ชาติพันธุ์ที่กรุงเทพฯ นำเสนอ: จาก “ของโชว์แปลก” สู่ “การเป็นสินค้า” ในสังคมไทย

 |  ชาติพันธุ์ อัตลักษณ์
ผู้เข้าชม : 300

ชาติพันธุ์ที่กรุงเทพฯ นำเสนอ: จาก “ของโชว์แปลก” สู่ “การเป็นสินค้า” ในสังคมไทย

           ในมุมมองของคนกรุงเทพฯ เมื่อกล่าวถึงผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์ พวกเขาอาจเข้าใจว่าเป็นกลุ่มคนซึ่งมีอัตลักษณ์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิต เป็นของตนเอง ทั้งยังแตกต่างตรงข้ามกับคนกรุงเทพฯ ซึ่งใช้เวลาในชีวิตประจำวันไปกับความเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่ ความแตกต่างกันนี้ ส่งผลให้คนกรุงเทพฯ อยากรู้จักผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์และต้องการพาผู้คนเหล่านี้เข้ามาในเมืองหลวงเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายทำความรู้จักระหว่างกัน อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าสนใจคือ เมื่อคนกรุงเทพฯ พาผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์มาปรากฏตัวตามสถานที่ต่าง ๆ นั้น พวกเขานำเสนอตัวตนของผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์ออกมาในลักษณะใด

           สมมติฐานเบื้องต้นของบทความชิ้นนี้คือ การนำเสนอตัวตนของผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์โดยคนกรุงเทพฯ เริ่มต้นจากการเป็นของโชว์ความแปลก จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไป จึงถูกพัฒนาให้เป็นสินค้าในรูปแบบต่าง ๆ ดังนั้น ในอีกมุมหนึ่ง การนำเสนอตัวตนของผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์โดยคนกรุงเทพฯ จึงยังอาจเจือปนไปด้วยการตีความและการเพิ่มเติมสีสันเพื่อตอบสนองต่อคนกรุงเทพฯ เองด้วย


บูรพคดีศึกษา (Orientalism)

           เมื่อมีการกล่าวถึงประเด็นเรื่องการนำเสนอตัวตนของผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์โดยคนเมือง คงหนีไม่พ้นที่จะกล่าวถึงแนวคิดเรื่องบูรพคดีศึกษา (Orientalism) ของ เอ็ดวาร์ด ซาอิต (Edward Said, 1979) โดยซาอิตชี้ให้เห็นว่า เรื่องราวของคนตะวันออกซึ่งถูกนำเสนอผ่านสื่อต่าง ๆ นั้น ล้วนมาจากความรู้ที่ยึดโยงเอายุโรปเป็นศูนย์กลางมาตั้งแต่สมัยล่าอาณานิคม เรื่องราวของคนตะวันออกเป็นเพียงการสร้างภาพแทน (Representation) โดยชาวยุโรปผู้ซึ่งเชื่อว่าตนมีอำนาจและอารยธรรมที่เหนือกว่า คนตะวันออกเป็นเพียงกลุ่มคนล้าหลังซึ่งไม่ทันต่อโลกสมัยใหม่ แต่ก็มีเสน่ห์แปลกประหลาดอันสมควรนำมาแสดงให้ชาวโลกได้เรียนรู้ การนำเสนอตัวตนของชาวตะวันออกจึงขาดการให้ความสำคัญต่อเนื้อหาและบริบทเฉพาะของพื้นที่นั้น ๆ อันนำไปสู่อคติและความขัดแย้งระหว่างกันเสมอมาในหน้าประวัติศาสตร์ ซาอิตแสดงให้เห็นว่า อารยธรรมอาหรับ-อิสลาม เป็นกรณีศึกษาซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งเหล่านี้ การนำเสนอภาพลักษณ์เกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนตะวันออกกลางให้ดูมีความลึกลับและป่าเถื่อน ส่งผลให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกตะวันออกกลางในปัจจุบัน ยังคงมักเกี่ยวข้องกับเรื่องความรุนแรง

