พรรณนาความชาติพันธุ์ ว่าด้วยภาพ
แม้นักสังคมศาสตร์ได้ใช้ภาพถ่ายมาตั้งแต่เริ่มการศึกษาทางมานุษยวิทยา2 และสังคมวิทยา3 แต่ความใส่ใจต่อความรู้จากภาพถ่ายเหล่านั้นกลับไม่มากนัก ในบทความนี้ ผมได้ลองวางแนวทางการวิเคราะห์ชาติพันธุ์วรรณาว่าด้วยภาพ และได้นำเอาแนวทางการวิเคราะห์แบบหนึ่งมาสาธิต โดยจะเรียกแนวการวิเคราะห์นั้นว่า การเล่าเรื่องชาติพันธุ์ว่าด้วยภาพ
แนวทางการวิเคราะห์ชาติพันธุ์ว่าด้วยภาพไม่ควรอยู่ในลักษณะที่แข็งกระด้าง คือมีขอบเขตและนิยามที่ลงตัวชัดเจน ผมให้ความนิยมกับแนวทางที่เป็นพหุลักษณ์มากกว่า แต่ละแนวทางการวิเคราะห์มีความเหลื่อมล้ำและเหมาะสมแต่ละช่วงเวลา การจะหาพื้นที่ให้กับแนวทางวิเคราะห์ในเส้นทางวิชาการเป็นเรื่องที่เห็นอยู่ร่วมกันในสังคมศาสตร์ และผมได้ตระหนักถึงมิติต่างๆ ของนิยามชาติพันธุ์ว่าด้วยภาพที่มีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกับบริบทเฉพาะ มุมมองของ Levine (1986:272) แสดงให้เห็นว่า “ไม่มีมุมมองเชิงวิพากษ์เพียงมุมเดียว สำหรับวิทยาศาสตร์” ซึ่ง “…จะมีตำแหน่งแห่งที่เดียวก็คือ ตำแหน่งของความย้อนแย้งของความรู้ประเภทอื่นๆ” ข้อคิดของ Marcus และ Fisher ไม่ได้แตกต่างไป (1985:8) ทฤษฎีมานุษยวิทยาร่วมสมัย (รวมถึงทฤษฎีวิชาการโดยทั่วไป) ควรมีลักษณะที่ผ่อนปรนจากชุมชนวิชาการที่แบ่งข้างอย่างชัดเจน และกลายเป็นกรอบอย่างแข็งกระด้าง เพื่อนำไปสู่สังคมศาสตร์ว่าด้วยภาพที่มีแนวทางและวิธรการที่เป็นประโยชน์และเชื่อมโยงมากยิ่งขึ้น
ผมจัดแบ่งประเภทชาติพันธุ์ว่าด้วยภาพไว้ตามลักษณะเชิงวิชาการ เชิงพรรณา เชิงวิพากษ์ และเชิงปรากฏการณ์ สิ่งที่ควรคำนึงถึงอย่างชัดเจนก็คือข้อมูลว่าด้วยภาพสามารถจัดอยู่ในประเภทหนึ่งประเภทใดก็ได้ตามแต่การตีความและการลำดับความ ด้วยเห็นนี้ผมจึงจะกล่าวถึงพรรณนาความชาติพันธุ์ว่าด้วยภาพในบทความนี้ ภาพถ่ายภาพเดียวกันสามารถปรับเปลี่ยนประเภทไปตามมุมมองวิเคราะห์ นี่เองไม่ต่างจากข้อมูลทางสังคมศาสตร์ การสังเกตการณ์ (เหตุการณ์ที่มาจากข้อมูล) ของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอาจนำสู่ภาพตัวแทนได้หลากหลาย เช่น ภาพ เรื่องเล่า สูตร หรือเนื้อหา ประเภท
การศึกษาสังคมศาสตร์ว่าด้วยภาพต้องเกี่ยวข้องกับปัจจัยสองประการ ประการแรกหมายถึงสิ่งที่ได้รับการบันทึกไว้เป็นภาพ และประการที่สองคือ การลำดับภาพเหล่านี้เป็นไปอย่างไร เพื่อนำเสนอสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในภาพ ประเด็นเหล่านี้จะต้องเข้าใจด้วยว่าภาพนั้นเกิดขึ้นมาจากการกระทำของมนุษย์ (การตีความเกี่ยวกับโลก – มนุษย์ในฐานะผู้ถ่ายภาพ (ผู้แปล)) และเป็นส่วนหนึ่งของโลก (การบันทึกสิ่งที่ปรากฏในชั่วขณะ) คุณสมบัติที่เป็นทั้งวัตถุวิสัยและอัตวิสัยผสมปนเปในการวิเคราะห์ที่เป็นภาพถ่ายในสังคมศาสตร์
ตัวอย่างเช่น ผู้ที่ใช้กล้องถ่ายภาพบันทึกข้อมูลซึ่งข้อมูลเหล่านั้นจะได้รับการจัดประเภท ลำดับ จัดจำนวน และเปรียบเทียบ มักกล่าวถึง “ความเป็นวัตถุวิสัย” ของกล้อง ในกรณีนี้ “วัตถุวิสัย” หมายถึงข้อมูลภาพถ่ายที่มี ความเชื่อถือ และ คุณค่า ในความหมายทางสังคมวิทยา นี่หมายถึงช่างถ่ายภาพคนที่สองสามารถกลับมาสอบทานภาพที่ได้บันทึกไว้ และสำเนาจะภาพแรก และต่อมานั้น ภาพถ่ายังคงข้อมูลที่ตรงต่อวัตถุที่ถูกบันทึกไว้ การทำงานของช่าวภาพจากมุมมองเช่นนี้สะท้อนได้จากการจัดเก็บภาพสถาปัตยภรรมพื้นถิ่น (Rusted 1985) การจัดพื้นที่ส่วนต่างๆ ในบ้าน อาคาร พื้นที่โล่ง ถนน ระบบชลประทาน (Beresford, 1954; Beresford and St. Joseph,1958; Collier and Van Vogt, 1965) และการศึกษาพฤติกรรมทางวัฒนธรรม (Danforth and Tsiaras 1982, Mead and Bateson, 1942) ในขณะนี้ ผมกำลังศึกษาชุมชนเกษตรกรรม ซึ่งผมใช้ภาพถ่ายทางอากาศในการในการสร้าง และเปรียบเทียบเรื่องราวของพื้นที่เกษตรกรรม ในกรณีนี้ ผมนึกถึงกล้องถ่ายภาพเป็นอย่างแรกในฐานะเครื่องมือสำหรับการบันทึก ในขณะเดียวกัน ช่างถ่ายภาพอีกคนหนึ่งที่ต้องการสำเนาภาพของผม จำเป็นที่จะต้องรู้เวลา (ปี) ที่ภาพภาพได้บันทึกไว้ สภาพของแสง ระดับความสูง ความยาวของเลนส์ ประเภทของฟิล์ม และขบวนการล้างอัดภาพ และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับภาพจนกระทั่งได้ภาพที่เป็นผลผลิตสุดท้าย ความพยายามที่สร้างความน่าเชื่อถือย่อมสัมพันธ์กับช่วงเวลาที่เปลี่ยนไปที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์ภาพถ่ายทั้งสองครั้ง ขณะที่เราคิดว่าสิ่งนี้ซับซ้อน แต่สิ่งที่ซับซ้อนมากกว่าคือสิ่งที่นักวิจัยสำรวจจะต้องเผชิญในการพยายามวัดระดับของการถ่ายภาพ เมื่อเวลาเปลี่ยนไปหรือกับกลุ่มประชาการที่แตกต่างออกไป การใช้กล้องถ่ายภาพในลักษณะเช่นนี้ ซึ่งถือเป็นการ
ใช้กล้องเพื่อบันทึกภาพในแบบที่ผู้มองรับรู้ทางสายตาต่อวัตถุก็เรียกได้ว่าเป็นวิถีทางบันทึกที่เป็น “วิชาการ”
ผู้ถ่ายอีกคนหนึ่งอาจตั้งคำถามต่อกระบวนการในการสร้างความหมาย แม้จะใช้วิธีการจัดแบ่งข้อมูลที่มีมาตรฐาน ดังตัวอย่างข้างต้น ภาพถ่ายบันทึกข้อมูลซึ่งไม่ได้รับการพิจารณาถึงความคลุมเครือ Margaret Mead ถ่ายภาพบุคคลในท่าทางหยุดนิ่ง ซึ่งแสดงอาการของความสุขอย่างเหลือล้น และเรียกภาพนั้นว่า “การเข้าทรง” ผมถ่ายภาพอาคารและเรียกสิ่งนั้น “เรือนเก็บสิ่งของการเกษตร” (barn) อีกสิ่งว่า “ยุ้ง” (silo) และ “บ้าน” เราตั้งสมมติฐานว่า คำที่เราใช้อธิบายสิ่งที่เราเห็นในภาพเป็นที่รับรู้ร่วมกันอยู่ไม่มากก็น้อย ฉะนั้น คนที่มาจากพื้นฐานวัฒนธรรมเดียวกันสามารถเข้าใจนิยามเหล่านั้นได้ แต่หากเราพินิจให้ใกล้เข้าไปเรากลับความหมายที่แตกต่างกันจากคนดูภาพต่างคนกัน แม้จะเป็นภาพง่ายๆ ต่อความเข้าใจ คนที่บันทึกในภาพพิธีเข้าทรงอาจฉายให้เห็นความจริงของภาพแตกต่างกันไปตามช่างภาพหรือผู้ดูภาพ ถ้าบุคคลที่อยู่ในภาพให้ความเห็นและตีความภาพ เราจะได้เห็นวิธีการทำความเข้าใจกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่เป็นมุมมองในวัฒนธรรมนั้นๆ พาหนะที่นำพาข้ามอุปสรรคทางวัฒนธรรมปรากฏในภาพยนตร์ Jero on Jero (1980) และหนังสือที่พิมพ์ขึ้นวาระเดียวกัน (Asch, Asch, and Connor 1986) ในขณะที่ชาวนาที่เป็นเจ้าของอาคารต่างๆ ที่ผมถ่ายภาพไว้จะเห็นด้วยกับคำที่ผมเลือกใช้ในการนิยามวัตถุในภาพ การวิเคราะห์ของเจ้าของก็จะให้รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวจากภาพและคุณค่าที่สัมพันธ์กับการตัดสินใจต่างๆ การสร้างตัวเรือน ยุบเรือน ขยาย หรือการใช้ประโยชน์ในด้านการเกษตร ขบวนการสัมภาษณ์ที่ใช้ในการดึงข้อมูลจากผู้ที่เป็นเจ้าของเรียกว่า “photo elicitation”5 (การไขความภาพ) นักสังคมศาสตร์หลายคนใช้วิธีการ
ศึกษาข้ามวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น Sprague (1978) ได้ใช้รูปถ่ายของเขาและของสมาชิกในกลุ่มวัฒนธรรมเพื่อศึกษาชนยารูบาในไนจีเรียตะวันตก พวกเขามองตนเองและคุณค่าของวัฒนธรรมของพวกเขาไปอย่างไร Ximena Buster B. (1978) ใช้วิธีการสัมภาษณ์ไขความภาพในการศึกษาเกี่ยวกับการรับรู้ตนเองของบรรดาแม่ในชนชั้นแรงงานของเปรู Barndt (1980) เป็นหนังสือขนาดยาวที่เน้นการศึกษาด้วยเทคนิคไขความภาพ เพื่อการศึกษาชุมชนโยกย้ายถิ่นจากชนบทในเมืองลิมา ประเทศเปรู ขบวนการศึกษาประยุกต์เข้าการการรณรงค์การรู้หนังสือของ Paulo Freire งานของ Victor Caldarola (1985) ใช้การไขความภาพจากภาพถ่ายของเขาและของภรรยาในการศึกษาการทำฟาร์มไข่เป็ดในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของอินโดนีเชีย Curry (1986) ประยุกต์ใช้การไขความภาพในการศึกษานักต่อสู้ในวิทยาลัย เพื่อทำความเข้าใจว่านักกรีฑาเหล่านั้นมองบทบาททางกีฬาของตนเองไปอย่างไร ในปี 1925 Margaret Mead ได้รายงานถึงการใช้ภาพนิ่งระหว่างการถ่ายทำ “สารคดีเรื่อง” (dramatized documentary) Moana ของ Robert Flaherty เพื่อดึงคำตอบมาจากเด็กๆ ชาวซามวน (de Brigard 1974:31) ผมใช้วิธีการดังกล่าวนี้ (Harper 1987) ในการศึกษาการทำงานในวิถีของชนบท ในโครงการนี้ ผมได้สัมภาษณ์เจ้าของวัฒนธรรมด้วยภาพถ่ายที่ผมได้บันทึกเกี่ยวกับงานของเขา ทั้งสำหรับทำความเข้าใจกับการผสมผสานระหว่างวิธีการสมัยใหม่และวิธีการพื้นบ้าน และการทำความเข้าใจการวิธีการทำงานที่เหมาะสมกับชุมชน การใช้ภาพถ่ายเช่นนี้ เพื่อให้เจ้าของวัฒนธรรมนิยามสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองมีลักษณะที่เรียกว่าวิธีการ “สะท้อน” (reflexive method)
ประเภทที่สามตามการจัดแบ่งของผมมีความสัมพันธ์โดยตรงกับสังคมศาสตร์เชิงปรากฏการณ์ ภาพถ่ายมีความเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการสำรวจวิธีการวิเคราะห์ที่เป็นอัตวิสัยและแง่มุมต่างๆ ของการวิจัย Psathas (1986) ได้นำภาพถ่ายสไลด์หลายภาพมาฉายพร้อมกัน (ด้วยเครื่องฉายหลายเครื่อง) และใช้เสียงบันทึกประกอบในการสำรวจความเป็นอัตวิสัยของพื้นที่สถาปัตยกรรม และตั้งคำถามถึงธรรมชาติเชิงประจักษ์ของประสบการณ์ในห้องทดลองฟิสิกส์ Silvers (ม.ป.ป.) ใช้ภาพถ่ายในการหลีกหนีจากโครงสร้างของตัวบทในการตีความที่เป็นแบบฉบับ ภาพและตัวบทที่ก่อตัวขึ้น ได้สร้างประสบการณ์กระบวนการ ยังให้เกิดการกระตุ้นความรู้สึกท่วงทำนองลักษณะของการเข้าสู่วัฒนธรรมอื่น นักสังคมวิทยาเช่น Sudnow (1976, 1980) ได้ฝืนกระบวนการนำเสนอทางสังคมวิทยาด้วยการเข้าไปสำรวจอัตวิสัยของดนตรีแจ๊สและการสร้างเรื่องเล่า แต่ประสบการณ์ของเขาต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางภาษาและ “แบบฉบับ” ของการนำเสนอทางสังคมศาสตร์ นอกไปจากนี้ มีตัวอย่างไม่มากนักที่แสดงให้เห็นถึงการใช้ภาพถ่ายที่ก้าวข้ามพรมแดนเหล่านี้
แนวทางที่สี่ของสังคมศาสตร์ว่าด้วยภาพ ซึ่งผมจะแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างคือการจัดลำดับภาพเพื่อเล่าเรื่อง ภาพในฐานะ “ชั่วขณะที่แช่แข็ง” สามารถจัดลำดับและนำไปสู่การเล่าความของเหตุการณ์ การเล่าเรื่องด้วยภาพเป็นไปตามแบบแผนการเล่าเรื่องที่คุ้นเคย ลำดับเวลาเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างเรื่องเล่า เวลาให้ความหมายเชิงลำดับต่อเนื่อง – การนำเสนอประสบการณ์ที่เป็นไปตามธรรมชาติ – หรือเป็นการใช้เวลาย้อนกลับ หรือย้อนกลับไปกลับมา ลักษณะต่างๆ ที่ปรากฏในเรื่องเล่าเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาไปพร้อมกับเหตุการณ์และเงื่อนไขด้วยเหตุนี้ ประเด็นหลักของการเล่าเรื่องคือการลำดับภาพ ความหมายจะมาจากการลำดับภาพมากพอๆ กับตัวภาพเอง
การเล่าเรื่องมาจากข้อสมมติฐานร่วมกันที่ว่าเหตุการณ์เชื่อมโยงไปกับเหตุการณ์อื่น ฉะนั้นลำดับเหตุการณ์จึงถูกตีความไปในลักษณะที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้า จะเป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์ที่ตามมาทีหลัง
Larry Gross ได้เขียนเกี่ยวกับการตีความภาพยนตร์เล่าเรื่องเป้นส่วนหนึ่งของความรู้ทางวัฒนธรรมที่รับรู้อยู่ร่วมกัน
