เมื่อเส้นแบ่งไม่สามารถทำหน้าที่แบ่งแยกได้ทั้งหมด: สำรวจความหนืด ความปรุพรุนและความหนืดพรุน

 |  แนวคิด ทฤษฎีมานุษยวิทยา
ผู้เข้าชม : 342

เมื่อเส้นแบ่งไม่สามารถทำหน้าที่แบ่งแยกได้ทั้งหมด: สำรวจความหนืด ความปรุพรุนและความหนืดพรุน

“จงทำจิตใจให้ว่างเปล่า อย่ามีแบบแผน จงไร้รูปร่างดุจน้ำ หากคุณใส่น้ำลงในถ้วย น้ำจะกลายเป็นถ้วย เมื่อคุณใส่น้ำลงในขวด น้ำก็จะกลายเป็นขวด เมื่อคุณใส่น้ำลงในกาน้ำชา น้ำก็จะกลายเป็นกาน้ำชา น้ำสามารถไหลเวียน หรือสามารถพุ่งชน จงเป็นน้ำเถิด เพื่อนของฉัน”

Bruce Lee (in Kok, 2018)

           บทสัมภาษณ์ข้างต้นกล่าวโดย Bruce Lee ที่ให้สัมภาษณ์กับรายการหนึ่งไว้ในสมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่ วลีที่ว่า “Be water, my friend” ถูกใช้นำมาอธิบายปรัชญาการใช้ชีวิตอย่างแพร่หลาย เขาใช้การอุปมา (metaphor) คุณลักษณะที่ลื่นไหลของน้ำมาเปรียบการใช้ชีวิตอย่างปรับตัวและยืดหยุ่น ลักษณะการอุปมานี้ยังสามารถนำไปใช้อธิบายคุณลักษณะของ “สิ่ง” หรือ “ตัวตน” ได้ เช่น หากเราอธิบายบุคคลหนึ่งเหมือนกับน้ำ น้ำมีสถานะเป็นของเหลวที่สามารถปรับรูปร่างไปตามภาชนะบรรจุ (Ingold & Simonetti, 2022, p. 6) ดังนั้น คนที่สามารถเข้ากับทุกกลุ่มทางสังคมได้ดีจึงเหมือนผู้ที่สามารถปรับรูปร่างได้ราวกับน้ำ ความลื่นไหลของน้ำแบบ Bruce Lee ถูกนำมาใช้แสดงออกในการชุมนุมทางการเมืองที่ฮ่องกงเมื่อ พ.ศ. 2562 เพื่อบ่งบอกถึงลักษณะของการเคลื่อนไหวทางการเมืองในแบบที่ยืดหยุ่นและลื่นไหลเหมือนกับการเป็นน้ำ (Sala, 2019)

           ตัวอย่างของการเปรียบน้ำออกมาเป็นวิถีการใช้ชีวิต (way of life) ของบรูซ ลี สะท้อนให้เห็นความเป็นไปได้ของคำอุปมาในการเปรียบกับคุณลักษณะของสรรพสิ่ง ในการศึกษาปรัชญาสังคมและสังคมศาสตร์ คำอุปมายังเป็นมากกว่าการเปรียบเปรย A กับ B แต่สามารถทำหน้าที่เป็นแนวคิดในการอธิบายความเป็นสังคม (sociality) และปฏิสัมพันธ์ของสรรพสิ่งได้ ในบทความนี้ ผู้เขียนยก “ความหนืดพรุน” มาอธิบายให้เห็นความสามารถในการชี้ให้เห็นถึงพหุสภาวะของ ภววิทยาที่ทั้งหนืดและพรุน

           ความหนืดพรุนเกิดจากการรวมสองคำอุปมาที่เป็นแนวคิดเข้าด้วยกัน คือความหนืด (viscosity) และความปรุพรุน (porosity) ทั้งสองคำต่างถูกเอาไปใช้เพื่ออธิบายสภาวะที่เกิดขึ้นในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งสองสิ่งหรือมากกว่านั้น การทำความเข้าใจความหนืดพรุนจึงควรเริ่มจากการเข้าใจนิยามและคุณสมบัติของแต่ละคำเสียก่อน