           ถึงแม้อาจมีข้อสงสัยเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องบูรพคดีศึกษาอยู่บ้าง อย่างน้อยก็คือคำถามที่ว่าซาอิตเองก็กำลังสร้างภาพแทนของคนยุโรปด้วยหรือไม่ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่ซาอิตเสนอนั้น เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นและยังคงดำเนินมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เช่นเดียวกับในสังคมไทย ซึ่งการนำเสนอตัวตนของผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์ตามสื่อต่าง ๆ ก็มักเป็นภาพแทนที่มาจากมุมมองและการตีความของคนกรุงเทพฯ ผู้ซึ่งเชื่อว่าสังคมเมืองมีทุกสิ่งทุกอย่างเหนือกว่าสังคมชนบท แต่คนเมืองก็ควรได้เรียนรู้ถึงความแตกต่างนั้นในฐานะที่อยู่ภายใต้รัฐชาติเดียวกัน สิ่งนี้ดำเนินมาตั้งแต่ยุคการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ภายใต้อิทธิพลของประเทศอาณานิคมแล้ว และถูกผลิตซ้ำอย่างต่อเนื่องในฐานะของโชว์ความแปลกและการเป็นสินค้าในรูปแบบต่าง ๆ อันจะได้กล่าวถึงในหัวข้อต่อไป


ชาติพันธุ์ในฐานะของโชว์ความแปลก

           ในช่วงแห่งการก่อร่างสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ของไทยตั้งแต่ทศวรรษ 2410 เป็นต้นมา ผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์ในดินแดนสยาม เริ่มกลายมาเป็นกลุ่มคนที่ชนชั้นสูง (Elite) ในกรุงเทพฯ ต้องการทำความรู้จักอย่างจริงจัง พวกเขาดั้นด้นเดินทางไกลบุกป่าฝ่าดงเพื่อศึกษาเรื่องราวของผู้คนกลุ่ม ชาติพันธุ์ ทั้งยังมีความปรารถนาที่จะแสดงให้ชาวยุโรปได้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างชนชั้นสูงของกรุงเทพฯ ซึ่งมีความอารยะ กับ ผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งยังมีความล้าหลังและต้องได้รับการพัฒนาจากพวกตน (Thongchai, 2000)1 ดังนั้น การพาผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์มาปรากฏตัวในเมืองหลวง ในฐานะของโชว์ความแปลกจึงปรากฏขึ้น ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะสอดคล้องกับวัฒนธรรมของกลุ่มประเทศยุโรปในขณะนั้น ซึ่งกำลังนิยมการจัดแสดงนิทรรศการสวนสัตว์มนุษย์ (Human Zoo) อันเป็นสถานที่ที่รวบรวมผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์ในทวีปต่าง ๆ ซึ่งเชื่อว่ายังไม่มีอารยะเทียบเท่ากับยุโรป ตัวอย่างเช่น นำชนเผ่าคนผิวดำในทวีปแอฟริกา มาอยู่ในคอกและให้พวกเขาแสดงวิถีชีวิตซึ่งชาวยุโรปไม่เคยพบเห็นมาก่อน (Andreassen, 2015) ถึงแม้ชนชั้นสูงในกรุงเทพฯ จะไม่ได้กระทำการเหมือนชาวยุโรป แต่การที่พวกเขากำลังอยู่ในช่วงเรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศจักรวรรดินิยมตะวันตก ก็ส่งผลให้พวกเขารู้จักที่จะแสวงหาผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์ในป่าลึก และต้องการที่จะพาผู้คนเหล่านี้ออกมาแสดงตัวให้คนภายนอกได้เห็นในฐานะสิ่งสร้างความบันเทิงใจ

