภาษาอังกฤษชื่อ “Folk Tale from Asia” นับว่าคณะทำงานได้เล็งเห็นว่านิทานทั่วโลกเป็นผลผลิตทางปัญญาและจินตนาการของมนุษย์ นิทานเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมของแต่ละวัฒนธรรมที่ได้รับการสืบทอดเพราะมีความไม่ธรรมดา

           มีความน่าสนใจทางความคิดและจินตนาการ เลวี่-สเตราส์ นักภาษาศาสตร์แนวโครงสร้างนิยม เชื่อว่า ภาษานอกจากจะเป็นเครื่องมือสื่อสารในชีวิตประจำวันของมนุษย์แล้วยังเป็นเครื่องมือในการสื่อความหมายที่เชื่อมโยงกับเรื่องราวทางสังคม โดยเฉพาะตำนานปรัมปราเป็นเรื่องเล่าที่แสดงออกถึงกระบวนการคิดของชนดั้งเดิม นิทานพื้นเมืองของเอเชียมีทั้งตำนาน นิทานชีวิต นิทานตลกล้อเลียนสังคม

           การยกระดับนิทานปากเปล่าสู่นิทานลายลักษณ์มีการปรุงแต่งรูปแบบการเล่าสลับการสนทนาและมีการวาดภาพประกอบ อย่างไรก็ตามลักษณะที่คงความเป็นนิทานคือ การบอกเล่าอย่างให้อารมณ์และจินตนาการที่คมคายลึกซึ้งมหัศจรรย์ โดยภาพรวมนิทานทั้ง 48 เรื่อง มีรูปแบบผสานเป็นนิทานชีวิตของสามัญชนที่เสนอความสัมพันธ์ระหว่าง ภาวะสามัญกับพลังอำนาจที่เหนือกว่า ภาวะสามัญแสดงผ่านชีวิตผู้ใช้แรงงานเลี้ยงชีวิต เช่น คนเลี้ยงช้าง ชาวประมง ทาสชาย ชายแก่คอพอก น้องน้อยแมลงสาบ เด็กที่ถูกลักพา ส่วนพลังอำนาจเหนือกว่าได้แก่ พระราชา รายาเขี้ยวงอก พราหมณ์ ท่านที่ปรึกษา เสนาบดี เจ้าชาย

           ภาพชีวิตที่น่าสนใจได้แก่

           “วันนี้พี่น้องสองชายจูงควายออกไปทำงานในทุ่งนา พอหมดวันก็แบกไถกับคราดกลับบ้าน”

(เวียดนาม)

           “ที่นี่มีหญิงชราคนหนึ่ง แกมักจะเข้าไปในตลาดของหมู่บ้านเพื่อซื้อกล้วยไปขายแก่เพื่อนบ้านหากำไรบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ”

(กัมพูชา)

           นอกจากภาพชีวิตของสามัญชนและภาพของผู้มีอำนาจ นิทานแต่ละเรื่องเสนอภาพการต่อสู้ การต่อรองของชีวิตที่เป็นคู่ตรงข้ามไว้อย่างน่าพิจารณาใคร่ครวญ


การต่อรองการต่อสู้ในนิทานพื้นเมืองของเอเชีย

           นิทานพื้นเมืองของเอเชียหลายเรื่องแสดงความเชื่อมโยงระหว่างวิธีคิดวิถีชีวิตแบบเก่ากับวิธีคิดวิถีชีวิตแบบใหม่โดยนิทานเสนอความคิดคู่ตรงข้ามที่ดำรงอยู่ในโลกและสังคมหลายประเด็น


