ไร้รัฐ ไร้ทุน มีแต่คนเท่านั้น: มานุษยวิทยากับอนาธิปไตย

 |  แนวคิด ทฤษฎีมานุษยวิทยา
ผู้เข้าชม : 568

ไร้รัฐ ไร้ทุน มีแต่คนเท่านั้น: มานุษยวิทยากับอนาธิปไตย

“อนาธิปไตยกับมานุษยวิทยาไปด้วยกันได้ดี เพราะนักมานุษยวิทยารู้ดีว่า สังคมที่ปราศจากรัฐเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เพราะมีสังคมแบบนั้นดำรงอยู่จำนวนมาก”

Graeber, Fragmented of an Anarchist Anthropology (2004)

บทนำ

           David Graeber (1961-2020) ผู้ล่วงลับได้ทิ้งมรดกทางความคิดที่ทรงพลังเอาไว้ เขาไม่เพียงเป็นนักวิชาการบนหอคอยงาช้าง แต่ยังมีบทบาทเชื่อมโยงงานวิชาการเข้ากับการเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างต่อเนื่อง Graeber เป็นผู้นำทางความคิดในขบวนการ Occupy Wall Street ในปี 2011 (ว่ากันว่าเขาเป็นผู้คิดสโลแกนอันทรงพลัง “พวกเราคือคน 99 เปอร์เซ็นต์” (We are the 99%) ซึ่งสะท้อนช่องว่างระหว่างชนชั้นและความเหลื่อมล้ำจากระบบทุนนิยมในปัจจุบัน แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่าสโลแกนดังกล่าวเกิดจากการสร้างสรรค์ร่วมเป็นเป็นหมู่คณะ1)

           Graeber เกิดและโตในครอบครัวชนชั้นแรงงานที่มีภูมิหลังทางการเมืองเข้มข้น แม่เป็นคนงานตัดเย็บเสื้อผ้าที่มีบทบาทแข็งขันในสหภาพแรงงาน พ่อทำงานในโรงพิมพ์และเคยเป็นอาสาสมัครขับรถพยาบาลในสงครามกลางเมืองสเปน ทั้งคู่เคยให้การสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในช่วงทศวรรษ 1930 แต่ภายหลังก็แยกตัวออกมา สภาพแวดล้อมเช่นนี้หล่อหลอมให้ Graeber สนใจโครงสร้างอำนาจและความไม่เท่าเทียมในสังคมตั้งแต่เด็ก

           วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ Graeber เป็นการวิจัยภาคสนามในมาดากัสการ์ การใช้ชีวิตกับคนพื้นเมืองทำให้เขาเห็นว่าชุมชนปกครองตนเองมีรูปแบบการจัดระเบียบสังคมและความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งรัฐ (ไม่ว่าจะเพราะปราศจากรัฐให้พึ่ง หรือมีรัฐ แต่พึ่งพาอะไรไม่ได้) อีกทั้งกระบวนการเหล่านี้ก็ไม่ได้ขัดต่อหลักประชาธิปไตย หากยังมีความเป็นประชาธิปไตยอย่างถึงราก และส่งเสริมบทบาททางการเมืองของมนุษย์ยิ่งกว่าประชาธิปไตยแบบผู้แทนเสียอีก ความเข้าใจนี้ส่งผลต่อเส้นทางวิชาการของ Graeber ในเวลาต่อมาอย่างมีนัยสำคัญ

           หลังจบการศึกษา Graeber ทำงานสอนด้านมานุษยวิทยาที่มหาวิทยาลัย Yale แม้จะเป็นนักวิชาการที่มีผลงานโดดเด่นและได้รับความนิยมในหมู่นักศึกษา แต่ในปี 2005 มหาวิทยาลัยกลับปฏิเสธที่จะต่อสัญญาจ้างงานประจำให้กับเขา แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์และการลงชื่อคัดค้านการตัดสินใจนี้จากนักวิชาการ นักกิจกรรม และนักศึกษากว่า 4,500 รายชื่อ แต่ก็ไม่เป็นผล เชื่อกันว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ Graeber ถูกกดดันหนักเป็นเพราะกิจกรรมทางการเมืองของเขา และการที่เขาเข้าข้างนักศึกษาคนหนึ่งที่ถูกขู่ว่าจะไล่ออก เพราะเธอเป็นสมาชิกสหภาพนักศึกษาที่มีปัญหากับมหาวิทยาลัยอยู่ในขณะนั้น Graeber ย้ายไปสอนที่ Goldsmiths และต่อมาที่ London School of Economics and Political Science (LSE) ในสหราชอาณาจักร