           เรื่องราวของเด็กชายคนังในราชสำนักของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  (พ.ศ.2411-2453) เป็นกรณีตัวอย่างหนึ่งซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรากฏการณ์ดังกล่าว เรื่องราวของคนังเริ่มต้นขึ้นเมื่อพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงมีพระราชประสงค์อยากเลี้ยงเด็กชาวมานิ (หรือที่คนกรุงเทพฯ เรียกในเชิงขบขันว่าชาวเงาะป่าเพราะมีทรงผมหยิกหยอย) พระองค์จึงมีรับสั่งให้ข้าราชบริพารลงไปเสาะแสวงหาเด็กชาวมานิและเกลี้ยกล่อมให้เข้าวัง ในที่สุด ข้าราชบริพารก็ได้เด็กชาวมานิคนหนึ่งจากป่าพัทลุงชื่อคนัง คนังถูกผู้ใหญ่ใช้อุบายพามาดูมโนราห์ จนกระทั่งคนังผล็อยหลับไปจากการชมการแสดง ผู้ใหญ่จึงจับคนังส่งให้ข้าราชบริพารรับไปดำเนินการต่อ เมื่อคนังรู้สึกตัวจึงมีการขัดขืน แต่เหล่าข้าราชบริพารก็เกลี้ยกล่อมจนคนังยอมเข้ากรุงเทพฯ ได้สำเร็จ นับจากนั้นมา ชีวิตของคนังก็เปลี่ยนไป เขาได้รับการเลี้ยงดูจากคนในราชสำนักและเติบโตขึ้นเป็นมหาดเล็ก แต่ดูเหมือนว่าอายุของคนังจะไม่ยืนยาวนัก เมื่อเขาหายตัวไปจากราชสำนัก และลือกันว่าคนังกลายเป็นคนติดเที่ยวจนกระทั่งเสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด (ดู บุญเสริม, 2548, น.29-66)

           ในบันทึกของเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ แสดงให้เห็นถึงการที่คนังกลายมาเป็นสิ่งที่ผู้คนในราชสำนักต่างพากันจับจ้อง (Gaze) อย่างสนใจใคร่รู้ว่าวันนี้คนังจะทำอะไรที่ผิดแผกแตกต่างไปจากคนในวัง ในบันทึกนั้น มีการเขียนไว้ว่า เมื่อคนังมาถึงวังในวันแรก ทุกคนต่างรุมล้อมดูคนัง ทันใดนั้น คนังก็ล้มตัวนอนหงายและยกนิ้วเท้านิ้วมือกำจนแน่น ทุกคนต่างพากันตกใจและสงสัย จนกระทั่งพระอัครชายาเธอพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ นำกล้วยมาตั้งไว้หน้าคนัง คนังจึงลุกขึ้นมารับประทาน คนในวังเข้าใจว่านี่คงเป็นการแสดงมารยาในแบบของคนัง นับจากนั้นมา คนังก็กลายเป็นผู้สร้างความขบขันให้แก่คนในวัง แม้คนังจะมีพฤติกรรมที่คนในวังมองว่าเสียมารยาทอยู่บ้าง แต่ทุกคนก็ไม่ได้ถือสาอะไร เพราะถือว่าคนังเป็นคนป่า กิริยาท่าทางจึงดูเหมือนครึ่งลิงครึ่งคน (กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม, 11 กันยายน 2567) ทั้งนี้ ราชสำนักยังพาคนังมาให้คนกรุงเทพฯ รู้จักด้วย ราชสำนักถ่ายรูปคนังในอิริยาบถต่าง ๆ และให้แต่งชุดทั้งแบบชาติพันธุ์มานิและแบบสมัยใหม่ จากนั้นจึงนำมาวางจำหน่ายในงานประจำปีวัดเบญจมบพิตร ซึ่งพบว่าผลตอบรับดีมาก มีผู้คนเป็นจำนวนมากทั้งคนกรุงเทพฯ และคนยุโรป ให้ความสนใจซื้อรูปของคนังจนต้องพิมพ์รูปชุดใหม่ (ชาลี, 2555, น.131-132)

