THE FUTURE CRIES BENEATH OUR SOIL เมื่อประวัติศาสตร์ บีบอัดเราให้แน่นและแตกเป็นเสี่ยง
THE FUTURE CRIES BENEATH OUR SOIL
เมื่อประวัติศาสตร์ บีบอัดเราให้แน่นและแตกเป็นเสี่ยง
Rotax เขียน
ที่มาของภาพ https://in-docs.org/the-future-cries-beneath-our-soil/
แม้ว่าสงครามอินโดจีนในเวียดนามที่เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1754-1975 จะผ่านมาเกือบกึ่งศตวรรษ แต่การเก็บกู้ระเบิดในจังหวัดกว๋างจิ ประเทศเวียดนาม ที่ถือว่าเป็นยุทธภูมิหนึ่งที่ถูกทิ้งระเบิดหนักที่สุด ก็ยังคงดำเนินต่อไป
ร่องรอยของสงคราม มิได้ปรากฏอยู่ในลักษณะหลุมบ่อขนาดใหญ่จำนวนมากเท่านั้น แต่ยังคร่าชีวิตผู้คนเวียดนามให้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก รวมทั้งยังมีหญิงม่าย เด็กกำพร้าและผู้พิการทางร่างกายตกทอดมาสู่รุ่นต่อมา รวมทั้งฝากบาดแผลในจิตใจของผู้ที่อยู่ร่วมยุคสมัย ดังที่ปรากฏในภาพยนตร์สารคดี เรื่อง THE FUTURE CRIES BENEATH OUR SOIL
THE FUTURE CRIES BENEATH OUR SOIL เป็นผลงานการกำกับของ Pham Thu Hang เธอทำงานเป็นนักวิจัยในสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะของเวียดนามมาตั้งแต่ปี 2004 หลังจากนั้นเธอได้เข้าร่วมกับ Hanoi Doclab เธอทำภาพยนตร์สารคดีสั้นๆ หลายเรื่องเพื่อเปิดประเด็นสนทนากับสังคม Pham Thu Hang ได้บอกกล่าวความรู้สึกถึงที่มาของการทำภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ในเว็บ Asian Cinema Fund ว่า “การเติบโตในประเทศที่ประวัติศาสตร์ถูกเขียนโดยเลือดจากสงครามกลางเมืองและความขัดแย้งระหว่างประเทศ ก่อเกิดเป็นคำถามที่มีอยู่ในใจว่าในฐานะมนุษย์ เราจะมีอิสระอย่างเต็มที่ที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองได้หรือไม่ว่า เราจะมีตัวตนอย่างไร ชะตากรรมของแต่ละคนจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวเอง หรืออยู่ในมือของคนอื่น เมื่อได้ทราบถึงความแตกต่างระหว่างประวัติศาสตร์ของประเทศต่างๆ ฉันได้ตระหนักว่าชีวิตของเรามีความจำเป็นตามสถานการณ์ และภายใต้เงื่อนไขของชีวิตที่มีอยู่อย่างจำกัดนี้ ก็ยังมีการสำรวจเก็บกู้ระเบิดในกว๋างจิอยู่อย่างต่อเนื่องและคาดว่า อาจต้องใช้เวลาอีก 80 ปี จึงจะเก็บกู้ระเบิดได้หมด”1
ย้อนไปในประวัติศาสตร์ของเวียดนาม สนธิสัญญาสันติภาพเจนีวา (Geneva Accord) ที่ลงนามโดยฝรั่งเศสและเวียดนามในฤดูร้อนปี ค.ศ.1954 กดดันให้เวียดนามต้องแบ่งประเทศออกเป็น 2 ส่วนชั่วคราว โดยการใช้เส้นขนานที่ 17 เป็นตัวแบ่ง
ตามมติของสนธิสัญญาสันติภาพเจนีวา เวียดนามจะต้องมีการเลือกตั้งในปี ค.ศ.1956 เพื่อรวมประเทศ ซึ่งเท่ากับว่าการแบ่งประเทศบนเส้นขนานที่ 17 จะถูกยกเลิกไปพร้อมกับการเลือกตั้ง ในขณะที่สหรัฐอเมริกาและกลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์จำนวนมากไม่สนับสนุนสนธิสัญญานี้ ประธานาธิบดี ดไวท์ ดี ไอเซนเฮาวร์ ของสหรัฐอเมริกาสนับสนุนกลุ่มเวียดนามที่อยู่ใต้เส้นขนานที่ 17 ภายใต้การนำของ โง ดินห์เดียม เพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่เรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาช่วยเหลือวิธีการต่อต้านคอมมิวนิสต์ โดยอ้างว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (ดีอาร์วี) หรือเวียดนามเหนือ ต้องการที่จะยึดเวียดนามใต้โดยใช้กองกำลังทางทหาร