ความหนืด

“ความหนืดไม่ใช่ทั้งความลื่นไหลและของแข็งแต่เป็นสภาวะตรงกลาง”

(Tuana, 2008, p. 193)

           ความสำคัญของการถกเถียงเรื่องสสารและสภาวะของมันเกิดขึ้นในช่วงที่มนุษยสมัยเป็นประเด็นศึกษาสังคมในแวดวงสังคมศาสตร์ การเข้าใจวัตถุสภาวะของสิ่งแวดล้อมจึงนำไปสู่การเข้าใจวัตถุในมนุษยสมัย นักปรัชญาชาวอเมริกัน Nancy Tuana (2008) อธิบายว่าความหนืดแตกต่างออกมาจากความลื่นไหล (fluidity) ความหนืดเป็นสภาวะที่ประกบทั้งสองคู่ตรงข้ามเข้าด้วยกัน ทั้งนี้ สองคำต่างเชื่อมโยงกัน เนื่องจากความหนืดมีบทบาทในข้อถกเถียงของสภาวะของแข็ง-ของเหลว

           Simonetti (2022) ใช้กรณีศึกษาธารน้ำแข็งวิทยา (glaciology) เพื่อทำความเข้าใจสภาวะความหนืดที่ทำให้ปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยามาบรรจบกับปรากฏการณ์ทางสังคม Simonetti ชี้ว่า ความหนืดช่วยสร้างกรอบคิดในการเข้าใจสสารของธรรมชาติและความคิดแบบขั้วตรงข้ามที่อยู่เบื้องหลัง ปัญหาของการแยกสถานะของแข็ง-เหลวถูกชี้ให้เห็นว่ามาจากฐานคิดแบบตะวันตกที่มีลักษณะของทวิภาวะ (dualism) เช่นเดียวกับที่งานศึกษาทางสังคมศาสตร์อธิบายคู่ตรงข้ามเชิงสังคม (ดูเพิ่มเติมใน Descola, 2012; Kohn, 2013) ความหนืดในทางธารน้ำแข็งวิทยาคือ “การถูกทำให้เหนียว” (being sticky) นั่นหมายถึงว่า ธารน้ำแข็งที่ดูเหมือนกับเป็นของแข็งแต่กลับมีสภาวะกึ่งแข็งกึ่งเหลว เนื่องจากความแข็งของน้ำแข็งสามารถทะลุผ่านได้ น้ำแข็งสามารถละลายได้ ขณะเดียวกันความหนืดของน้ำแข็งยังสามารถกักเก็บชุมชนของจุลชีพที่หลากหลายไว้ข้างในน้ำแข็งและสามารถเป็นเหมือนกาวดักสสารให้เข้ามาติดอยู่ที่มันเช่นกัน การคิดเรื่องความหนืดของน้ำแข็งจึงเป็นการท้าทายไปที่วิธีคิดแบบเป็นเนื้อเดียวกัน (homogeneity) ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ธารน้ำแข็งถูกคาดการณ์ว่าจะละลายกลายเป็นน้ำ (ของเหลว) การคิดเรื่องความหนืดจึงช่วยให้เกิดความเข้าใจถึงวัตถุสภาวะที่ไม่ได้ดำรงอยู่แบบขั้วตรงข้ามเสมอไป เส้นแบ่งสามารถหายไปและเกิดขึ้นใหม่เหมือนกับน้ำแข็ง (Ingold & Simonetti, 2022) เช่นเดียวกับการแยก วิทยาศาสตร์-สังคมศาสตร์ ธรรมชาติ-วัฒนธรรม การเข้าใจมนุษยสมัยจึงจำเป็นต้องมองสถานะของสสารมากกว่าการแยกของแข็งกับของเหลว ไปสู่โลกของ “ของแข็ง-เหลว”