ประเด็นแรก ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติแวดล้อม

           นิทานเสนอความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติแวดล้อมสองรูปแบบ คือ มนุษย์กระทำรุนแรงต่อธรรมชาติและธรรมชาติกระทำรุนแรงต่อมนุษย์ ทั้งสองฝ่ายไม่อาจรักษาความสัมพันธ์ที่เคยดีที่มีต่อกันไว้ได้ สอดคล้องกับแนวคิดของ Tim Cressmell ที่กล่าวว่า “เมื่อเรามองโลกในฐานะที่เป็นโลกแห่งสถานที่อันหลากหลาย เราจะมองสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไป เราจะมองเห็นความยึดติดและความเชื่อมโยงระหว่างคนและสถานที่ซึ่งมีทั้งความหมายและประสบการณ์ที่มนุษย์มอบให้กับพื้นที่และพื้นที่มอบให้กับมนุษย์ ปฏิสัมพันธ์ดังกล่าวจะช่วยให้เข้าใจวิสัยของมนุษย์ และวิสัยของสภาพแวดล้อม เช่น นิทานของฟิลิปปินส์เสนอจินตภาพของมนุษย์ ฟ้า ดิน ดวงดาว ไว้ว่า “เรื่องเกิดขึ้นสมัยที่ฟ้ายังอยู่ใกล้ เกือบจะติดดิน ใกล้จนท่านไม่ต้องยืนเขย่งปลายเท้าก็อาจเอื้อมมือแตะฟ้า ในครั้งนั้นมีมนุษย์อยู่คนเดียวในโลกเป็นผู้ชายชื่อว่าเต๋า แต่เต๋ามีเพื่อนดีจริง ๆ อยู่สองคนคือฟ้าและดิน....” แต่แล้วในวันอันสดใสสามสหายเกิดทะเลาะอย่างรุนแรง เต๋ากำลังตำข้าวและเหน็ดเหนื่อยมากแขนของเขาต้องยกขึ้น ๆ ลง ๆ เสียงกระแทกสากตำครกดัง ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ “เฮ้อ ฉันเบื่อกับงานหนักนี่เหลือทนแล้ว” ดินร้องถาม “บ่นอะไรเล่าก็มันงานที่เธอต้องทำนี่นา หรือว่าไมใช่” ฟ้าสอดแทรกเข้ามา “แต่มันก็เป็นงานอย่างเดียวเท่านั้นที่เธอต้องทำ ไม่ใช่เทวดาหรอกหรือที่ช่วยปกป้องธัญญาหารของเธอให้ได้ข้าวสีทองมากมายอย่างนี้” เต๋าตำข้าวต่อไปแรงขึ้นแรงขึ้น ปากก็บ่นพร่ำไปไม่หยุดหย่อน ไม่ช้าฟ้าก็หมดความอดทนจึงตะเบ็งเสียงขึ้นว่า “หยุดคร่ำครวญเสียทีเถอะน่า เดี๋ยวฉันก็จะสั่งไต้ฝุ่นมาให้เท่านั้นเอง” ดินก็แผดเสียงขึ้นบ้างว่า “ถ้าเธอไม่หยุดบ่นฉันจะทำให้แม่น้ำแห้งขอดหมดเลย และให้แผ่นดินไหวเขย่าสะเทือนอีกด้วย” ข้อวิวาทระหว่างมนุษย์ ฟ้า ดิน จบลงด้วยฟ้าสูงขึ้น และดินก็ต่ำลง มนุษย์เสียมิตรที่ดีไป ฟ้าและดินในนิทานของเต๋าจึงเป็นแบบของความสัมพันธ์เชิงลบ เชิงบวก ที่สามารถลงโทษมนุษย์ตามกรรมที่กระทำรุนแรงด้วยกาย วาจา ใจ ต่อธรรมชาติ ดังปรากฏการณ์โลกร้อนและภัยธรรมชาติที่รุนแรงในปัจจุบัน

           เมื่อศึกษาสภาพภูมิศาสตร์โดยพิจารณาเฉพาะส่วนอุษาคเนย์หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกอบด้วยเทือกเขาในคาบสมุทรอินโดจีน เขตที่ราบลุ่มแม่น้ำและเขตหมู่เกาะ สภาพแวดล้อมของกลุ่มประเทศอาเซียนอันได้แก่ อินโดนีเซีย เมียนมา ไทย เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ลาว กัมพูชา สิงคโปร์ บรูไนและติมอร์ สภาพภูมิศาสตร์จำแนกเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มประเทศในเขตแผ่นดินใหญ่ได้แก่ เมียนมา ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ส่วนกลุ่มที่สองเป็นกลุ่มประเทศในเขตคาบสมุทรและหมู่เกาะ ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย บรูไน และติมอร์