รัฐบาลเวียดนามใต้ภายใต้การนำของ โง ดินห์เดียม ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามสนธิสัญญาสันติภาพเจนีวา โดยไม่สนับสนุนให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ.1956 เพราะกลัวว่าประชาชนเวียดนามกว่า 80% จะลงคะแนนให้ โฮจิมินห์ และกลัวว่าเวียดนามทั้งหมดจะกลายเป็นคอมมิวนิสต์ เหตุการณ์ระหว่างประเทศในระยะนั้นเป็นการเมืองแบบสงครามเย็น ที่สหรัฐอเมริกาหวาดกลัวอย่างมากว่าลัทธิคอมมิวนิสต์จะขยายอิทธิพลครอบงำไปทั่วโลก
ในช่วงปลายปี ค.ศ.1957 จากการช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกา โง ดินห์ เดียม ได้โต้ตอบฝ่ายเวียดนามเหนือโดยการได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยสืบราชการลับกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (CIA) (Central Intelligence Agencies) ในการระบุว่าใครบ้างที่พยายามจะโค่นล้มรัฐบาลของตนและจับกุมปรปักษ์หลายพันคน ในปี ค.ศ. 1959 โง ดินห์ เดียม ได้ออกนโยบาย 10/59 ซึ่งอนุญาตให้ทางการสามารถจับประชาชนขังคุกได้หากถูกสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์โดยไม่ต้องมีข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ ซึ่งทำให้กลุ่มปัญญาชน พระสงฆ์นิกายมหายานเวียดนามเผาตัวตายเป็นการประท้วง2
ราวปี ค.ศ.1963 รัฐบาลโง ดินห์ เดียม ปะทะกับประชาชน ในระยะนี้ ชาวเวียดนามใต้ได้รวมตัวกันและก่อตั้งเป็นกลุ่มเวียดกง และได้รับความช่วยเหลือจากเวียดนามเหนือ เวียดกงมีวัตถุประสงค์ที่จะล้มรัฐบาล โง ดินห์ เดียม และขับไล่อเมริกาออกจากเวียดนาม โดยมีจุดหมายที่จะรวมเวียดนามให้เป็นหนึ่งเดียว
เหตุการณ์ได้ทวีความรุนแรงเมื่อรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ถูกรัฐประหาร การเมืองในเวียดนามใต้ก็สั่นคลอน มีการเปลี่ยนรัฐบาลโดยการรัฐประหารอย่างต่อเนื่อง อเมริกาจึงเปลี่ยนสถานะจากการให้การสนับสนุนเรื่องยุทโธปกรณ์และงบประมาณ กลายมาเป็นชาติที่เข้าทำสงคราม จากเหตุนี้ สหรัฐอเมริกา ได้ส่งทหารเข้าไปในเวียดนามมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมีจำนวนมากถึง 500,000 คน ตั้งแต่กุมภาพันธ์ 1965 สงครามได้ทวีความรุนแรง และมีชาติต่างๆ เข้าไปมีส่วนร่วม ทั้งไทย เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ต่างก็ส่งทหารเข้าช่วยสหรัฐอเมริการบ ในขณะที่จีนและโซเวียตที่ให้ความช่วยเหลือทางอาวุธแก่เวียดนามเหนือ
ในปี 1968 อเมริกาก็เริ่มใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดเวียดนามเหนือเป็นการใหญ่ ในการสู้รบนั้นมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก มีการประมาณว่ามีชาวเวียดนามเสียชีวิตกว่า 2 ล้านคน ทหารอเมริกาเสียชีวิตกว่า 58,000 คน และอเมริกาต้องใช้จ่ายเพื่อการสงครามเป็นเงินกว่าหนึ่งแสนล้านเหรียญสหรัฐ และประมาณกันว่าสหรัฐอเมริกา สังหารพวกเวียดกงไปทั้งหมดประมาณ 600,000 คน ซึ่งเท่ากับว่าต้องใช้เงินประมาณ 500,000 เหรียญสหรัฐต่อชีวิตคนเวียดกงหนึ่งคน3