           ตลอดเส้นทางอาชีพ Graeber ได้ผลิตงานวิชาการจำนวนที่วิพากษ์รัฐและทุน ตลอดจนโครงสร้างอำนาจที่ผลิตสร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมมนุษย์ อาทิ Debt: The First 5,000 Years (2011) ซึ่งท้าทายความเชื่อทั่วไปเกี่ยวกับการเงินและหนี้ของนักเศรษฐศาสตร์ที่เอียงข้างทุนนิยม และอธิบายว่า ระบบทุนนิยมในปัจจุบันใช้ “หนี้” เป็นเครื่องมือเชิงอุดมการณ์และทางศีลธรรมเพื่อครองอำนาจเหนือมนุษย์ได้อย่างไร The Utopia of Rules: On Technology, Stupidity, and the Secret Joys of Bureaucracy (2015) วิพากษ์ระบบราชการว่าไม่ได้เป็นระบบที่มีเหตุผลและประสิทธิภาพอย่างที่เราคิด แต่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์และระเบียบไร้สาระ ความซับซ้อนที่ไม่จำเป็น และ “ความโง่” ต่าง ๆ ที่แฝงอยู่ในกระบวนการทำงานของราชการ อีกทั้งยังเสนอว่า ระบบราชการไม่เพียงแต่เป็นกลไกสำคัญในการรักษาอำนาจรัฐ แต่ยังหนุนเสริมระบบทุนนิยมด้วย และ Bullshit Jobs: A Theory (2018) ตั้งคำถามกับงานจำนวนในปัจจุบัน โดยเฉพาะในภาคบริการและการบริหาร ซึ่งเกิดขึ้นจากความไร้เหตุผลของระบบทุนนิยมที่ต้องการสร้างงานเพียงเพื่อสร้างงานหรือสร้างกำไร มากกว่าจะสร้างงานที่จำเป็นหรือส่งเสริมคุณค่าของความเป็นมนุษย์ จนเกิดตำแหน่งงานประเภทที่ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง (bullshit job) ที่แม้แต่คนทำเองก็รู้ดีว่างานของตนไม่ได้สร้างคุณค่าอะไรกับสังคม

           ขณะเดียวกัน Graeber ก็ไม่ได้ละทิ้งบทบาทนักกิจกรรม และยังคงเป็นแกนหลักของขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อต้านอำนาจที่กดขี่มนุษย์เสมอมา บทความนี้ ผู้เขียนพยายามสำรวจงานของ Graeber ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาสังคมไร้รัฐ โดยเฉพาะข้อเสนอที่ว่า อนาธิปไตยไม่ใช่เรื่องอุดมคติ แต่เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วในประวัติศาสตร์มนุษย์ กำลังดำรงอยู่ในสังคมของมนุษย์ และยังจะเป็นไปได้ในอนาคตอีกด้วย รวมถึงการพิจารณาว่าวิชามานุษยวิทยาสามารถมีส่วนในการศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างสังคมเช่นนั้นได้อย่างไร


อนาธิปไตยคืออะไร

ชื่อเรียกหลักการหรือทฤษฎีเกี่ยวกับชีวิตและพฤติกรรมภายใต้สังคมที่ปราศจากรัฐบาล ความสงบเรียบร้อยในสังคมดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการยอมจำนนต่อกฎหมาย หรือการเชื่อฟังสิทธิอำนาจใด ๆ แต่เกิดจากข้อตกลงร่วมกันอย่างเสรีระหว่างคนกลุ่มต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ และแต่ละกลุ่มอาชีพ ซึ่งรวมตัวกันอย่างอิสระเพื่อการผลิตและการบริโภค รวมถึงการตอบสนองความต้องการที่หลากหลายไม่สิ้นสุดและความปรารถนาของสิ่งมีชีวิตที่มีอารยะ

ปีเตอร์ โครพอทคิน (Peter Kropotkin)