           ภววิทยาของความหนืดทำให้เห็นถึงสภาวะตรงกลางที่เกิดขึ้นในสสาร ความหนืดจากตัวอย่างแรกดูเหมือนกับเป็นปรากฏการณ์ที่สัมพันธ์กับธรรมชาติและดูเหมือนกับอยู่ไกลจากชีวิตประจำวันของเรา แต่นอกจากวัตถุสภาวะของความหนืดในการถกเถียงเชิงวิทยาศาสตร์ ความหนืดยังถูกใช้เป็นกรอบวิเคราะห์มิติทางสังคมที่อาจใกล้ตัวเรากว่าที่คิด งานศึกษาของ Wagner และ Peters (2014) สนใจไปที่ความหนืดเชิงสังคม-พื้นที่ในผู้หญิงมุสลิมที่อาศัยในเนเธอร์แลนด์ เนื่องจากผู้หญิงชาวมุสลิมมักถูกความคิดทางศาสนาและวัฒนธรรมจำกัดกรอบให้พวกเธออาศัยแต่เพียงพื้นที่ในบ้าน กรณีนี้ ความหนืดคือการประกอบร่วมเชิงพื้นที่ ระหว่างบ้านและพื้นที่สาธารณะ แต่การประกอบร่วมดังกล่าวกลับเกิดจากปัจจัยทางศาสนาและสถานะผู้ย้ายถิ่นฐาน ผู้วิจัยอธิบายความรู้สึกกลัวในการออกไปใช้พื้นที่สาธารณะของผู้หญิงมุสลิมว่าเกิดจากการปะทะสังสรรค์กับความหนืดดังกล่าว งานชิ้นนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดตามมาในย่านผสมผสานทางวัฒนธรรมที่ไม่สามารถมอบความรู้สึกปลอดภัยและสบายใจในการอยู่อาศัยของผู้ย้ายถิ่นฐาน

           ท่ามกลางการถกเถียงเรื่องความหลากหลายของเมือง (urban heterogeneity) ความหนืดกลับเป็นเหมือนกับกาวที่ติดสถานะชายขอบของเพศสภาพให้ผู้หญิงไม่สามารถเคลื่อนย้ายในย่านได้อย่างอิสระ อีกทั้ง กรณีนี้ยังเกิดขึ้นกับย่านที่พยายามจะใช้ความปรุพรุนทลายเส้นแบ่งของเชื้อชาติ เส้นแบ่งดังกล่าวจึงไม่สามารถเปิดออกและยังทำให้คนบางกลุ่มไม่ได้รับความเท่าเทียมในการอยู่อาศัย นอกจากนี้ ความหนืดยังถูกศึกษาในกรณีการย้ายถิ่นฐานจากชนบทสู่เมือง งานเขียนจากโครงการวิจัยโดย Doherty (2014) ใช้กรณีของครอบครัวในรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลียที่ต้องการย้ายถิ่นฐานเพื่อให้ลูกได้เข้าถึงโอกาสทางการศึกษาที่ดีขึ้นเพื่ออธิบายความหนืดที่เกิดขึ้นในกระบวนการเคลื่อนย้าย เนื่องด้วยบริบทการศึกษาในยุคเสรีนิยมใหม่ถูกทำให้โรงเรียนต่างพยายามแข่งขันในเชิงการตลาดมากขึ้น โรงเรียนในเมืองมีข้อได้เปรียบกว่าโรงเรียนนอกเมืองด้วยทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐาน โรงเรียนต้องสรรหาบริการและข้อได้เปรียบที่โรงเรียนอื่นไม่มีเพื่อสร้างมูลค่าและดึงดูดลูกค้า (ผู้เรียน) ฝั่งผู้ปกครองจำเป็นต้องพิจารณาโรงเรียนจำนวนหนึ่งเพื่อหาตัวเลือกที่ดีที่สุดให้กับลูก พวกเขายังจำเป็นต้องมีราคาเพิ่มเติมนอกจากค่าเล่าเรียน เช่น ค่าจองที่ก่อนเข้าเรียน เวลาและทรัพยากรที่เสียในการเข้าไปในระบบคัดตัว การเปรียบเทียบโรงเรียนจึงทำให้โรงเรียนในชนบทไม่สามารถแข่งขันในตลาดกับโรงเรียนในเมือง กลายเป็นว่าโรงเรียนในเมืองมีความเป็นแม่เหล็ก (magnetism) ที่ดึงดูดคนในชนบทเข้าไปในเมือง Doherty เรียกปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นความหนืดพรุนเชิงโครงสร้าง (structural viscosity) เพราะสิ่งที่โครงการวิจัยพบไม่ใช่เรื่องของครอบครัวที่ศึกษาหรือโรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่ง แต่เป็นความหนืดที่เกิดขึ้นกับเมืองหลายเมืองจนกล่าวได้ว่าเป็นประเด็นเชิงโครงสร้างที่กำกับการเคลื่อนย้ายของผู้คน