           เมื่อพิจารณาสภาพภูมิทัศน์ในนิทานพื้นเมืองของเอเชียด้วยแนวคิดด้าน “พื้นที่” หรือ “space” นิทานกล่าวถึงพื้นที่ทางกายภาพ (Physical Space ซึ่งเรียกว่า First Space) พื้นที่ทางจิตวิญญาณ (Spiritual Space หรือ Second Space) พื้นที่ทางสังคม (Social Space หรือ Third Space) พื้นที่ทั้งสามอย่างเป็นจินตนาการเสมือนจริงที่นิทานได้บอกเล่าให้ผู้อ่านผู้ฟังนิทานได้สัมผัสกับกลิ่นอายของแผ่นดินแผ่นน้ำ ความงดงามของภูเขาที่มีหิมะปกคลุมยอด แม่น้ำที่ไหลโกรก มหาสมุทรฟ้าสีคราม สรรพสัตว์สวยงามซึ่งอาศัยอยู่ในป่าดง พเนจรร่อนเร่ไปตามทุ่งราบ ดังตัวอย่าง

           “...มีอยู่คราวหนึ่ง ที่ทะเลรอบ ๆ เกาะสิงคโปร์เต็มไปด้วยปลาฉนาก คลื่นลูกใหญ่ ๆ ซัดพามันเข้ามา จนกระทั่งประชาชนไม่อาจลงไปว่ายน้ำทะเลหรือแม้แต่เดินเล่นริมน้ำได้ เพราะกลัวว่าปลาอันร้ายกาจนี้จะทิ่มแทงเอา ชาวประมงก็ทำมาหากินเลี้ยงชีพไม่ได้ เพราะปลาฉนากทำลายแหฉีกขาดหมด และเจาะเรือเสียหายด้วย”

(สิงคโปร์)

           “...อ่าวลิกาเยนที่จังหวัดปานกาซีเนียนนั้นสวยงามยิ่งนัก แต่ข้างใต้ความงามอันแวววาวระยิบระยับนั้นมีมหันตภัยซ่อนอยู่ ในอ่าวนี้มีวังน้ำวน ซึ่งจะดูดร่างของผู้ที่ว่ายน้ำจมลงก้นทะเลทันที”

(ฟิลิปปินส์)

           ส่วนพื้นที่ทางจิตวิญญาณนั้น นิทานบอกเล่าจินตนาการเรื่องจักรวาลอันศักดิ์สิทธิ์ สำหรับคนบนคาบสมุทรใหญ่ ผืนดิน ผืนฟ้า เทวดา พระเจ้า พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว คือเพื่อนที่แสนดีที่ถูกมนุษย์ทำร้ายและทำลาย ส่วนคนบนเกาะจินตนาการเรื่องจักรวาล คือ หมู่บ้านชาวประมง ชีวิตใต้ทะเล เทพเจ้าสมุทร ธิดาเจ้าสมุทร เทวดาประจำอ่าว ซึ่งมีความสัมพันธ์ฉันเครือญาติ ฉันสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน นิทานบางเรื่องยืนยันว่า พระราชาต้องปกครองสรรพสัตว์สรรพสิ่งเช่นเดียวกับมนุษย์ และต้องให้ความเป็นธรรมแก่ชีวิตพืชและชีวิตสัตว์ดังความว่า

           “พระราชาองค์นี้มีความยุติธรรมและเป็นกษัตริย์ที่มีธรรมะเที่ยงตรงเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ปกครองราษฎร และสรรพสัตว์ทั้งหลายเหมือนกับว่าเขาเหล่านั้นเป็นบุตรของพระองค์”

(พม่า)