ที่มาของภาพ https://in-docs.org/the-future-cries-beneath-our-soil/
เศษซากจากสงครามในครั้งนั้นแม้ฝ่ายเวียดนามเหนือจะมีชัยเหนือเวียดนามใต้และสหรัฐอเมริกา แต่เศษซากของสงครามยังคงเป็นฉากเบื้องหลังของชีวิตของผู้คนในจังหวัดกว๋างจิ
หนังสารคดีเรื่อง THE FUTURE CRIES BENEATH OUR SOIL เสนอชีวิตของผู้คนที่ยังรอดชีวิตบางส่วนอย่าง หลก ดิญ และทัญ ชายสามคนที่เกิดในช่วงต้นทศวรรษ 1960 ตั้งแต่ในเมืองกว๋างจิ เมืองหนึ่งที่เป็นเส้นทางการลำเลียงความช่วยเหลือของเวียดนามเหนือที่ลงไปช่วยเวียดกงในเวียดนามใต้ และตลอดเส้นทางนี้เป็นดินแดนที่สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดอย่างหนักเพื่อสกัดการลำเลียง โชคชะตาของ หลก ดิญ และทัญ ดูเหมือนจะหลุดออกจากมือของพวกเขา ไม่เพียงแค่เกิดในช่วงเวลาที่เวียดนามประสบภาวะสงครามที่ยาวนาน แต่พวกเขายังเกิดในศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ของสงครามเขตแดนของเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ในจังหวัดกว๋างจิ แม้เขาจะรักษาชีวิตให้รอดจากสงคราม ทว่าจิตวิญญาณของพวกเขาดูเหมือนจะจมอยู่ในอดีต
ที่มาของภาพ https://in-docs.org/the-future-cries-beneath-our-soil/
ภาพยนตร์สารคดีดำเนินไปอย่างเรียบง่าย และมีบทสนทนาไม่มากนัก เพื่อมองกิจวัตรของชายทั้ง 3 คน พูดคุย ปรับทุกข์ ขับลำนำถึงชีวิตในอดีตที่มีฉากหลังเป็นเรื่องราวของสงคราม และฟุ้งฝันถึงความหวังและความสดใสที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริงในช่วงอายุของพวกเขา ตัดสลับกับภาพการสำรวจระเบิดในทุ่งสีขาวอันเวิ้งว้างในฤดูหนาวอันเหน็บหนาวและแห้งแล้ง ท่ามกลางการไหลเอื้อยของหนังก็มีข้อท้าทายที่ชี้ชวนให้ผู้ชมเกิดข้อคำถามถึงชีวิตที่ต้องดำเนินไป บนผืนดินที่เบื้องล่างเต็มไปด้วยซากระเบิดจากการถล่มทิ้งของสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนาม ที่ว่ากันว่ายังหลงเหลืออยู่มากมายใต้ผืนดิน
ความหวังและความสดชื่นในชีวิตเหือดหายหลงเหลือเพียงความเหือดแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวาเพราะแต่ละวันที่ดำเนินไป คือความหวาดกลัวจากอดีต หรืออาจเป็นความอับจนในชีวิต
หนังจบลงด้วยฉากความตายของหลก และความเงียบคงจะเข้าครอบงำอีกครั้งหลังจากที่หลก ศิลปินผู้ขับกล่อมลำนำได้ตายจากไป ภาพชีวิตใน THE FUTURE CRIES BENEATH OUR SOIL จึงเป็นหนังสารคดีอีกเรื่องหนึ่งที่ฉายภาพชีวิตของผู้คนได้รับมรดกของสงคราม แม้สงครามจะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว แต่บาดแผลที่เกิดจากประวัติศาสตร์ทางการเมือง ที่ก่อตัวและริเริ่มจากอุดมการณ์ทางการเมืองในยุคสงครามเย็นนั้น ยังเป็นมรดกที่พวกเขาต้องแบกรับและดำเนินชีวิตอยู่กับมัน
ผลของสงครามในประวัติศาสตร์ยังคงสร้างเงื่อนไขความทนทุกข์ให้แก่ผู้คนอย่างมหาศาลโดยเฉพาะคนเล็กคนน้อย
1 http://acf.biff.kr/eng/html/projects/documentary_view
2 อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์. ประวัติศาสตร์โดยสังเขปของสงครามเวียดนาม. จาก prachatai.com/journal/2015/03/58623 สืบค้นเมื่อ 10 กันยายน 2562
3 ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. สงครามอินโดจีน. กรุงเทพฯ: พิฆเณศ, มปป.