ในระดับที่ง่ายที่สุด เราหมายรู้การมีอยู่ของบุคคล วัตถุ และเหตุการณ์ในภาพยนตร์ และสร้างความหมายเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นจากความรู้ประเภทต่างๆ ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และบางอย่างที่ลึกล้ำมากไปกว่านั้น เรามองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุและเหตุการณ์ ซึ่งสัมพันธ์ไปพร้อมกับพื้นที่และเวลา สองสิ่งนี้เดินทางไปพร้อมกัน ขั้นตอนที่สำคัญลำดับถัดไป การเฝ้าสังเกตผลของความสืบเนื่องจากความตั้งใจในการบอกเล่ากับเราบางอย่าง นั่นคือ การเฝ้ามองลำดับหรือแบบแผนที่เป็นตัวสร้างความหมาย มากกว่าความสืบเนื่องของเหตุการณ์เพียงหนึ่ง ฉะนั้นความหมายจึงเกิดมาจากการลำดับพอๆ กับสิ่งที่ประกอบ
สร้างในการลำดับเหล่านั้น (1985:3)
เราคาดหวังรูปแบบเรื่องเล่าในลักษณะที่เป็นนิยาย บทกวี และภาพยนตร์เรื่อง (ทั้งนี้ ไม่ได้กล่าวถึงความเคลื่อนไหวหลังสมัยใหม่ ซึ่งท้าทายต่อแบบแผนเรื่องเลาด้วยรูปแบบของการแสดงออกทุกประเภท) แค่การเล่าเรื่องด้วยภาพถ่ายในสังคมศาสตร์ ซึ่งมีฐานะเป็นรูปแบบการเล่าเรื่องในการวิจัยสังคมที่ยอมรับกัน อย่างไรก็ตามแนวทางมีอยู่มากมายที่สามารถเป็นไปได้ในมานุษยวิทยาและสังคมวิทยาว่าด้วยภาพ ผมเริ่มด้วยการอภิปรายภาพยนตร์ชาติพันธุ์ที่เล่าเรื่อง ซึ่งจะแสดงให้เห็นทิศทางและแนวโน้มของการใช้ภาพนิ่งในรูปแบบการเล่าเรื่อง
การเล่าเรื่องชาติพันธุ์ว่าด้วยภาพเริ่มตั้งแต่ภาพยนตร์ของ Robert Flaherty – Nanook of the North (1922) เป็นอาทิ มีรูปแบบภาพยนตร์ขนาดสั้นที่รับรู้กันทั่วไป ภาพยนตร์ประกอบด้วยบทตอนหลักๆ นานูกและครอบครัว ที่แสดงให้เห็นกิจกรรมหลักๆ ของครอบครัว อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังกิจกรรมเป็นเรื่องราวที่ใหญ่มากกว่าเรื่องราวของการประตัวและต่อสู่ของมนุษย์ต่อความโหดร้ายของสภาพแวดล้อม ภาพยนตร์จบลงด้วยว่านานูกค้นพบอิกลูที่สามารถปกป้องครอบครัวของเขาจากพายุหิมะที่หนาวยะเยือก ความจริงที่น่าเศร้าคือ นานูก (ซึ่งเขากลายเป็น “ดารา” ที่เป็นที่รู้จักอย่างไม่รู้ตัวจากความสำเร็จของภาพยนตร์ของ Flaherty) ได้ตายลงระหว่างการล่าสัตว์ เพียงสองปีให้หลังจากที่ภาพยนตร์แล้วเสร็จ
ในกรณีของ Nanook หรือภาพยนตร์ชาติพันธุ์อื่นที่เล่าเรื่อง ผู้ชมจะคิดเสมือนหนึ่งว่าเขาหรือเธอกำลังชมเรื่องราวที่เกิดเช่นนั้นในวัฒนธรรมที่ถูกถ่ายทำ แต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ยอมรับหรือรับรู้ร่วมกันเสมอไป Flaherty เองรู้สึกผิดเมื่อนำเสนอพฤติกรรมของเจ้าของวัฒนธรรมอย่างผิดพลาด เมื่อเรื่องราวจะต้องมาคล้องเป็นเรื่องเล่าในภาพยนตร์ของเขา
ภาพยนตร์เรื่อง Dead Birds ของ Robert Gardner (1963) ยังคงเป็นตัวอย่างของภาพยนตร์ทางมานุษยวิทยาเล่าเรื่องสมัยใหม่ ในภาพยนตร์นี้แสดงให้เห็นสงครามในชนบทระหว่างชนสองเผ่าในนิวกินี หลายฉากที่แสดงให้เห็นบุคคลที่กำลังร้องไห้หรือดูเหมือกำลังคิดอะไรอยู่ลึกๆ เสียงผู้บรรยายตีความอารมณ์เหล่านี้ และบอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น (ตามที่ผู้บรรยายเชื่อ) ในเบื้องลึกของจิตใจตามที่ปรากฏในภาพยนตร์ นี่เองทำให้ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งไม่อาจแยกได้จากนิยายที่ถ่ายทำเป็นภาพยนตร์ ในกรณีของภาพยนตร์เล่าเรื่องที่ไม่ได้เป็นนิยาย ผู้ชมต้องยอมรับว่าผู้กำกับความเข้าใจข้อมูลชาติพันธุ์เพียงพอในการให้ข้อมูล “ถูกต้อง” ต่อผู้พูด และสร้างเรื่องราวต่างๆ ไปตามที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง
ภาพยนตร์เล่าเรื่องที่ไม่ใช่นิยายหมายรวมถึงความเคลื่อนไหวทางภาพยนตร์ของกลุ่มสัจจะนิยมใหม่ในอิตาลีหลังสงคราม ผู้ที่ไม่ใช้นักแสดงเล่นบทบาทตามธรรมชาตอย่างที่เขาเป็นในเรื่องราวที่เขียนขึ้นเพื่อสะท้อนสภาพสังคมในช่วงเวลาต่างๆ ธรรมเนียมการเล่าเรื่องทางชาติพันธุ์มีลักษณะวิวัฒน์ไปอย่างต่อเนื่องในรูปแบบที่หลากหลายของภาพยนตร์ชาติพันธุ์สมัยใหม่ ตั้งแต่งานภาพยนตร์ประเภทสารคดีของฝั่งอังกฤษ เช่นงานของ Elton และ Anstey เรื่อง Housing Problems (1935) หรือสำนักฝรั่งเศสที่ได้รับอิทธิพลของ Jean Rouch ดังจะเห็นได้จากงานเรื่อง Les matres Fous หรืองานอื่นที่เป็นการเล่าเรื่องทางมานุษยวิทยาสมัยใหม่ และสัมพันธ์กับแนวคิดทางทฤษฎีที่หลากหลายเช่นงานของ Perrault, Brault และ Carriere เรื่อง The Moontrap (1963)
การเล่าเรื่องชาติพันธุ์วรรณนาว่าด้วยภาพนิ่งไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก แต่จะเป็นตัวอย่างให้เห็นเพิ่มเติมหลังจากที่ได้ทำความรู้จักภาพยนตร์ชาติพันธุ์ที่เล่าเรื่อง ในทางหนึ่ง ภาพยนตร์ที่มีรูปแบบเล่าเรื่องเป็นส่วนที่เราคุ้นเคยกับการมอง (การใช้ภาพ – ผู้แปล) เราคุ้นเคยกับความเป็นภาพยนตร์ที่ก่อร่างจากเหตุการณ์ที่มีลำดับไปตามเรื่องราว สายธารของภาพก่อร่างตนเองให้ปรากฏเป็นความเคลื่อไหวของเวลาและความคลี่คลายของเหตุการณ์ อย่างไรก็ตามภาพนิ่งในฐานะของ “ชิ้นส่วนของเวลา” ก็ถูกไปในการบอกเล่าเรื่องราวทั้งที่ง่ายและซับซ้อน ภาพนิ่งที่เล่าเรื่องประกอบด้วยลำดับของภาพชุดหนึ่งที่ได้รับการบันทึกไว้ในช่วงเวลาสั้นๆ ลักษณะภาพชุดเช่นนั้น แสดงให้เห็นปฏิสัมพันธ์หรือเหตุการณ์ การเล่าเรื่องด้วยภาพประเภทนี้มีความคล้ายคลึงกับภาพยนตร์ชาติพันธุ์ ในความเป็นจริง ภาพในแต่ละเฟรมจากภาพยนตร์ชาติพันธุ์สามารถสร้างเรื่องเล่าด้วยภาพได้เช่นกัน กล้อง 35 มม.สมัยใหม่ ซึ่งบันทึกภาพหลายเฟรมต่อวินาทีมีความเหมาะสมกับวัตถุประสงค์นี้ด้วย
รูปแบบที่สองของภาพนิ่งเล่าเรื่องใช้เวลาในลักษณะที่เป็นประสบการณ์อย่างมาก นี้เองที่ภาพแต่ละภาพนำเสนอช่วงวเวลาของเหตุการณ์ทางสังคมที่คลี่คลายออก บางครั้งกลับยาวนานเป็นปี ยิ่งรูปแบบการเล่าที่เป็นโวหารนี้มากขึ้น ลักษณะเป็นชาติพันธุ์วรรณนาที่เป็นนามธรรมมากขึ้น
การเล่าเรื่องที่ไม่ซับซ้อนที่เกี่ยวเนื่องกันคือ “photo essays” (ความเรียงด้วยภาพ) โดยเฉพาะอย่างในช่วงสามสิมปีของ “ภาพสำคัญ” (big picture) ที่ปรากฏในนิตยสารเช่น Life และ Look ความเรียงด้วยภาพเป็นการใช้ภาพถ่ายประมาณ 10 – 30 ภาพบอกเล่าเรื่องราว “เกี่ยวกับมนุษย์” ด้วยสายตาของนักหนังสือพิมพ์ W. Eugene Smith พิจารณาว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่ภาพถ่ายในนิตยสารเช่น Life จะสามารถเล่าเรื่องราวด้วยภาพเชิงลึกและเป็นจริงเป็นจัง ผลดังปรากฏในเรื่องราว (Smith and Smith, 1975) พิษจากสารตะกั่วในหมู่บ้านชาวประมงในญี่ปุ่นและความเคลื่อนไหวทางสังคมที่จะกระตุ้นให้ผู้รับผิดชอบเผชิญหน้ากับปัญหาในประเด็นมลพิษ ขณะที่หนังสือใช้ภาพเป็นแกนในการเล่าเรื่องราว หนังสือเสมือนหนึ่งเป็นการบอกเล่าเรื่องที่ไม่ได้ปั้นแต่ง เนื้อหามีลักษณะเชิงสังคมวิทยาเพราะภาพบ่งบอกกลุ่มสังคม และแสดงพฤติกรรมของคนในสถาบันเฉพาะและความเคลื่อนไหวทางสังคมบางกลุ่ม และแม้ว่าภาพจะไม่ได้บ่งงชี้ไปเช่นนั้น หนังสือก็ยังให้เนื้อหาชาติพันธุ์วรรณนาด้วยภาพ และส่งสารเชิงความรู้ได้เช่นกัน
Berger and Mohr (1982) ได้ทดลองใช้รูปแบบการเล่าเรื่องด้วยภาพ ชุดภาพประกอบด้วยภาพจำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบเอ็ดภาพที่บอกเล่าประสบการณ์ของกสิกรยุโรปคนหนึ่งในศตวรรษที่ยี่สิบ ขณะที่ลำดับภาพได้สร้างเรื่องราวขึ้นชุดหนึ่ง ความหมายกลับไม่ชัดเจน Berger ได้เขียนไว้ว่า
…เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเราที่จะให้กุญแจคำบอกเล่าหรือแนวทางเล่าเรื่องสำหรับภาพ
ชุดนี้ การทำเช่นนั้นเป็นการครอบงำด้วยเรื่องเล่าชุดเดียวตามสิ่งที่ปรากฏ และสิ่งนั้นจะ
ไปครอบงำความคิดหรือปฏิเสธชุดภาษาของตนเอง… (182:113).