           เพราะเหตุใดนิทานจึงเสนอมโนทัศน์แบบให้ธรรมชาติสำคัญเหนือมนุษย์ แสดงถึงความหลากหลาย ชีวีทัศน์ที่ดำรงอยู่ในสังคมว่า มนุษย์มองตนและมองสิ่งอื่นอย่างไร นิทานแสดงจุดยืนว่าแท้จริงสรรพสิ่งเชื่อมโยงพึ่งพาอาศัยกันโดยเฉพาะมนุษย์กับธรรมชาติ การจัดการบ้านเมืองจึงต้องเน้นการให้ความเป็นธรรมต่อธรรมชาติด้วย


ประเด็นที่สอง การต่อสู้

เพื่อให้ข้าวเป็นสมบัติของมหาชน

           นิทานพื้นเมืองของเอเชียหลายเรื่องหลายกลุ่มชาติพันธุ์ได้ยืนยันถึงความสำคัญของวัฒนธรรมข้าว ซึ่งเป็นความโดดเด่นของประเทศกลุ่มอาเซียน ในบทบาทผู้ผลิตอาหารเลี้ยงพลเมืองโลกรายใหญ่ที่สุด นิทานหลายเรื่องยกระดับข้าวให้เป็นชีวิตของเทวี ชีวิตของพระราชาและผลงานสรรค์สร้างของพระผู้เป็นเจ้า เทวี เทวดา ได้เสียสละชีวิต เลือดเนื้อ วิญญาณมาก่อเกิดเป็นเม็ดข้าว และมอบให้พระราชา เทวดา มนุษย์ รักษาข้าวให้พ้นภัยจากพ่อค้าชั่ว และสัตว์ป่าผู้ชั่วร้ายเพื่อให้ข้าวเป็นอาหารของประชาชนดังเล่าว่า

           “ลูกรัก บอกพ่อหน่อยเถิดว่า ใครเป็นคนหาทุกสิ่งทุกอย่างมาให้ลูกกิน”

           “ข้าแต่พระบิดา พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้จัดหาทุกสิ่งทุกอย่างมาประทานเรา ทุกสิ่งที่เรามี ทุกอย่างที่เราได้กิน ล้วนแต่ได้มาจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น”

           “ข้าแต่บิดา พระองค์เป็นผู้หาเลี้ยงพวกหม่อมฉัน”

(ปากีสถาน)

           “ศพของเทวีศรี....ไม่ช้าก็ปรากฏว่า มีพืชประหลาดชนิดหนึ่งซึ่งไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อนเลยงอกขึ้นที่หลุมศพ พืชนี้เป็นพันธุ์ไม้สวรรค์ซึ่งเดี๋ยวนี้เรียกกันว่าข้าว มันเติบโตสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและออกรวงหลายรวง ซึ่งเมื่อถึงเวลาก็กลายเป็นสีเหลืองและมีเมล็ดข้าวมากมาย”

           “จงบอกกับพระราชาว่าเมล็ดพืชเหล่านี้เป็นของขวัญจากเรา ขอให้ประชาชนของพระราชาปลูกพืชนี้และระวังรักษาให้ดี แล้วต่อไปจะไม่มีใครหิวโหยอีกเลย เพราะข้าวนี้เป็นอาหารสำหรับชีวิต”

           แต่วันหนึ่งพ่อค้าชั่วคนหนึ่งจากเมืองอื่นมาค้าขาย....ได้ชิมข้าวอันแสนวิเศษนี้เข้า ก็อยากจะซื้อเอาไปให้หมด แต่พระราชาไม่ทรงอนุญาต....

           “ข้าวนี้ที่จริงแล้วไม่ใช่ของเราเป็นของเทวดาท่าน เพราะมาจากหลุมพระศพเทวีศรี ดังนั้นเราจึงขายให้ท่านไม่ได้”

(อินโดนีเซีย)

           นิทานพื้นเมืองของเอเชียเสนอปัญหาความไม่เป็นธรรม การต่อสู้และการต่อรองในการจัดการผลผลิตข้าวในชุมชนชาวนา จากวิถีการผลิตเพื่อยังชีพสู่วิถีการผลิตเพื่อตลาด การต่อสู้ในตัวบทนิทานต้องใช้อำนาจที่ทรงพลังของพระผู้เป็นเจ้า เทพบริวาร พระราชา จึงสามารถรักษานาข้าวไว้ได้