           ความหนืดเป็นสภาวะที่เป็นได้ทั้งของแข็งเหมือนน้ำแข็งที่แช่แข็งสรรพสิ่งไว้ข้างในทั้งในเชิงกายภาพและเชิงสังคม ขณะเดียวกัน ความหนืดยังมีลักษณะลื่นไหลจนสามารถแทรกซึมผ่านเส้นแบ่งเพื่อไปเกาะติดกับคู่ปฏิสัมพันธ์ได้ สภาวะความหนืดพรุนอาจไม่ได้มีไว้เพื่อทำความเข้าใจความลื่นไหลเชิงวัตถุสภาวะอย่างเดียว แต่กลับทำให้ผู้ที่นำแนวคิดมาศึกษาได้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมของผู้กระทำการในแต่ละปฏิสัมพันธ์ การเข้าใจลักษณะของความเหลื่อมล้ำนี้อาจไม่สามารถมองผ่านความหนืดได้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยอีกสถานะในการปฏิสัมพันธ์ ได้แก่ ความปรุพรุน


ความปรุพรุน (porosity หรือ porousness)

           ความปรุพรุนเป็นคำอุปมาเชิงปรัชญาที่ใช้อธิบายถึงสภาวะปรุโปร่งในปฏิสัมพันธ์ เช่นเดียวกับความหนืด วิธีคิดแบบนี้เป็นการโต้แย้งกลับไปที่เส้นแบ่งแบบทวิภาวะที่เกิดขึ้นในสังคมสมัยใหม่ พนา กันธา (2567) เขียนถึงความพรุนที่เกิดขึ้นในเส้นแบ่งหรือพรมแดนเป็นสิ่งที่ทำให้การอยู่ร่วมกันแบบพหุสายพันธุ์เป็นไปได้ หมายถึงไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์หรือสิ่งเหนือธรรมชาติสามารถข้ามพรมแดนทางภววิทยาเพื่อมีปฏิสัมพันธ์กันได้ อย่างไรก็ตาม รูพรุนเองจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยปฏิสัมพันธ์ที่เปิดรับต่อสิ่งอื่นที่แตกต่างกันทางภววิทยา นั่นหมายถึงผู้กระทำการในโครงข่ายของการปฏิสัมพันธ์มีส่วนสร้างหรือทำให้รูพรุนถูกรับรู้ขึ้นมาได้