           นอกจากเรื่องของคนังแล้ว ยังมีอีกหลายกรณีที่สะท้อนให้เห็นว่าผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์เป็นของโชว์ความแปลกในเมืองหลวง ตัวอย่างเช่น ในงานสมโภชพระนครครบรอบร้อยปี (พ.ศ.2425) มีการจัดนิทรรศการแสดงสิ่งของของสยามเพื่อพิสูจน์ให้ชาวยุโรปได้เห็นว่าสยามมีความเป็นศิวิไลซ์เพียงใด โดยมีการแบ่งออกเป็นหลายห้อง ซึ่งห้องหมายเลข 54 นั้น มีการบันทึกว่าเป็นห้องแสดงมนุษย์หุ่นขี้ผึ้งใส่เครื่องแต่งกายตามแบบต่าง ๆ โดยมีทั้งแบบสมัยใหม่และแบบสยามดั้งเดิม นอกจากนั้น ยังมีหุ่นขี้ผึ้งที่เป็นชาวบ้านและชาวป่าจากหลายประเทศ นุ่งเสื้อผ้าแบบสมัยใหม่ ซึ่งดูแล้วขัดแย้งในตัวเองจนสร้างความขบขันให้แก่ผู้ชม ดังนั้น แม้จะไม่ได้มีการนำคนตัวเป็น ๆ มาแสดง แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าผู้จัดงานและผู้เข้าชมมีทัศนะต่อผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์ในฐานะที่เป็นของแปลก แม้จะพยายามทำให้ผู้คนเหล่านี้มีความทันสมัยแล้ว แต่ผู้คนเหล่านี้ก็ยังคงเป็นของแปลกซึ่งสร้างเสียงหัวเราะให้แก่คนกรุงเทพฯ อยู่เช่นเดิม (ปรีดี, 2562, น.41-46)

           เวลาผ่านไปหลายทศวรรษ การนำมนุษย์มาเป็นของโชว์ความแปลก ก็เสื่อมความนิยม ไม่มีสวนสัตว์มนุษย์อีกต่อไป เพราะถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและไม่เคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์ก็ยังถูกนำเสนอในอีกลักษณะหนึ่ง ในคราวนี้พวกเขาถูกนำเสนอในฐานะที่เป็นสินค้าในรูปแบบต่าง ๆ ดังที่จะได้กล่าวถึงในหัวข้อถัดไป


ชาติพันธุ์ในฐานะที่เป็นสินค้า

           การนำเสนอผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์โดยคนกรุงเทพฯ ยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งช่วงปลายทศวรรษ 2520 ถึง ต้นทศวรรษ 2530 ในช่วงทศวรรษดังกล่าว เกิดปรากฏการณ์สำคัญอย่างหนึ่งในสังคมไทย โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ นั่นคือกระแสการเชิดชูวัฒนธรรมท้องถิ่น กระแสดังกล่าวส่วนหนึ่งเกิดจากความวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่กำลังพัดพาทุนนิยมตะวันตกเข้ามาทำลายอัตลักษณ์ความเป็นไทยจนหมดสิ้น วัฒนธรรมท้องถิ่นก็เป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ความเป็นไทย หากไม่มีการรักษาแล้ว วัฒนธรรมเหล่านี้ก็จะสูญหายไปเพราะอำนาจของทุนนิยมตะวันตก (ดู Reynolds, 2002, p.308-338) ดังนั้น ผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์จึงยังคงมีความสำคัญต่อคนกรุงเทพฯ ที่จะทำความรู้จัก อย่างไรก็ตาม การนำเสนอผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์โดยคนกรุงเทพฯ กลับออกมาในลักษณะของการทำให้เป็นสินค้าในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เพลง ธุรกิจการท่องเที่ยว อันเป็นการกลับไปตอบสนองต่อทุนนิยม ทั้งยังอาจมีการตกแต่งเพิ่มเติมสีสันบางอย่างเพื่อให้สามารถขายได้อีกด้วย ทั้งนี้ การทำให้ผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์เป็นสินค้าในรูปแบบต่าง ๆ มีมาก่อนทศวรรษ 2520 แล้ว แต่ในช่วงปลายทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา ปรากฏการณ์ดังกล่าวมีความโดดเด่นมากขึ้นอันเนื่องมาจากกระแสการเชิดชูวัฒนธรรมท้องถิ่นนั่นเอง