           “....ประชาชนก็ให้ร้องก้องกึก นาข้าวก็ไม่ถูกรบกวนอีกเลย แล้วประชาชนก็มีข้าวอันเอร็ดอร่อยเป็นอาหารประจำชีวิตตลอดมา”

(อินโดนีเซีย)

           นอกจากนี้นิทานพื้นเมืองของฟิลิปปินส์เรื่องสามพี่น้องกับความฝัน เสนอวิสัยทัศน์ของลูกชายชาวนาไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า การทำนาเป็นงานที่ยากลำบากได้ผลตอบแทนน้อยไม่มีอนาคต จึงขอเลือกวิชาช่าง เช่น ทำกระจก สร้างเรือ เป็นต้น และท้ายที่สุดได้กลับมาพัฒนาการทำนาขนาดใหญ่อย่างเป็นสุขและยอมรับว่า

           “.... ที่จริงแล้ว ที่ดินเป็นบ่อเกิดของทรัพย์สมบัติของมนุษย์อย่างแท้จริงและดีวิเศษที่สุด ถ้ามนุษย์รู้จักใช้ความเฉลียวฉลาด มีความขยันขันแข็ง และมีความมั่นใจที่จะใช้ที่ดินนั้น ๆ ให้เกิดประโยชน์”

(ฟิลิปปินส์)

           เมื่อสำรวจนิทานพื้นเมืองของเอเชีย วัฒนธรรมฐานรากที่นิทานเสนอคือการเกษตรกรรมและการประมง วิถีการผลิตทั้งสองแบบต้องพึ่งพิงอิงสภาพธรรมชาติเป็นหลัก การพัฒนาการผลิตเพื่อความสุข ความสงบ ความก้าวหน้า ทำให้มนุษย์ต้องต่อสู้กับอุปสรรคทั้งจากคนและธรรมชาติ นิทานส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องเล่าเป็นความทรงจำในชีวิตมนุษย์ ที่เป็นทุนทางปัญญาให้คิดต่อยอดเพื่อเอาชนะอุปสรรคที่มาจากอำนาจคน อำนาจสังคม อำนาจธรรมชาติ โดยนิทานเสนอความเชื่อและคุณค่าอันเป็นสากลให้การทำความดีมีชัยเหนืออธรรมทั้งปวง


ประเด็นที่สาม การสร้างมนุษย์พันธุ์ใหม่ อุดมการณ์ใหม่ในสังคมใหม่

           การนำนิทานพื้นเมืองของเอเชียมารวบรวมเรียบเรียงเป็นวรรณกรรมเด็กนั้น เมื่อพิจารณาจุดประสงค์ ตัวบทและบริบทแล้ว งานนี้มิใช่พันธกิจด้านวรรณกรรมแต่เป็นพันธกิจทางสังคมโดยสร้างตัวละครที่เป็นต้นแบบด้านอุดมการณ์ เช่น ตัวละครเด็ก พระเอก นางเอก ตัวละครเด็กในนิทานไม่ใช่คุณหนู นิทานอินโดนีเซียเสนอภาพเด็กที่ถูกลักพาใช้ไหวพริบแก้ไขปัญหาทำให้ขโมยผู้ลักพาเด็กกลายเป็นชายตัวใหญ่ที่สมองเล็ก นิทานสิงคโปร์เด็กชายให้ข้อเสนอแนะรายาแก้ปัญหาภัยจากปลาฉนาก ดังคำบอกเล่าว่า

           “ทำไมจึงปล่อยให้ทหารถูกฆ่าตายเล่าพะย่ะค่ะ”

           “ข้าจะทำอย่างอื่นใดได้อีกเล่าเจ้าหนู” รายาตอบ

           “ถ้าตัดต้นกล้วยไปปักไว้เป็นแถวตามชายฝั่งแทนทหาร ก็คงจะยับยั้งปลาไว้ได้ ทั้งไม่ต้องมีใครล้มตายด้วย”

(สิงคโปร์)