ภาพชุดฉายให้เห็นเหตุการณ์ซึ่งเป็นจริงในแต่ละภาพ แต่มีความเรื่องปั้นแต่งหากมีการหยิบมาเล่าเรื่องในย่อหน้าสั้นๆ ซึ่งแสดงภาพชุดตามลำดับ Berger และ Mohr ได้แสดงให้เราเห็นว่าพวกเขามองความหมายจากภาพอย่างไร ภาพสัมพันธ์กับกล่าวถึงการเกิด เติมโต ความชรา และความตาย การอพยพจากเมืองหนึ่งสู่เมืองหนึ่งในยุโรป และสงครามที่เกิดขึ้นสองครั้ง เมือ่คุณดูภาพเหล่านี้ คุณเริ่มคิดเป็นเรื่องที่เล่าออกมา ความหมายของภาพจึงเกิดจากโครงสร้างและลำดับของภาพทั้งมวล
ผมคิดว่าตัวอย่างนี้หรืออื่นๆ (โปรดดูตัวอย่างจาก Adelman and Hall 1970, Clark 1971) การเล่าเรื่องด้วยภาพมีความเป็นชาติพันธุ์วรรณนาอย่างยิ่งยวด โดยพื้นฐานที่สุดภาพเหล่านี้มีเนื้อหาที่บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวัฒนธรรม ต้องไม่ลืมว่าชีวิตทางสังคมมีความหมายไปตามบริบทวัฒนธรรม ฉะนั้น คุณต้องกระโดดจากความรู้ชุดของคุณเองไปสู่ความรู้ของกลุ่มคนที่คุณศึกษา ถ้าในฐานะของนักวิจัย คุณเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัฒนธรรมอื่น คุณจึงสามารถใช้ประสบการณ์ส่วนตัวเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา ขณะที่การเล่าด้วยภาพดังที่ผมได้ยกตัวอย่างไปไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาโดยนักวิชาการเพื่อกลุ่มนักวิชาการ ความลึกของความรู้ของผมหรือช่างภาพและความสามารถในการสื่อสารข้ามอุปสรรคทางวัฒนธรรมจึงทำให้งานเล่าเรื่องด่วยภาพเป็นแบบทั่วไปในนิยามของงานนักวิชาการ
มีเพียงงานศึกษาด้วยภาพถ่ายโดยนักสังคมวิทยาและนักมานุษยวิทยาเพียงสามชุด (เท่าที่ผมรับทราบ) เน้นแก่นแกนการเล่าเรื่องด้วยภาพ งานศึกษาของ Mead และ Bateson ผลงาน Balinese Character (1942) รวมไปถึงการเล่าเรื่องด้วยภาพนิ่งบางส่วนที่นำมาจากฟิล์มภาพยนตร์ ตัวอย่างเช่น ภาพห้าภาพในชุดแรกที่ให้ชื่อว่า “ผลิตภัณฑ์ร่างกาย” (1942:118) แสดงให้เห็นว่าเด็กตัวน้อยเรียนรู้ “สำรอก” ของเหลว ชั่วขณะเกิดขึ้นระหว่างการกระตุ้นและการไม่ตอบสนอง (1942:148) แสดงให้เห็นว่าแม่และลูกอ่อนหยอกกัน เด็กมีความต้องการแต่แม่ไม่ได้ใส่ใจ ภาพอีกกลุ่มหนึ่งเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม การละเล่น และการแข่งขันระหว่างพี่น้องเป็นการเล่าเรื่องด้วยภาพ ผู้บันทึกได้สร้างคำบรรยายประกอบ เช่นเดียวกับงานของ Danforth และ Tsiras (1982) ใช้โครงการเล่าเรื่องด้วยภาพในการศึกษาพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวกรีก ภาพในงานศพหลายงาน ช่วงเวลาของการไว้ทุกข์และการขุดศพ ถูกจัดเรียงเพื่อนำเสนอภาพประสบการณ์เกี่ยวความตายในชนบทของกรีซ อรรถาธิบายมาพร้อมกับภาพ ซึ่งมีการบรรยายข้อมูลทางมานุษยวิทยาก่อนแล้ว ตัวอย่างท้ายสุด งานของ Gardner และ Heider ในผลงาน Gardens of War (1968) เป็นสมุดภาพและบทความซึ่งเล่าเรื่องการกสิกรรม งานศพ การเลียนแบบสงครามและสงครามเชิงพิธีกรรมระหว่างสองเผ่า หนังสือลำดับเรื่องไปตามภาพยนตร์ที่ Gardner และ Heider ในผลงานเรื่อง Dead Birds ทั้งนี้งานหนังสือมีความคล้ายคลึงกับงานภาพยนตร์มานุษยวิทยาของ Karl Heider ในผลงานเรื่อง Dani Sweet Potatoes
ตัวอย่างการเล่าเรื่องทางชาติพันธุ์ด้วยภาพ