           ความปรุพรุนยังสามารถเกิดขึ้นกับพื้นที่กายภาพ เช่น การจัดแบ่งย่านหรือเขตในเมือง ซึ่งการแบ่งแยกหรือจัดประเภทอย่างชัดเจนนั้นได้รับอิทธิพลมาจากวิธีคิดแบบโลกตะวันตก ความหนืดพรุนเป็นรูปแบบของการต้านกลับเพื่อวิพากษ์ความเป็นสมัยใหม่ (Wolfrum, 2018, p. 10) แนวคิดนี้เชื่อว่าเส้นแบ่งของปฏิสัมพันธ์นั้นมีรูพรุนที่สามารถทะลุผ่านกันได้ คุณลักษณะของปฏิสัมพันธ์ที่มีความพรุนอาจอยู่ในรูปแบบหรือความรู้สึก เช่น ความพร่าเลือน (blurring) การอยู่ร่วมกัน (coexistence) การแทรกซึมผ่าน (permeability) ความคลุมเครือ (ambiguity) เป็นต้น (Wolfrum, 2018) คุณลักษณะนี้ถูกนำมาใช้เป็นแนวทางในการออกแบบเมืองให้มีลักษณะพรุนต่อการปฏิสัมพันธ์ ตัวอย่างที่ถูกรับรู้ในวงกว้างของการออกแบบเมืองเพื่ออยู่ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศคือ เมืองฟองน้ำ (sponge city) โดยภูมิสถาปนิกชาวจีน Kongjian Yu ผู้ออกแบบโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวหลายแห่งในเมืองของประเทศจีน เอกลักษณ์การออกแบบของเขาคือการใช้พื้นที่ชุ่มน้ำ (wetland) มารองรับน้ำท่วมให้ดูดซับน้ำได้เหมือนกับฟองน้ำ (Weilacher, 2018) Yu ยังมีส่วนร่วมในการออกแบบสวนป่าเบญจกิตติในกรุงเทพฯ ด้วยแนวคิดของการเปลี่ยนพื้นที่เมืองให้กลายเป็นพื้นที่ป่า (Turenscape, 2023) อาจกล่าวได้ว่าเป็นการทะลุเส้นแบ่งระหว่างป่า-เมืองจนเกิดเป็นสวนป่าที่ถูกล้อมไปด้วยภูมิทัศน์ตึกสูงของเมือง

           แนวคิดของการสร้างพื้นที่ให้ปรุพรุนเหมือนฟองน้ำคือการทำพื้นที่ให้ยืดหยุ่น นั่นหมายถึงพื้นที่สวนสามารถเป็นได้ทั้งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าในเมืองและเป็นพื้นที่กิจกรรมของคนเมืองเช่นเดียวกัน (Weilacher, 2018) ทั้งนี้ เมืองหรือพื้นที่ที่ปรุพรุนไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของการรับมือกับภูมิอากาศเท่านั้น แต่พื้นที่สามารถอนุญาตหรือเปิดรับความเป็นอื่นผ่านการออกแบบที่ทุกคนสามารถปฏิสัมพันธ์กันได้ทั้งคน สัตว์ หรือสิ่งอื่นที่ถูกกีดกันไปจากการออกแบบ

           ความน่าสนใจของความพรุนคือมันสามารถเกิดขึ้นในระดับความรู้สึกหรือผัสสารมย์ (affect) ได้ เช่น งานศึกษาของ Petersen (2021) ได้ยกคำว่า “ตัวตนที่ปรุพรุน” (porous self) ในการอธิบายผู้อยู่อาศัยในแฟลตที่ถูกรบกวนจากเสียงของผู้อาศัยที่อยู่ห้องถัดไป Petersen ชี้ว่า ไม่ใช่เพียงแต่วัตถุอย่างกำแพงที่มีรูพรุนทางเสียงจากวัสดุ แต่ตัวผู้อยู่อาศัยที่ไม่ถูกรบกวนด้วยเสียงอื่นเลย มีแต่เสียงของเพื่อนบ้านที่ทะลุผ่านเข้ามาในโสตประสาทและรบกวนสุขภาพจิตนี่เองที่ทำให้ตัวตนของผู้อาศัยเกิดรูพรุนขึ้น เมื่อผู้อาศัยไม่สามารถปิดรูพรุนนี้ได้ ทางเลือกที่เหลือคือการพิจารณาในการย้ายที่อยู่อาศัยนั่นเอง

           แม้ความหนืดและความพรุนมีคุณลักษณะและความสามารถในการทำงานที่ค่อนข้างชัดว่าไปคนละทิศทางกัน แต่ว่าหากนำสองคำนี้มารวมกัน การมองปรากฏการณ์ใดหรือปรากฏการณ์เดิมที่ยกมาข้างต้นอาจเปลี่ยนไป