           ตัวละครเด็กในนิทานก้าวข้ามตัวตนของเด็กตามมโนทัศน์หลัก คือ ผู้อ่อนวัย ผู้อ่อนปัญญา ผู้เป็นภาระทางสังคม สู่จินตภาพใหม่ เป็นวัยแห่งความหวังและการสร้างสรรค์ ส่วนตัวเอกสำคัญมักเป็นชายหนุ่มจากชนชั้นล่างที่พัฒนาชีวิตด้วยประสบการณ์ลองผิดลองถูกที่สามารถสรุปบทเรียนของตนได้ นิทานพม่าเสนอภาพชายหนุ่มผู้แสวงหาความมั่นคงความร่ำรวยด้วยพลัง ด้วยอำนาจ ด้วยการฉกฉวยโอกาส นิทานใช้สัญลักษณ์ผ่านหุ่นสี่ตัวคือ หุ่นเทวา หุ่นยักษา หุ่นครึ่งคนครึ่งเทพ หุ่นดาบส คำบอกเล่าในนิทานเรื่องนี้เสนอหลักการใช้ชีวิตในสังคมไว้อย่างน่าสนใจคือ

           “....สิ่งใดที่เจ้าปรารถนา เจ้าต้องเอาสิ่งนั้นให้ได้ ไม่มีอะไรจะเป็นไปไม่ได้ถ้าหากเจ้ามีพลังและอำนาจ”

           “....เจ้าหนุ่มน้อย อย่ามัวเสียเวลานั่งพูดกับหญิงขี้แยอยู่เลย ผู้ชายต้องเข้มแข็งไว้ ความเข้มแข็งเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจและพลัง”

           “....จำไว้นะ ในโลกแห่งเงินตราและอำนาจนี้ การเป็นบุคคลอ่อนแอจะไม่ก่อให้เกิดผลดีเลย คนที่จำยอมอยู่เรื่อย ๆ ก็ไม่ได้รับผลดีด้วย”

           “....ทรัพย์และอำนาจนั้นตัวมันเองไม่ได้นำความดีหรือความชั่วมาให้ สำคัญที่จะรู้จักใช้กลวิธีใด อย่ายอมให้ทรัพย์และอำนาจนำไปในทางที่ผิด ควรใช้ทรัพย์และอำนาจไปในทางที่ดีที่จะทำให้ผู้อื่นมีสุข”

(พม่า)

           ส่วนนางเอกและผู้หญิงสูงวัย นิทานเอเชียเสนอจินตภาพผู้หญิงที่มีสติ มีความกล้าสามารถป้องกันตนเองไม่เป็นภาระแก่สังคม สามารถต่อสู้ต่อรองกับพลังที่เหนือกว่า นิทานอิหร่านเสนอมุมมองต่อความเป็นหญิง ผ่านน้องน้อยแมลงสาบผู้วิ่งตามหาผู้ชายที่ร่ำรวย แต่ต้องอยู่กับสามัญชนผู้เมตตาและแบ่งปันทุกข์สุข ที่สำคัญสุดยอดคือไม่ใช้ความรุนแรงกับผู้หญิง ดังการต่อรองผ่านบทสนทนา

           “....แล้วบังเอิญเราเกิดทะเลาะกัน คุณจะเอาอะไรตีฉัน”

           “ตีด้วยท่อนไม่นั้น”

           “ตีด้วยลูกตุ้มเหล็กที่ตาชั่งคันนั้น”

           “ตีด้วยมีดแล่เนื้อเล่มนั้น”

           “....พี่ไม่ทำหรอกจ้ะ พี่จะเอาปลายหางของพี่จิ้มลงไปในกระปุกอัญชัน แล้วทาเปลือกตาให้น้อง ทุกวัน ทุกวัน”

           “ดิฉันจะแต่งงานกับคุณ ถ้าคุณทำอย่างนั้น”

(อิหร่าน)

           สังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีประสบการณ์การจัดการบ้านเมืองผ่านระบบศักดินา หลายรัฐหลายอาณาจักรเปลี่ยนผ่านสู่ระบบใหม่ระเบียบใหม่ในการจัดการบ้านเมือง แต่หลายรัฐมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ นิทานพื้นเมืองของเอเชียได้วิพากษ์ความเป็นราชา ความเป็นรายา ความเป็นเสนาบดี ความเป็นท่านที่ปรึกษา สถานภาพดังกล่าวต้องปรับตัวโดยถอดมงกุฎที่หนักอึ้งบนหัวออกไปเพื่อให้เกิดทางเลือกใหม่ ดังถ้อยคำว่า

           “มีพระราชาอ้วนและโง่เขลาองค์หนึ่ง พระองค์มีมหามนตรีตัวผอมแต่มีสติปัญญาแหลมคม”

           “....คราวหน้า เมื่อมีประชุมที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน โปรดจำไว้ว่าจงยอมให้ที่ปรึกษาคนอื่น ๆ เขาพูด บ้าง....”

           “ประชาชนในเมืองเคดาห์ เกลียดชังรายาของตนเป็นกำลัง...”

           “พระอาญาไม่พ้นเกล้า....ถ้าเราไม่โยนมหามงกุฎทิ้งอย่างที่ทำกับของอื่น ๆ เราก็จะต้องตายในทะเล.... ขอให้ข้าพระพุทธเจ้ากราบบังคมทูลเถิดพะย่ะค่ะ ว่าขอให้ฝ่าพระบาทโยนมหามงกุฎทิ้งเสียเถิดพะย่ะค่ะ....”

(สิงคโปร์)


ประเด็นที่สี่ การปรับแปลนิทานพื้นเมืองสู่วรรณกรรมเด็ก

           การสร้างวรรณกรรมเด็กที่ฐานคิดตั้งบนฐานวัฒนธรรมชุมชนสู่วัฒนธรรมสากล โดยการแปลเป็นภาษาสากลและภาษาแม่ของแต่ละประเทศนั้น เป็นการสถาปนาโลกใหม่ในเกมภาษา ความงามความดีจึงเป็นความร่วมใจร่วมมือระหว่างผู้เล่านิทาน ผู้แปลนิทานและผู้วาดภาพประกอบ การกำหนดเป้าหมายในการผลิตวรรณกรรม เป็นเงื่อนไขของการเลือกตัวบทนิทานซึ่งเป็นเรื่องเล่าเป็นความทรงจำที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ในสังคมหมู่บ้านก่อนที่จะปริวรรตสู่ประชาคมโลก ภาษาที่เป็นการบอกเล่า ภาษาที่เป็นการสนทนา ภาษาที่เป็นพฤติกรรมการต่อสู้การต่อรองเป็นองค์ประกอบสำคัญแทนเสียงในวัฒนธรรมมุขปาฐะ ภาพเสนอที่ชัดเจนในนิทานคือภาพของสังคมที่เป็นธรรม ให้โอกาสแก่ทุกคน เป็นสังคมสันติที่มีภาพของความเป็นมิตร ดังที่นิทานอิหร่านเสนอจินตภาพไว้ว่า

           “.... ในกาลครั้งหนึ่ง มีชายคนหนึ่ง เป็นคนจริงและมีเมตตากรุณา ชายผู้นี้ใจคอกว้างขวาง มีไมตรีจิตร ใคร ๆ จึงเรียกเขาว่า นายมิตร....”

(อิหร่าน)

           เมื่ออ่านนิทานพื้นเมืองของเอเชียทั้งสี่สิบแปดเรื่องจบจึงได้รู้ ได้คิด ได้เข้าใจเพื่อนบ้าน เช่นเดียวกับได้ความบันเทิงใจ กาลครั้งหนึ่งกาลครั้งไหนนิทานจึงเป็นเรื่องเล่าที่ไม่ธรรมดา (จริงๆ)


ผู้เขียน
ดร.พรรณยุพา ธรรมวัตร
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ป้ายกำกับ นิทาน กลไกสร้างประชาคม มุมมอง นิทานพื้นเมืองเอเชีย ดร.พรรณยุพา ธรรมวัตร

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Share
Facebook Messenger Icon คลิกที่นี่เพื่อสนทนา