           มีนักวิชาการไม่มากนักที่กล้าประกาศตนเป็นนักอนาธิปไตยแบบ Graeber และมีนักอนาธิปไตยไม่กี่คนที่สร้างสรรค์ผลงานวิชาการจนได้รับการยอมรับในวงกว้างแบบเขา (The 101. World, 2563)

           ในหนังสือชิ้นเล็ก แต่สำคัญชื่อ Fragments of an Anarchist Anthropology (2004) Graeber นำเสนอเค้าโครงหลัก ๆ ที่จะขยายเป็นหนังสืออีกหลายเล่มในอนาคต Graeber พยายามโต้แย้งการที่สังคมและสื่อกระแสหลักมักสร้างภาพแทนแบบเหมารวมว่า อนาธิปไตยหมายถึงความวุ่นวาย ไร้ระเบียบ ความรุนแรง หรือแม้แต่การก่อการร้าย และเสนอว่าอนาธิปไตยแท้จริงแล้วอาจสอดคล้องกับความเป็นประชาธิปไตยมากกว่าที่คิด

           สำหรับ Graeber แล้ว อนาธิปไตยหมายถึงการปกครองตนเอง (autonomy) การจัดองค์กรกันเอง (self-organization) การรวมกลุ่มโดยความสมัครใจ (voluntary association) และประชาธิปไตยทางตรง (direct democracy) รวมถึงการปฏิเสธรัฐ ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ความไม่เท่าเทียม และการครอบงำทางสังคมทุกรูปแบบ (เพราะเหตุนี้คำว่าอนาธิปไตยจึงมีความหมายตามตัวอักษรว่า ไม่มีผู้ปกครอง) แม้ที่ผ่านมาคนมักวิจารณ์ว่า หลักการเหล่านี้มีความเป็นอุดมคติสูงและเป็นไปไม่ได้จริงในทางปฏิบัติ แต่ Graeber ชี้ว่าหลักการเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการจัดระเบียบสังคมที่มีอยู่จริงในหลากหลายวัฒนธรรมตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ (Graeber, 2004: 2)

           อย่างไรก็ตาม แม้ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและนักกิจกรรมทางการเมืองที่ได้รับแรงบันดาลใจหรือนิยามตนเองว่าเป็นพวกอนาธิปไตยจะขยายตัวขึ้นในทุกหนแห่ง แต่ Graeber เห็นว่าในปัจจุบันยังมีนักอนาธิปไตยในสถาบันการศึกษาน้อยนัก เมื่อเปรียบเทียบกับลัทธิมาร์กซ์ ซึ่งมีสายสัมพันธ์แนบสนิทกับวงวิชาการในมหาวิทยาลัยมากกว่า และเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมขนานใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่คิดค้นโดยคนจบปริญญาเอก (แม้ภายหลังจะมุ่งระดมพลังจากชนชั้นแรงงานก็ตาม) Graeber เห็นว่าลัทธิมาร์กซิสต์มักมีผู้ประพันธ์ที่เป็นอัจฉริยะหรือมหาบุรุษ (นาน ๆ ทีจะมีสตรีโผล่มา) ไม่กี่คน นอกจากมาร์กซ์ แล้วยังมีลัทธิเลนิน ลัทธิเหมา ลัทธิทรอตสกี ลัทธิกรัมชี ลัทธิอัลธูแซร์ และยังเน้นทฤษฎีระดับสูง ขณะที่อนาธิปไตยเน้นการปฏิบัติและจริยศาสตร์ของการกระทำ อนาธิปไตยมักตั้งชื่อตามแนวทางปฏิบัติหรือหลักการจัดตั้งของกลุ่ม เช่น สหการอนาธิปไตย (Anarcho-Syndicalist) อนาธิปไตยคอมมิวนิสต์ (Anarcho-Communist) อนาธิปไตยที่มุ่งก่อการจลาจล (Insurrectionist) อนาธิปไตยแบบสหกรณ์ (Cooperativist) อนาธิปไตยเน้นปัจเจก อนาธิปไตยแบบแพลตฟอร์ม (Platformist) (น่าสังเกตว่า มาร์กซิสต์สำนักที่ไม่ตั้งชื่อตามคนมักมีแนวทางคล้ายอนาธิปไตย เช่น ออโตโนเมีย หรือคอมมิวนิสต์แบบสภา (Council Communism)) (Graeber, 2004: 1-5)