ผมจะกลับไปที่การศึกษาที่ได้เสร็จสิ้นไปเมื่อหลายปีก่อน (Harpers 1976, 1982) เกี่ยวกับการสร้างเรื่องเล่าชาติพันธุ์ด้วยภาพ แต่แทนที่ผมจะกล่าวถึงปฏิสัมพันธ์ในภาพย่อยๆ ของเหตุการณ์ใด เหตุการณ์หนึ่งของคนเร่ร่อน ผมเลือกจะนำเสนอชั่วขณะต่างๆ ของชีวิตคนร่อนเร่ในภาพกว้าง
ในการดำเนินการให้งานวิจัยแล้วเสร็จ ซึ่งเป็นงานที่ผมได้สร้างสรรค์ภาพถ่ายเหล่านี้ ผมต้องอาศัยอยู่กับคนไร้บ้านและคนอพยพ ผู้มีชีวิตวนเวียนอยู่กับอยู่กับการทำงาน เหล้า และการขนส่งสินค้า การทำงานภาคสนามในครั้งนี้รวมถึงการร่วมขบวนเดินทางทางรถไฟจากทางเหนือของภูมิภาคกลางตะวันตก และการเก็บผลแอบเปิ้ลในวอชิงตัน รวมถึงการใช้ชีวิตตามทางรถไฟ การทำงานภาคสนามของผมที่จับเอาเหตุการณ์ตั้งแต่การอพยพจนถึงการเก็บผลผลิตทางเกษตรกรรม พร้อมไปกับการกล่าวถึงการเข้าสู่ ร่วมปฏิบัติ และละทิ้งวัฒนธรรมไปตามจังหวะการเดินทางของคนเร่ร่อน เรื่องราวทางมานุษยวิทยาของผมอาจเป็นเรื่องราวที่ไม่ได้เกิดกับคนอพยพที่เข้าสู่วงจรแรงงานทางการเกษตร ในขณะที่ผมเดินทางไปในการขนส่งสินค้าหลายครั้ง ผมได้เขียนถึงเพื่อนร่วมเดินทางคนหนึ่ง ผมจะใช้ชื่อว่า Carl ในบทความของผม ระหว่างการทำงานภาคสนามครั้งแรก ผมได้ความรู้ทางวัฒนธรรมในการตีความสิ่งต่างๆ ของ Carl และเขานิยามกิจกรรมเหล่านั้นอย่างไร ด้วยเหตุนี้ โครงสร้างข้อมุลของผมจึงสัมพันธ์กับความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมในทัศนะของผมเอง ผมเชื่อว่า “เรื่องราว” ที่ได้เขียนขึ้นนี้สามารถบอกเล่าชีวิตในโลกของการร่อนเร่ได้
ผมใช้ภาพถ่ายซึ่งผมได้บันทึกไว้ระหว่างการทำงานภาคสนามในลักษณะต่างๆ ตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ผมใช้ภาพเป็นตัวแทนบอกเล่าถึงคนเร่ร่อนประเภทต่างๆ (คือให้สอดคล้องไปกับภาพที่เห็น เช่น “rubber tramps” “bindle-stiffs” “airdales” “mission stiffs” และอื่นๆ) หรือเป็นการประมวลสภาพแวดล้อมขอนคนร่อนเร่ เช่น รถไฟขนส่ง ป่า ภารกิจและ skid rows ผมได้ถ่ายภาพอย่างเป็นระบบเพื่อฉายให้เห็นปฏิสัมพันธ์ต่างๆ ท่ามกลางคนเร่ร่อนหรือระหว่างคนเร่ร่อนกับ “สาธารณชน” อื่น ในการใช้ภาพในแง่มุมเชิงวิเคราะห์ ผมได้ใช้ภาพจากเมื่อครั้งที่เก็บข้อมูลช่วงแรกๆ ในการสัมภาษณ์กับคนเร่ร่อน (และเข้าใจเอาเองว่าคนเหล่านั้นสนใจในกิจกรรมนี้) เพื่อให้พวกเขากระเทาะนิยามทางวัฒนธรรมจากสายตาของพวกเขา ผมได้สร้างกลุ่มภาพในการสื่อสารช่วงเวลาต่างๆ ในการเข้าไปและออกจากชีวิตของคนเร่ร่อน สำหรับบรรลุบทความที่เป็นเชิงปรากฏการณ์ หรือแสดงให้เห็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ (ไม่เบ็ดเสร็จ) ประสบการณ์ที่พวกร่อนเร่ได้เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เชิงจิตวิทยาที่พวกเขาไม่ได้คาดหวัง ในท้ายที่สุด ผมได้ใช้ภาพถ่ายสื่อสารให้เห็นแบบอย่างของจังหวะและเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตของคนเร่ร่อน
