ZIARAH: TALES OF THE OTHERWORDS ความตาย ความหวัง และความลี้ลับของประวัติศาสตร์
ZIARAH: TALES OF THE OTHERWORDS
ความตาย ความหวัง และความลี้ลับของประวัติศาสตร์
พลูโตแอนด์แครอน เขียน
ที่มาของภาพ https://www.facebook.com/sac.anthropology/photos/ziarah-tales-of-the-otherwords-2017/10154573388021401
“ความตายไม่ได้พรากผู้คนจากกันเสมอไป ที่จริงอาจตรงกันข้าม คนที่จากกันไปจะได้อยู่ร่วมกันใต้ผืนดิน คนเรามาจากดินก็ต้องกลับสู่ดิน”
หนึ่งในบทสนทนาของ ZIARAH ภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นว่าความตายนำมาซึ่งการสูญเสียความรักแท้ที่ยังคงรอคอยของ ซรี (Sri) หญิงชราวัย 95 ปีกับการตัดสินใจออกเดินทางเพื่อค้นหาผืนดินสุดท้ายที่กลบฝังสามีของเธอ เมื่ออดีตเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของสามี เล่าให้ฟังถึงวีรกรรมและหลุมศพที่ฝังร่างของเขาพร้อมกับทหารอีกหลายคน ปาวิโร ซาอิด (Pawiro Sahid) คือสามีของเธอผู้เป็นทหารหนุ่มที่เข้าร่วมรบในสงคราม เมื่อครั้งเจ้าอาณานิคมฮอลันดาปราบปรามประชาชนในปี ค.ศ.1947 “ฉันจะรบในสงครามถ้าฉันไม่ได้กลับบ้าน แปลว่าฉันได้อยู่กับผืนแผ่นดินที่ฉันปกป้องแล้ว เอกราชของดินแดนนี้คงต้องแลกด้วยชีวิต” คำพูดสุดท้ายก่อน ปาวิโร ซาอิด จะจากไป แสดงออกถึงความรักชาติอย่างท้วมท้น จนยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องประเทศ แต่สำหรับซรีที่ยังคงยึดมั่นในรักกลับเฝ้ารอและตามหาเพื่อจะได้พบเขาอีกครั้ง แม้สุดท้ายเธอจะได้พบเพียงหลุมศพของเขาก็ตาม
ผู้ชมจะได้เห็นมุมมองเกี่ยวกับประวัติศาสตร์บอกเล่าผ่านความทรงจำของชาวชวา ตามการเดินทางของตัวละครหลักอย่าง ซรี และหลานชายที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการตามหาหลุมฝังศพ เฉกเช่นเดียวกับอารมณ์ความรู้สึกที่จะได้สัมผัสผ่านภาพยนตร์เรื่อง ZIARAH: TALES OF THE OTHERWORDS
ZIARAH: TALES OF THE OTHERWORDS ภาพยนตร์รางวัล Special Jury Prize และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเทศกาล Asean International Film Festival & Awards, Malaysia 2017 ที่เต็มเปี่ยมด้วยกลิ่นอายของเมืองหลวงเก่าบนเกาะชวากลางอย่างยอคยาการ์ตา (Yogyakarta, 1945 - 1948) ผลงานของผู้กำกับหนุ่มมุสลิมชวาบุคลิกเรียบง่าย BW. Purba Negara ที่ผันตัวเองจากอดีตผู้ผลิตภาพยนตร์สั้นเกี่ยวกับเด็กๆ ที่สดใส เกิดเปลี่ยนแนวความคิด เมื่อวันหนึ่งในปี ค.ศ. 2005 เกิดสึนามิที่สร้างความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่มาสู่อินโดนีเซีย โดยเฉพาะในรัฐอาเจะห์ BW. Purba Negara เป็นอาสาสมัครที่นั่น ทำให้เขาเห็นความตายที่อยู่เบื้องหน้าและส่งผลกระทบต่อจิตใจ จนทำให้หวนระลึกถึงความตายอยู่เสมอ เกิดเป็นแรงผลักดันให้สรรค์สร้างผลงานอย่าง ZIARAH ขึ้นมาสู่สายตาผู้ชม รวมทั้งพื้นฐานที่ Negara มีความสนใจในเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ จึงเลือกหยิบ 3 เหตุการณ์สำคัญ หรือ Link of Death ที่เกิดขึ้นในประเทศอินโดนีเซีย โดยทั้ง 3 เหตุการณ์ถือว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ซ่อนเร้นทั้งสิ้น นั่นคือ เหตุการณ์สังหารหมู่ประชาชนโดยทหารดัทช์ในปี ค.