           ในช่วงปลายทศวรรษ 2520 วงดนตรีนกแล ถือเป็นวงดนตรีที่มีชื่อเสียงโด่งดังในกรุงเทพฯ วงดนตรีนกแลเป็นการรวมตัวของนักเรียนชั้นประถมศึกษาในโรงเรียนตัวเมืองแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ พวกเขาเดินทางไปหลายแห่งเพื่อเล่นดนตรีจนกระทั่งผู้ก่อตั้งค่ายเพลงแกรมมี่ให้ความสนใจและชักชวนมาทำเพลง วงดนตรีนกแลจึงเป็นที่รู้จักของคนกรุงเทพฯ มานับแต่นั้น สิ่งที่น่าสนใจในวงดนตรีนกแล คือการให้นักดนตรีรักษาคอนเซ็ปต์เดิมของตนเองโดยแต่งชุดชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง ถึงแม้นักดนตรีหลายคนจะเป็นเด็กในเมืองก็ตาม (Sanook, 20 ตุลาคม 2566) จากนั้น ก็ใช้ความสามารถของนักดนตรีในการร้องรำทำเพลงผ่านภาษาท้องถิ่นผสมกับภาษาไทยกลาง เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของผู้คนบนพื้นที่สูง เพลงหนึ่งที่มีชื่อเสียงก็คือ “หนุ่มดอยเต่า” เพลงนี้เล่าถึงหนุ่มดอยเต่าคนหนึ่งซึ่งรู้สึก “มันเศร้าหัวใจ คิดมาคิดไปมันน้อยใจแต้เล่า” เมื่อพบว่าดอยเต่าในปัจจุบันได้รับการพัฒนาโดยรัฐบาล จนเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ไปแล้ว แตกต่างจากในอดีตที่ตนและคนในหมู่บ้านยังต้องเดินทางเข้าเมืองเพื่อมาหางานทำเพราะความแร้นแค้น อย่างไรก็ตาม หนุ่มดอยเต่าก็ยังมีความยินดีและขอเชิญชวนให้พี่น้องชาวดอยเต่าที่ออกไปหางานทำในเมือง กลับมาใช้ชีวิตในบ้านเกิดซึ่งตอนนี้มีทั้งความอุดมสมบูรณ์และความสุขกันดีกว่า เพลงหนุ่มดอยเต่าทำให้ผู้ฟังมีภาพจำ (มายาคติ) เกี่ยวกับดอยเต่าว่า เป็นพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งเคยมีความแห้งแล้ง แต่เพราะการเข้ามาให้ความช่วยเหลือโดยรัฐบาลไทย ปัญหาความแห้งแล้งนั้นจึงทุเลาลง ผู้คนกลับมามีความสุขยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่จำเป็นต้องไปดิ้นรนทำมาหากินในเมืองแล้ว เพลงหนุ่มดอยเต่าได้รับความนิยมในกรุงเทพฯ และมีการจัดคอนเสิร์ตอยู่หลายครั้ง รวมถึงเทปเพลงซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคด้วย