เมื่อผมตีพิมพ์หนังสือจากข้อมูล ผมกลับไม่ได้ใช้ภาพถ่ายเพื่อลำดับข้อมูลชาติพันธุ์วรรณนาเพียงถ่ายเดียว ผมไม่ได้แตกต่างไปจากนักชาติพันธุ์วิทยาคนอื่นๆ ที่เน้นงานเขียน (ซึ่งเล่าถึงบุคคลแรกๆ ที่ได้พบระหว่างการเดินทางบนรถไฟ และการศึกษาคนเร่ร่อนคนหนึ่งในฐานะที่เป็นประสบการณ์) และขณะเดียวกันผมได้ให้คุณค่ากับภาพถ่าย และมองภาพถ่ายเป็นส่วนสำคัญของงาน ผมเลือกและลำดับภาพสำหรับการทำหนังสือให้ได้ตามจำนวนที่ตั้งใจไว้ ผู้ออกแบบสิ่งพิมพ์และผมร่วมลำดับภาพในเวลาสองสามชั่วโมง (กระบวนการทำงานก็ซับซ้อน พร้อมไปกับการเลือกคำอธิบาย ผมเองลืมเวลาในช่วงทำงานไปเลย) การเลือกภาพเน้นไปที่เงื่อนไขทางเทคนิค (เช่น ภาพที่จัดลงนี้จะเห็นผ่านไปอีกหน้าหนึ่งไหมหากมีการวางรูปทั้งสองด้านของแผ่นกระดาษ) หรือพิจารณาตามความงาม (ภาพที่เมื่อวางแล้วจะสอดคล้องกับภาพหน้าคู่) ภาพถ่ายจัดพิมพ์ในสามส่วนของหนังสือแยกออกจากตัวบทที่ตรงต่อเนื้อหาของภาพ ผมเขียนคำบรรยายขนาดสั้น แต่ไม่เน้นว่าสัมพันธ์กับส่วนใดส่วน
หนึ่งของตัวบทเป็นการเฉพาะ เมื่อผมมองหนังสือที่พิมพ์อีกครั้ง ผมเล็งเห็นพยานที่แสดงการเลือกภาพที่คำนึงถึงความงาม แต่ไม่ได้คำนึงว่าเนื้อหาในภาพสามารถบอกเล่าวงจรของคนเร่ร่อนได้ครบถ้วน
ผมเลือกภาพสำหรับจัดพิมพ์ (ห้าสิบสองภาพจากภาพทั้งหมดสามพันภาพ) โดยภาพเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนสังคม ผมศึกษารายละเอียดในแต่ละภาพ และพิจารณาว่าภาพนั้นตอบคำถามสองชุด ภาพสื่อสารให้เห็นลักษณะสำคัญของคนเร่ร่อนหรือไม่ และภาพมี “ความสมบูรณ์” เนื่องด้วยความงามหรือไม่ (นั่นหมายถึงภาพมีองค์ประกอบที่น่าสนใจ ความชัดเจน และสะท้อนความหมายทั้งในเชิงเปรียบเทียบและที่เห็นเป็นนัยตรง) การทำงานเช่นนี้เองที่ทำให้แกต่างไปจากคำกล่าวที่ว่า ภาพจะต้องบันทึกเนื้อหาสำคัญเชิงสังคมของชีวิตคนเร่ร่อน มีแง่มุมอีกมากมายที่ผมไม่ได้บันทึกไว้ และมีภาพเขียนอีกมากมายที่ผมไม่ได้ใช้ในหนังสือแต่มีความสำคัญในเชิงเนื้อหาทางชาติพันธุ์ กลับไม่ตอบสนองในเชิงเทคนิคและความงาม
ผมกลับไปทบทวนงานอีกครั้ง เพื่อสร้างเรื่องเล่าชาติพันธุ์ด้วยภาพเศษเสี้ยวหนึ่ง ผมต้องย้อนกลับไปช่วงเวลาที่มีกล้องอยู่ในมือ เพื่อจะนำเสนอภาพสักภาพของชีวิตคนร่อนเร่
ลำดับช่วงชีวิตของคนร่อนเร่
ภาพที่นำเสนอต่อไปนี้แสดงให้เห็นช่วงเวลาและระยะเปลี่ยนผ่านต่างๆ ในชีวิตของคนเร่ร่อนคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างเมื่อเมาแบบไม่รู้เนื้อตัว และการพยายามงดเหล้าในการเดินทางไปกับขบวนรถไฟขนส่ง การเดินทางเร่ร่อนไปกับคนอื่นๆ เพื่อหางานการเราฤดูเก็บเกี่ยวสำหรับเริ่มต้นการทำงาน และท้ายที่สุดคือการทำงานในในพื้นที่ที่เพาะปลูกในเชิงพาณิชย์ การเล่าเรื่องด้วยภาพของชีวิตคนร่อนเร่ต้องรวมถึงช่วงเปลี่ยนผ่านจากชีวิตการทำงานสู่ช่วงที่ดื่มเหล้าจัด และตามด้วย (นำไปสู่) การร่อนเร่ไปกบัรถไฟส่งสินค้า แล้วก็ต้องเข้าป่าหรือติดคุก หรือเดินทางลงใตในช่วง “ฤดูหนาว” การจะบอกเล่าเรื่องราวชีวิตคนเร่ร่อนด้วยภาพอย่างครบถ้วนคงต้องใช้ภาพเป็นร้อย และเมื่อเรามองภาพแยกแต่ละภาพ ภาพจะบอกช่วงเปลี่ยนผ่านหลักๆ และช่วงที่หยุดพักสำคัญของวงจรชีวิตคนเร่ร่อน
ตามที่ผมได้ละทิ้ง Minneapolis บนขบวนรถขนส่งสินค้า ผมได้พบกับคนเร่ร่อนคนหนึ่งที่เคยเมามายแบบไม่รู้เนื้อตัวเป็นเวลาสามสัปดาห์ แต่เราก็เดินทางไปทำงานเก็บแอบเปิ้ลในพื้นที่ที่ห่างออกไปกว่าสองพันไมล์ เรากลายมา “ซี้” (วลีที่ใช้กันบนท้องถนน) เดินทางและทำงานไปด้วยกันในไร่ต่างทางเหนือของกรุงวิชิงตัน ผมได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเขาจากนักดื่มมาเป็นคนทำงาน เรียกว่าเป็นวงจรปกติของชีวิตเขาทีเดียว