ศ. 1947 ระหว่างการลุกฮือเรียกร้องเอกราชของชาวอินโดนีเซีย ที่ในขณะนั้นดัทช์เคยปกครองหมู่เกาะอินดีสมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 จนกระทั่งถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกกองทัพญี่ปุ่นยึดครองและขับไล่ออกไป จากนั้นกองทัพของดัทช์ได้พยายามเข้ามายึดครองหมู่เกาะอินดีสหรืออินโดนีเซียอีกครั้ง แต่ก็ต้องเผชิญหน้ากับการลุกฮือต่อต้านของประชาชนพื้นเมืองที่เรียกร้องอิสรภาพ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1949 ดัทช์จึงได้รับรองเอกราชของประเทศอินโดนีเซียอย่างสมบูรณ์1 ซึ่งผู้ชมจะได้รับรู้ผ่านบทสนทนาของตัวละครที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ตามการดำเนินเรื่อง
“เลือดนองเต็มตัวเขา เขานอนอยู่ข้างรถ แล้วตาก็หนี ฉันไม่แน่ใจว่าตาพูดถึงใคร แต่ที่แน่ๆ ตาเสียใจมากที่เพื่อนๆ ถูกยิง แต่ตาช่วยอะไรไม่ได้เลย จากนั้นตาก็กลับไปแต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นและเหลือแต่กองดิน”
หรือมุมมองที่ชาวบ้านเห็นว่า “พวกนี้มันชอบใช้คนท้องถิ่นเข้าไปขโมยของชาวบ้าน คนชวารู้เรื่องนี้ดี” จึงแต่งเพลงขึ้นเพื่อล้อเลียนพฤติกรรมของชาวดัทช์ ดังเนื้อร้องที่ว่า
“พวกดัทช์ชอบทำเหมือนลาดตระเวน แต่ที่จริงจ้องจะขโมยของ ไก่ เป็ด ควาย แพะ วัวและอีกมากมาย”
บทเพลงดูคล้ายจะบอกถึงวิธีคิดที่พยายามมองเหตุการณ์ร้ายๆ ให้เบาลง แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เบื้องหลังบทเพลงและคำพูด คือความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ ที่ถูกกระทำอย่างไร้ความปรานี
นอกจากนี้ ผู้กำกับยังผูกโยงเนื้อหาของภาพยนตร์ให้สอดคล้องกับโศกนาฏกรรมในปี ค.ศ. 1965 เกี่ยวกับการโค่นล้มรัฐบาลซูการ์โนและการปราบปรามคอมมิวนิสต์ ในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1965 หรือ เหตุการณ์ “เกสตาปู” (G30S) พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย (PKI) พยายามโค่นล้มรัฐบาลของนายซูการ์โน โดยเข้ายึดสถานที่สำคัญ แต่แล้วก็ล้มเหลวเนื่องจากฝ่ายทหารที่นำโดยนายพลซูฮาร์โต หนึ่งในผู้บัญชาการกองทัพระดับสูง ซึ่งรอดพ้นการจับกุมได้ทำ “รัฐประหารซ้อน” สามารถเข้ายึดอำนาจกลับคืนมา นำมาสู่เหตุการณ์สังหารหมู่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์หรือมีส่วนเกี่ยวข้อง จนมีผู้เสียชีวิตมากกว่าล้านคน2 แม้เหตุการณ์จะผ่านมากว่า 50 ปี แต่การสังหารหมู่ครั้งนี้ยังคงเป็นประเด็นต้องห้ามในสังคมอินโดนีเซียจนถึงปัจจุบัน
อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ถูกนำมาเชื่อมโยงเป็น Link of Death คือ การสร้างเขื่อนที่รัฐบาลทหารได้สังหารชาวบ้านไปหลายคน และบางส่วนต้องจำยอมโยกย้ายออกจากพื้นที่ไปในที่สุด
“นึกว่าพูดถึงทหารที่เข้ามาตามหมู่บ้านตอนจะสร้างเขื่อน ชาวบ้านไปซ่อนกันในป่าแล้วกลับเข้าบ้านตอนกลางคืน แล้วทหารก็ตามจับ จู่ๆ น้ำก็ท่วมหมู่บ้านเรา ตอนบ่ายดินยังแห้งอยู่เลย พอกลางคืนบ้านก็จมน้ำหมดแล้ว ตอนนั้นเรารีบรื้อกระเบื้องมุงหลังคากับไม้ในบ้านเพื่อจะเก็บไว้ปลูกบ้านใหม่ ชาวบ้านยังไม่ทันหนีหมู่บ้านก็จมน้ำแล้ว หลายคนยังหลับอยู่ตื่นมาก็ตกใจเพราะน้ำท่วมบ้าน”
นี่คืออีกหนึ่งบทสนทนาของนักแสดงซึ่งดูราวกับว่าพูดตามบทบาทที่ได้รับ แต่หากมองลงไปในแววตากลับพบว่าถ้อยคำดังกล่าวได้เปล่งออกมาจากความขมขื่นในใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าใดแต่บาดแผลจากการกระทำโดยผู้มีอำนาจไม่อาจเลือนหาย ดังนั้น เมื่ออำนาจเผด็จการที่ครอบคลุมทั่วผืนดินของอินโดนีเซียที่ทำให้ประชาชนไม่กล้าแสดงออกทางความคิด สังคมถูกปิดกั้นทางปัญญา ได้ปิดฉากลงในปี ค.ศ. 1988 พร้อมกับการสูญเสียอำนาจของซูฮาร์โตผู้นำประเทศ ส่งผลให้สังคมตื่นตัวต่อการตั้งคำถาม ประชาชนส่วนใหญ่หันมาสนใจประวัติศาสตร์ซ่อนเร้นที่เก็บงำโดยผู้มีอำนาจ ได้ถูกนำกลับมาพูดถึงอีกครั้งโดยการสื่อสารผ่านภาพยนตร์อย่าง ZIARAH
กว่าจะเป็น ZIARAH
เมื่อผู้กำกับต้องการบอกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ซ่อนเร้นให้ดูอ่อนโยน จึงเลือกเล่าผ่านความตายที่สวยงามโดยใช้ความรัก ความสัมพันธ์ของคนรุ่นเก่าที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ยังคงซื่อสัตย์ต่อความรัก ทั้งที่ใช้เพียง 2 นักแสดงหลัก และการดำเนินเรื่องที่เนิบช้า แต่กลับทำให้ผู้ชมเฝ้าติดตามอย่างไม่อึดอัด นั่นเป็นเพราะวิธีการเล่าเรื่องที่แทรกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ซ่อนเร้น หรือ Link of Death ไว้แทบทุกระยะของการดำเนินเรื่อง และเพื่อให้ ZIARAH ออกมาเป็นภาพยนตร์ที่มีความสมบูรณ์สำหรับบอกเล่าประเด็นดังกล่าว จึงมีการค้นหานักแสดงนำผู้รับบทเป็นคุณยายซรีจากหมู่บ้านต่าง ๆ โดยที่ตัวคุณยายและนักแสดงสมทบต้องมีประสบการณ์ร่วมจากเหตุการณ์จริง เพียงแต่ต้องเปลี่ยนชื่อบุคคลให้เป็นตัวละครที่เล่าขึ้นมาใหม่ จึงทำให้เกิดการเรียงร้อยเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์จริงและเรื่องที่แต่งขึ้น ทำให้ผู้ชมได้รับรู้ถึงพลังและส่งให้ ZIARAH เป็นภาพยนตร์ที่มีเสน่ห์ชวนติดตาม
1 ประชาไท. (2554). ทางการดัทช์กล่าว “ขอโทษ” อินโดฯ เหตุสังหารหมู่เมื่อ 64 ปีก่อน. สืบค้นเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2560, จาก https://goo.gl/Awxkf7.
2 Voice TV. (2556). 'G30S' 48 ปี แห่งความเงียบงันของอินโดนีเซีย. สืบค้นเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2560, จาก https://goo.gl/ViNLF8.