           จะเห็นได้ว่าการนำเสนอตัวตนของผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์ในลักษณะของการทำให้เป็นสินค้า มีการเพิ่มเติมสีสันบางประการ และการนำเสนอเรื่องราวของผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์ ก็เป็นการนำเสนอผ่านมุมมองของคนนอกเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นไปเพื่อตอบสนองต่อภาพจำของคนกรุงเทพฯ เอง ซึ่งย่อมส่งผลให้สินค้าชิ้นนั้นได้รับกระแสการตอบรับที่ดีด้วย ก็ยังมีนักแต่งเพลงและนักดนตรีรุ่นหลัง ๆ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากวงนกแลอยู่2 นอกจากนั้น นักมานุษยวิทยายังได้อธิบายเพิ่มเติมว่า การทำให้ตัวตนของผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์กลายเป็นสินค้าในลักษณะเช่นนี้ จะส่งผลให้เราไม่สามารถพบสิ่งที่เรียกว่าอัตลักษณ์ที่มีความจริงแท้ของผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์ได้ในที่สุด ถึงแม้สินค้าเหล่านั้นมักบอกว่าเป็นการนำเสนอความจริงแท้ก็ตาม และไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงแท้หรือไม่ เราก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้อยู่ดี เพราะแม้กระทั่งผู้คนกลุ่ม ชาติพันธุ์ก็มีการปรับแปรอัตลักษณ์ของตนเองให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของบริบทสังคมอยู่เสมอ (ดู ประสิทธิ์, 2565, น.124-144)

           การนำเสนอผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์โดยคนกรุงเทพฯ ในลักษณะของการทำให้เป็นสินค้า ยังมีอีกมากมาย โดยในที่นี้ขอยกตัวอย่างเรื่องการท่องเที่ยว เนื่องจากเป็นกรณีที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด เช่น การทำให้พื้นที่ของผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์กลายเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว โดยให้ชาวบ้านแต่งชุดประจำกลุ่มชาติพันธุ์ และแสดงวิถีชีวิตประจำวันของตนเองให้นักท่องเที่ยวได้ยลโฉม ซึ่งจะเห็นได้ว่าในชีวิตประจำวันจริง ๆ แล้ว ชาวบ้านเหล่านี้ก็ไม่ได้แต่งชุดชาติพันธุ์ และการดำเนินชีวิตประจำวันของพวกเขาก็ไม่ใช่สิ่งแสดง แต่ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อภาพจำและความคาดหวังของนักท่องเที่ยวซึ่งโดยมากเป็นคนเมือง นอกจากหมู่บ้านท่องเที่ยวแล้ว ก็ยังมีธุรกิจฟอร์มูล่าม้ง ธุรกิจดังกล่าวเป็นการนำรถล้อเลื่อนไม้ของชาวม้งมาแข่งขันประลองความเร็วเหมือนรายการแข่งรถยนต์ฟอร์มูล่า ธุรกิจนี้เป็นการนำวิถีชีวิตของชาวม้งมาทำให้เป็นสินค้าเพื่อสนับสนุนกระแสการท่องเที่ยวของคนเมือง นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมประเพณีและพื้นที่ของชาวม้งแล้ว ก็สามารถร่วมสนุกได้ (ประสิทธิ์, 2565, น.143)