           กล่าวโดยสรุป มาร์กซิสต์มีแนวโน้มจะเป็นวาทกรรมเชิงทฤษฎีหรือการวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ของการปฏิวัติ ขณะที่อนาธิปไตยเป็นข้อถกเถียงเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับภาคปฏิบัติการของการปฏิวัติ ซึ่งแสดงให้เห็นศักยภาพในการทำงานสอดประสานกัน Graeber จึงชี้ว่า จุดแข็งของอนาธิปไตยคือการสนใจสิ่งที่ผู้คนทำและวิธีจัดระเบียบองค์กรเพื่อทำตามเป้าหมายนั้น มากกว่าสร้างกรอบทฤษฎีขนาดใหญ่ และอนาธิปไตยยืนกรานว่า วิธีการต้องสอดคล้องกับเป้าหมาย เราไม่อาจสร้างสังคมแห่งเสรีภาพด้วยวิธีเผด็จการ และเราต้องยืนยันหลักการที่เราสมาทานและยึดถือในชีวิตประจำวัน ตลอดจนความสัมพันธ์กับผู้คนรอบตัวด้วย (Graeber, 2004: 4)

           แม้อนาธิปไตยจะเน้นที่การปฏิบัติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต่อต้านทฤษฎีอย่างสิ้นเชิง เพราะการจะเปิดโปง ล้มล้าง และบ่อนทำลายโครงสร้างสังคมและการครอบงำที่มีอยู่นั้น จำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือทางปัญญาในการวิเคราะห์และทำความเข้าใจ ซึ่งอาจไม่ใช่ทฤษฎีระดับสูง (High Theory) ที่เราคุ้นเคยในสังคมศาสตร์กระแสหลัก ซึ่งมักเป็นนามธรรมและสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญ แต่เป็นสิ่งที่ Graeber เรียกว่า ทฤษฎีภาคปฏิบัติ หรือ “ทฤษฎีระดับต่ำ” (Low Theory) ที่เกิดจากกระบวนการประชาธิปไตยทางตรงและการหาฉันทามติของกลุ่มอนาธิปไตยในระดับต่าง ๆ โดยมีหลักการว่า ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของผู้อื่นให้ตรงกับตนได้อย่างสิ้นเชิง และไม่ควรแม้แต่จะพยายาม ด้วยเหตุนี้ การถกเถียงจึงควรเน้นที่ปัญหาเชิงปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม และวางแผนการที่ทุกคนสามารถเห็นพ้องต้องกันได้ โดยไม่มีใครรู้สึกว่าหลักการพื้นฐานที่ตนยึดถือถูกละเมิด ทฤษฎีภาคปฏิบัติยังเป็นวิธีรับมือกับปัญหาฉับพลันทันด่วนที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสังคม ซึ่งต่างจากสังคมศาสตร์กระแสหลักที่มองปัญหาเหล่านี้เป็น “ปัญหาเชิงนโยบาย” ซึ่งเป็นการปฏิเสธความเป็นการเมือง เนื่องจากสันนิษฐานไว้แล้วว่า มีรัฐหรือกลไกปกครองคอยบงการผู้อื่น มีชนชั้นนำหรือผู้เชี่ยวชาญซึ่งถือตนว่ารู้ดีกว่าใคร คอยกำหนดว่าผู้คนควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร ดังนั้น ทฤษฎีทางสังคมควรปรับเปลี่ยนได้ผ่านกระบวนการประชาธิปไตยทางตรง ที่ความรู้และการวิเคราะห์ไม่ได้เป็นของผู้เชี่ยวชาญเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นผลผลิตร่วมจากการแลกเปลี่ยนและปฏิบัติการของทุกคนที่เกี่ยวข้อง (Graeber, 2004: 5-8)