ความหนืดพรุน: การเปิดเผยความสัมพันธ์อันไม่เท่าเทียมท่ามกลามเส้นแบ่ง

           ความหนืดพรุนเป็นการชี้ให้เห็นถึงลักษณะที่มากกว่าหนึ่ง (multiple) ของภววิทยาในปฏิสัมพันธ์ การใช้ความหนืดพรุนเป็นกรอบในการมองปรากฏการณ์ทำให้ผู้ที่ศึกษามองเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นผ่านการขีดเส้นแบ่งแบบทวิภาวะ งานศึกษาของ Tuana (2008) มองปรากฏการณ์พายุแคทรีนาในสหรัฐอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 2005 ว่าเป็นปัญหาความรู้ในระดับโครงสร้างของสังคมที่แยกขาดธรรมชาติออกจากวัฒนธรรม ปรากฏการณ์ทาง “ธรรมชาติ” ไม่ได้เกิดขึ้นจากธรรมชาติ แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจของมนุษย์ได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งเข้าไปในโลกธรรมชาติและเปลี่ยนแปลงมันจนก่อให้เกิดภัยพิบัติที่กระทบกับโลก Tuana ชี้ว่าธรรมชาติและวัฒนธรรมเป็นทั้งสิ่งที่ยึดติดและพร้อมที่จะไหลออกจากกันจนแคทรีนาถูกทำให้เกิดขึ้นจริง (enact) ขณะที่กรณีศึกษาของ Petersen (2021) ทำให้เห็นว่าบ้านมีสถานะทั้งหนืดและพรุนคือการยอมให้เสียงของเพื่อนบ้านเล็ดลอดเข้ามาและกักเก็บสภาวะถูกรบกวนของผู้อยู่อาศัยไว้ ทั้งนี้ ความหนืดพรุนกลับไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเท่าเทียม เพราะสมาชิกในบ้านคนอื่นไม่ได้ถูกรบกวนเท่ากับผู้อาศัยที่ Petersen สัมภาษณ์ รวมถึง มีเพียงเสียงของเพื่อนบ้านที่ทำงานรบกวนผู้อาศัยจนเจ้าตัวทนไม่ไหว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเส้นแบ่งของพื้นที่ส่วนตัวและสาธารณะถูกทะลุผ่านได้ด้วยบางผู้กระทำการ

           การทำความเข้าใจสภาวะหนืดพรุนบนเส้นแบ่งขั้วตรงข้ามยังเป็นกรอบคิดที่สามารถเปิดเผยความเหลื่อมล้ำได้ วิทยานิพนธ์ของปิยเทพ ตันมหาสมุทร (2566) ศึกษาความหนืดพรุนของสเกลบ้าน-ย่านที่ถูกทะลุผ่านและกักเก็บกลิ่นเหม็นและความร้อน การประกอบร่วมของกลิ่นเหม็นและความร้อนทำให้บ้านตึกแถวที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมต้องเผชิญกับผัสสะทั้งสองอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ผัสสะทั้งสองยังสัมพันธ์กับระบบนิเวศของเมืองที่ผลักให้กลิ่นเหม็นและความร้อนให้หนืดอยู่กับย่านตึกแถวที่มักเป็นพื้นที่ปิดการถ่ายเทอากาศทำได้ไม่ดีพอ

           การศึกษาปฏิสัมพันธ์ของสรรพสิ่งด้วยความหนืดพรุนทำให้เห็นถึงการไหลเวียนและความสามารถของผู้กระทำการที่ปรับเปลี่ยนเส้นแบ่งให้ทะลุผ่านหรือกักเก็บสิ่งอื่นในปฏิสัมพันธ์ สภาวะที่หนืดพรุนยังสามารถสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของความรู้ที่สร้างเส้นแบ่งทางภววิทยารวมถึงเส้นแบ่งเชิงพื้นที่บ้าน-ย่านว่าสามารถมีรอยรั่วไหลและสามารถกักเก็บทั้งมนุษย์และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ได้ ท่ามกลางวิกฤตสิ่งแวดล้อมและข้อถกเถียงเรื่องมนุษยสมัย เส้นแบ่งโลกของมนุษย์-ธรรมชาติถูกตั้งคำถาม การมองเส้นแบ่งของทั้งสองโลกหรือโลกพหุลักษณ์ (pluriverse) โดยมองให้เห็นถึงรอยรั่วหรือการหน่วงเหนี่ยวทางภววิทยาอาจทำให้งานศึกษาทางสังคมศาสตร์นำไปสู่ความเป็นไปได้อันหลากหลาย


รายการอ้างอิง

Descola, P. (2012). Beyond nature and culture: Forms of attachment. HAU: Journal of Ethnographic Theory, 2(1), 447-471.