           การทำให้ผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์เป็นสินค้าในรูปแบบต่าง ๆ ยังเกี่ยวข้องกับการตกแต่งเรื่องราวเพื่อให้ตัวตนของพวกเขาผูกติดกับความเป็นไทยด้วย จะเห็นได้ว่า การนำเสนอเรื่องราวของผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่ว่าจะในอุตสาหกรรมดนตรี ภาพยนตร์ ข่าว สารคดี หรือการท่องเที่ยว มักต้องทำให้พวกเขามีความเป็นชาติไทยอยู่เสมอ ถึงแม้พวกเขามักจะถูกทำให้เป็นชนกลุ่มน้อยที่มีอำนาจด้อยกว่าคนเมืองก็ตาม เรื่องเล่าที่ว่าวัฒนธรรมการปลูกไร่ชาของชาวเขาอาจจะไม่เกิดขึ้น หากรัฐไทยไม่เข้ามาแนะนำและช่วยเหลือให้พวกเขาเลิกปลูกฝิ่น ถือเป็นตัวอย่างเรื่องเล่าคลาสสิกซึ่งปรากฏให้เห็นบ่อยครั้ง และยังมีเรื่องเล่าในทำนองนี้อีกเป็นจำนวนมาก ทั้งยังกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้รับสารยึดถือและเกิดอคติว่าผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์ต้องมีความเป็นไทย ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเป็นบุคคลไร้สิทธิตามกฎหมาย ดังจะเห็นได้จากครั้งหนึ่งในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ สมาชิกวุฒิสภาบางคนไม่เห็นด้วยกับการที่ร่างกฎหมายไม่ระบุว่ากลุ่มชาติพันธุ์คือกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย อีกทั้งวิพากษ์วิจารณ์ว่าร่างกฎหมายนี้ไม่ตระหนักถึงความเป็นหนึ่งเดียวของชาติไทย และเหน็บแนมร่างกฎหมายว่าน่าจะยกประเทศให้กลุ่มชาติพันธุ์ไปเลย3


สรุป

           ชาติพันธุ์เป็นกลุ่มคนที่มีเรื่องราวเป็นของตนเอง และในหลายเรื่องราวก็เป็นสิ่งที่คนกรุงเทพฯ ต้องการทำความรู้จัก ตัวตนของผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งถูกนำเสนอให้แก่คนกรุงเทพฯ จึงยังคงปรากฏให้เห็นเรื่อยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และคงจะเป็นเช่นนั้นต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการนำเสนอจะอยู่ในรูปแบบใดก็ตาม ดูเหมือนว่าการนำเสนอตัวตนของผู้คนกลุ่ม ชาติพันธุ์ก็ยังคงมีส่วนที่ตอบสนองต่อมุมมองของชาวเมืองหลวง การตอบสนองเช่นนี้ส่งผลให้มายาคติของคนกรุงเทพฯ ที่มีต่อผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์ มีแนวโน้มที่จะดำรงอยู่ต่อไป

           ทั้งนี้ อาจมีคำแนะนำในอีกมุมหนึ่งว่า การนำเสนอตัวตนของผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์ในฐานะที่เป็นสินค้า ก็สามารถมองให้เป็นโอกาสที่จะทำให้เรื่องราวของผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์ได้รับการศึกษาในวงกว้างมากขึ้น และนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดให้สอดคล้องต่อนโยบาย Soft Power ของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องตระหนักถึงพร้อมกันด้วยก็คือ การที่จะศึกษา ตลอดจนการนำเสนอตัวตนของผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์นั้น ก็ยังคงต้องไม่นำมุมมองแบบกรุงเทพฯ มาเป็นศูนย์กลางในการนำเสนอ เพราะถึงที่สุดแล้ว การคืนเรื่องราวของผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์ ให้เป็นของผู้คนกลุ่มชาติพันธุ์ คือสิ่งสำคัญที่สุดในการทำความเข้าใจต่อกันและการดำรงอยู่ร่วมกันท่ามกลางความหลากหลายในสังคม


บรรณานุกรม

กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม. ““นายคนัง มหาดเล็ก” จาก “ก็อย” อาศัยในป่า สู่ มหาดเล็กตัวน้อยใน ร.5 ราชสำนักฮือฮา.” สืบค้นเมื่อ 2 เมษายน 2567 จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_65016 (11 กันยายน 2567).

ชาลี เอี่ยมกระสินธุ์. (2555). แลหลังบางกอก. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ดอกหญ้า 2000.

บุญเสริม ฤทธาภิรมย์. (2548). นายคนัง เงาะเซมังภาคใต้. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์บรรณกิจ.

ปรีดี หงษ์สต้น. (2562). สยามมหกรรม: การเมืองวัฒนธรรมกับการช่วงชิงความเป็นสาธารณะ. กรุงเทพฯ: มติชน.