           Graeber เสนอว่า ทฤษฎีสังคมแบบอนาธิปไตยควรเริ่มต้นจากสมมติฐานหลักสองประการ ได้แก่ 1) “โลกอีกใบเป็นไปได้” นั่นคือ รัฐ ทุนนิยม และโครงสร้างอำนาจที่เราคุ้นชิน ไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สังคมสามารถจัดระเบียบในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อประโยชน์สุขและความเท่าเทียมของมนุษย์ทุกคน 2) ปฏิเสธการเป็นทัพหน้าในการเปลี่ยนแปลงสังคม (vanguardism) บทบาทปัญญาชนไม่ใช่การชี้นำมวลชน หรือสร้าง “กุนซือ” ผู้เชี่ยวชาญ แต่เป็นการสังเกตและทำความเข้าใจสิ่งที่ผู้คนกำลังทำอยู่จริง และร่วมกันขบคิดออกแบบสังคมใหม่จากตรงนั้น นี่คือจุดที่ Graeber เห็นว่า มานุษยวิทยาเข้ามามีบทบาทสำคัญในฐานะเครื่องมือสำรวจและทำความเข้าใจความเป็นไปได้เหล่านี้ในโลกแห่งความเป็นจริง (Graeber, 2004: 7-8)


นักมานุษยวิทยากับสังคมไร้รัฐ

           ถาม: ต้องใช้ (เสียงของ) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งกี่คนในการเปลี่ยนหลอดไฟ?

           ตอบ: ไม่ต้องใช้เลย เพราะผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย

           สำหรับ Graeber มานุษยวิทยาเหมาะกับการศึกษาสังคมอนาธิปไตย เพราะมีเครื่องมือและระเบียบวิธีวิจัยที่ช่วยให้เข้าถึงและทำความเข้าใจสังคมที่ปราศจากรัฐ ชุมชนปกครองตนเอง หรือระบบเศรษฐกิจที่ไม่ใช่ตลาด โดยเฉพาะการลงพื้นที่ภาคสนามและการสังเกตอย่างมีส่วนร่วม

           Graeber ยกตัวอย่างนักมานุษยวิทยาที่มีกลิ่นอายของอนาธิปไตย อาทิ A. R. Radcliffe-Brown หนึ่งในบิดาผู้ก่อตั้งสาขาวิชา แม้จะโด่งดังจากทฤษฎีโครงสร้าง-หน้าที่นิยม แต่ในวัยหนุ่มก็เลื่อมใสเจ้าชายอนาธิปไตยอย่างPeter Kropotkin จนเพื่อน ๆ เรียกเขาว่าจอมอนาธิปัตย์ (Anarchy Brown) Graeber เห็นว่า งานของ Radcliffe-Brown เป็นการบุกเบิกการศึกษาระเบียบทางสังคมที่อยู่นอกรัฐ และพยายามเสนอว่า ผู้คนที่ไม่มีรัฐหาใช่คนป่าเถื่อนที่ปราศจากอารยธรรม แต่มีการจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นผ่านวัฒนธรรมและประเพณีต่าง ๆ จึงจำเป็นที่นักมานุษยวิทยาจะต้องศึกษาภาคสนามเพื่อดูความเป็นไปได้ในการสร้างสังคมทางเลือกจากแต่ละสังคมอย่างละเอียด รวมถึงการศึกษาเชิงเปรียบเทียบเพื่อดูว่า มนุษย์แต่ละที่จัดการปัญหาแตกต่างกันอย่างไรบ้าง (Graeber, 2004: 10)