Doherty, C. (2018). Motility meets viscosity in rural to urban flows. In M. Freudendal-Pedersen, K. Hartmann-Petersen, & E. L. P. Fjalland (Eds.), Experiencing networked urban mobilities: Practices, flows, methods (pp. 180–184). Routledge.

Ingold, T., & Simonetti, C. (2022). Introducing solid fluids. Theory, Culture & Society, 39(2), 3-29.

Kohn, E. (2013). How forests think: Toward an anthropology beyond the human. University of California Press.

Larkin, B. (2013). The politics and poetics of infrastructure. Annual review of anthropology, 42(2013), 327-343.

Petersen, S. L. (2021). The viscous porosity of walls and people. In M. Stender, C. Bech-Danielson, & A. L. Hagen (Eds.), Architectural Anthropology: Exploring Lived Space (pp. 54-66). New York: Routledge.

Sala, I. M. (2019, August 30). Hong Kong's 'be water' protests leave China casting about for an enemy. The Guardian. Retrieved from https://www.theguardian.com/world/2019/aug/30/hong-kongs-be-water-protests-leaves-china-casting-about-for-an-enemy

Simonetti, C. (2022). Viscosity in matter, life and sociality: the case of glacial ice. Theory, Culture & Society, 39(2), 111-130.

Thomas. (2018, December 15). (Colorized!) Bruce Lee - Be Water My Friend [Video]. YouTube. http://www.youtube.com/watch?v=V4A37PDduls

Tuana, N. (2008). Viscous Porosity: Witnessing Katrina. In S. H. Alaimo, Susan H. (Eds.), Material Feminisms (pp. 203-228). Bloomington: Indiana University Press.

Turenscape. (2023, July 4). Benjakitti Forest Park. Turenscape. Retrieved from https://www.turenscape.com/en/project/detail/4751.html

Wagner, L., & Peters, K. (2014). Feeling at home in public: diasporic Moroccan women negotiating leisure in Morocco and the Netherlands. Gender, Place & Culture, 21(4), 415-430.

Weilacher, U. (2018). Porosity as a structural principle of urban landscapes. In S. Wolfrum (Ed.), Porous city: From metaphor to urban agenda (pp. 230–234). Birkhäuser.

Wolfrum, S. (2018). Porosity—Porous city. In S. Wolfrum, H. Stengel, F. Kurbasik, N. Kling, S. Dona, I. Mumm, & C. Zöhrer (Eds.), Porous city: From metaphor to urban agenda (pp. 17–19). Birkhäuser.

ปิยเทพ ตันมหาสมุทร (2567). ความเหลื่อมล้ำที่รู้สึกได้: ความหนืดพรุนของกลิ่นเหม็นและความร้อนจากการประกอบร่วมในกรุงเทพมหานคร (ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/12491

พนา กันธา (2567). รูพรุนของเส้นขอบกับจริยศาสตร์ข้ามสายพันธุ์. ใน เก่งกิจ กิติเรียงลาภ และ พนา กันธา (บ.ก.), โลกหลากสายพันธุ์ ผัสสะ จริยศาสตร์ และการอยู่ร่วมกัน (น. 191-200). ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).


ผู้เขียน
ปิยเทพ ตันมหาสมุทร


 

ป้ายกำกับ ความหนืด viscosity ความปรุพรุน porosity ความหนืดพรุน ปิยเทพ ตันมหาสมุทร

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Share
Facebook Messenger Icon คลิกที่นี่เพื่อสนทนา