ประสิทธิ์ ลีปรีชา. (2565). ชาติพันธุ์สัมพันธ์ การเมืองของความสัมพันธ์และแนวคิดการศึกษา. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).

Andreassen, Rikke. (2015). Human Exhibition: Race, Gender and Sexuality in Ethnic Displays. England: Ashgate.

Reynolds, Craig J. (2002). “Thai Identity in the Age of Globalization” in National Identity and Its Defenders: Thailand Today. Chaing Mai, Silkworm Books.

Said, Edward. (1979). Orientalism. New York: Vintage Books.

Sanook. “วันวานยังหวานอยู่ “นกแล” ตำนานวงดนตรีเด็ก ตื้นตัน 40 ปี ยังอยู่ในใจแฟนเพลง.” สืบค้นเมื่อ 9 เมษายน 2568 จาก https://www.sanook.com/music/2470001/ (20 ตุลาคม 2566).

Thongchai Winichakul. (2000). “The Quest for “Siwirai”: A Geographical Discourse of Civilizational Thinking in the Late Nineteenth and Early Twentieth-Century Siam” in The Journal of Asian Studies, 59: 3 (August 2000).


1  สิ่งนี้เป็นหลักฐานว่า ชนชั้นสูงในกรุงเทพฯ รับแนวคิดการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ตามแบบประเทศอาณานิคม การที่ชนชั้นสูงในกรุงเทพฯ พยายามศึกษาเรื่องราวของดินแดนต่าง ๆ ภายในสยาม ส่วนหนึ่งก็เป็นไปเพื่อหาแนวทางในการรวบอำนาจและทรัพยากรของดินแดนเหล่านี้ ให้เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ต่างจากผู้ปกครองในประเทศอาณานิคม แต่ในกรณีของไทย เป็นการสร้างอาณานิคมภายใน

2  เช่น เพลง “เด็กดอยใจดี” ของ น้องมายต์ ป่วนเมือง (นามในวงการ) เพลงดังกล่าวเล่าถึงเด็กน้อยชาวม้ง ชาวเย้า ชาวกะเหรี่ยง และชาวมูเซอ ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง พวกเขาไร้เดียงสา แต่ก็มีความรักใคร่กลมเกลียวกันดี และมักแจกแครอทให้เพื่อน ๆ เป็นประจำ ขณะที่ตัวนักร้องจะเป็นเด็กผู้หญิงในชุดชาติพันธุ์และร้องเพลงด้วยสำเนียงภาษาไทยกลางที่ฟังดูไม่ชัด เพลงเด็กดอยใจดี เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมในกรุงเทพฯ แต่ก็เป็นเพลงที่ถูกเขียนขึ้นจากมุมมองคนนอกเช่นกัน และแม้กระทั่งตัวคนร้อง ก็ไม่ใช่ชาวชาติพันธุ์ แต่เป็นเด็กจังหวัดนนทบุรีซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับกรุงเทพฯ นี้เอง ดู PPTV Online. (24 มีนาคม 2562). “วันนี้ของน้องมายต์ป่วนเมือง จากเด็กดอยใจดีสู่คุณแม่สู้ชีวิต.” สืบค้นจาก https://shorturl.asia/7riNF

3  ดูตัวอย่างการแสดงความคิดเห็นของสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว ใน https://www.facebook.com/photo/?fbid=977765114528448&set=a.486924250279206


ผู้เขียน
ธนวัฒน์ รุ่งเรืองตันติสุข
นักวิจัย  ฝ่ายวิจัยและส่งเสริมวิชาการ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)


 

ป้ายกำกับ ชาติพันธุ์ กรุงเทพฯ ของโชว์แปลก การเป็นสินค้า สังคมไทย ธนวัฒน์ รุ่งเรืองตันติสุข

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Share
Facebook Messenger Icon คลิกที่นี่เพื่อสนทนา