           Marcel Mauss ผู้บุกเบิกมานุษยวิทยาฝรั่งเศส รวมทั้งยังเขียนบทความวิจารณ์ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดลงหนังสือพิมพ์สังคมนิยมอย่างต่อเนื่อง ได้เสนอแนวคิดสำคัญที่ท้าทายความเข้าใจเรื่องตลาดและระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ในงานชิ้นสำคัญของเขา “Essay on the Gift” (1925) Mauss ชี้ว่า ระบบ “ของกำนัล” (Gift economy) คือรากฐานของการทำสัญญาและการจัดระเบียบทางสังคมในหลายสังคม ก่อนที่ระบบตลาดและรัฐจะเข้ามามีบทบาท หัวใจของแนวคิดนี้คือ การแลกเปลี่ยนของกำนัลเป็นการสร้างและรักษาพันธะผูกพันกับผู้อื่น ผู้ได้รับของกำนัลมีพันธะที่จะต้องตอบแทนในภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ แรงงาน หรือการกระทำอื่น ๆ การปฏิเสธที่จะให้ การปฏิเสธที่จะรับ หรือไม่ตอบแทน ล้วนส่งผลกระทบต่อสถานะทางสังคม หรือความสัมพันธ์ในชุมชน ตัวอย่างเช่นการแต่งงาน งานศพ หรือพิธีกรรมต่าง ๆ ที่สร้างและรักษาสายสัมพันธ์ทางสังคมไว้ ระบบนี้ไม่ได้มุ่งเน้นการสะสมความมั่งคั่งส่วนบุคคลหรือการสร้างผลกำไรสูงสุด และแตกต่างจากการทำสัญญาแลกเปลี่ยนในระบบตลาดที่จบลงเมื่อมีการซื้อขาย โดยผู้ซื้อสามารถครอบครองสิ่งของได้อย่างสมบูรณ์และแยกขาดจากผู้ขาย ระบบของกำนัลไม่ได้วางอยู่บนฐานของการคิดคำนวณผลกำไร แต่กลับอยู่บนการปฏิเสธที่จะคำนวณ อย่างไรก็ตาม Mauss ไม่ได้หมายความว่า ผู้คนในสังคมเหล่านี้ยังไม่รู้วิธีแสวงหากำไรด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพ แต่พวกเขาอาจพบข้อสรุปเบื้องต้นว่า การแสวงหากำไรสูงสุดจากการทำธุรกรรมนั้นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ อย่างน้อยก็กับการทำธุรกรรมกับคนที่ไม่ใช่ศัตรู นอกจากนี้ Mauss ยังเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงสู่สังคมนิยมจะเกิดขึ้นจากเบื้องล่าง ผ่านการสร้างระบบเศรษฐกิจทางเลือกและเครือข่ายความร่วมมือของผู้คน ไม่ใช่จากคำสั่งของรัฐ (Graeber, 2004: 12-13)

           Pierre Clastres นักมานุษยวิทยาชาวฝรั่งเศส นำเสนอแนวคิดที่ท้าทายความเชื่อกระแสหลักเรื่องการกำเนิดรัฐ ผ่านงานวิจัยที่ศึกษาชนเผ่าในลุ่มน้ำแอมะซอน ในผลงานสำคัญของเขา เรื่อง Society Against the State (1974) Clastres เสนอว่า รัฐไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือเป็นวิวัฒนาการขั้นสูงสุดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของสังคมมนุษย์ และชี้ว่าสังคมบางแห่งเลือกที่จะปฏิเสธหรือต่อต้านการเกิดขึ้นของรัฐอย่างจงใจ Clastres วิจารณ์นักมานุษยวิทยาการเมืองที่ติดกับมุมมองแบบวิวัฒนาการ ซึ่งมองว่า รัฐเป็นรูปแบบการจัดองค์กรทางสังคมที่ซับซ้อนหรือก้าวหน้ากว่าสังคมแบบอื่นในอดีต ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงสันนิษฐานโดยปริยายว่า กลุ่มคนไร้รัฐเป็นเพียงสังคมที่ยังไม่บรรลุถึงการจัดองค์กรทางการเมืองที่ซับซ้อนได้ แต่ Clastres ตั้งคำถามใหม่ว่า จะเป็นอย่างไรหากชาวแอมะซอนเหล่านี้ตระหนักดีว่า รูปแบบอำนาจที่เรียกว่ารัฐมีหน้าตาอย่างไร และเข้าใจความหมายของการยอมให้คนบางคนมีอำนาจออกคำสั่งกับผู้อื่นโดยห้ามตั้งคำถามหรือวิจารณ์ มิฉะนั้นก็จะเจอการข่มขู่ การคุกคาม หรือการใช้กำลัง กล่าวคือ Clastres เห็นว่า ชนเผ่าที่ปฏิเสธรัฐไม่ได้ขาดความเข้าใจเรื่องรัฐ หากเข้าใจดีและตั้งใจแน่วแน่ที่จะป้องกันไม่ให้สถานการณ์ที่มีรัฐคอยกดขี่และบงการชีวิตมนุษย์เกิดขึ้น

           นักมานุษยวิทยาเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงกลไกทางสังคมที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมอำนาจหรือความมั่งคั่งอย่างถาวร ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่เท่าเทียมหรือการครอบงำ ทั้งยังพยายามชี้ให้เห็นว่า สังคมมนุษย์มีทางเลือกในการจัดระเบียบที่หลากหลาย และการดำรงอยู่โดยปราศจากรัฐหรือตลาดแบบทุน ไม่ใช่การด้อยพัฒนา แต่เป็นทางเลือกที่เกิดจากการตัดสินใจและค่านิยมทางศีลธรรมของชุมชนนั้น ๆ นี่คือสิ่งที่ Graeber เรียกว่า จริยศาสตร์ทางเลือก (Graeber, 2004: 15)


มานุษยวิทยาอนาธิปไตย

           ผู้กังขามักตั้งข้อสังสัยว่า สังคมที่นักมานุษยวิทยาศึกษานั้นเป็นเพียง “สังคมบุพกาล” หรือกลุ่มขนาดเล็กที่โดดเดี่ยว ไม่ใช่รัฐสมัยใหม่ที่ซับซ้อน และแม้จะตั้งขึ้นได้ก็คงอยู่ไม่นานก็ล้มสลายหรือถูกทำลายไปในที่สุด พร้อมกับถามหาตัวอย่างของ “รัฐแบบอนาธิปไตย”

           Graeber ชี้ว่า “รัฐแบบอนาธิปไตย” คือคำที่ย้อนแย้ง เพราะการจัดรูปแบบองค์กรหรือสังคมแบบอนาธิปไตยมีหน้าตาไม่เหมือนรัฐ แต่เกี่ยวพันกับชุมชน สมาคม เครือข่าย และโครงการหลากหลายรูปแบบที่ดำรงอยู่ในทุกระดับ ทั้งซ้อนทับและบรรจบกันในทุกวิถีทางที่จินตนาการได้ รวมถึงรูปแบบที่เรายังนึกไม่ถึง บ้างเป็นการรวมตัวระดับท้องถิ่น บ้างก็เป็นการรวมตัวระดับโลก บางทีสิ่งเดียวที่กลุ่มอนาธิปไตยเหล่านี้มีร่วมกันก็คือ การไม่คบค้าสมาคมกับใครก็ตามที่ปรากฏตัวพร้อมอาวุธ แล้วสั่งให้คนอื่นหุบปากและทำตามคำสั่งของพวกเขา และเนื่องจากผู้นิยมอนาธิปไตยไม่ได้พยายามยึดอำนาจภายในอาณาเขตของประเทศใด และไม่ได้เชื่อเรื่องการปฏิวัติยึดอำนาจอย่างรุนแรงและกะทันหัน แต่เป็นการสร้างรูปแบบขององค์กรทางเลือกในระดับโลกอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงการสื่อสารรูปแบบใหม่ และวิธีจัดระเบียบชีวิตใหม่ที่ปราศจากความแปลกแยก ท้ายที่สุดแล้ว ปฏิบัติการเหล่านี้จะทำให้รูปแบบอำนาจที่มีอยู่ในปัจจุบันดูโง่เขลาและไม่จำเป็นอีกต่อไป นั่นหมายความว่า มีตัวอย่างของสังคมแบบอนาธิปไตยที่เป็นไปได้มากมายไม่มีที่สิ้นสุด (Graeber, 2004: 24-25)

           นอกจากนี้ Graeber ยังตั้งคำถามต่อสมมติฐานว่า มีการแตกหักอย่างสิ้นเชิงระหว่างโลกสมัยใหม่กับโลกก่อนสมัยใหม่ของพวก “บุพกาล” “ป่าเถื่อน” หรือ “ด้อยพัฒนา” ทั้งที่นักมานุษยวิทยาได้พยายามมานานหลายทศวรรษแล้วที่จะโน้มน้าวสาธารณชนว่า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสังคมบุพกาลหรือสังคมเรียบง่าย ไม่มีใครดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหนือกาลเวลา (ดังที่ Bruno Latour เสนอว่า เราไม่เคยเป็นสมัยใหม่เลย) (Graeber, 2004: 26-29)

           ความย้อนแย้งของนักมานุษยวิทยาคือ พวกเรามีคลังประสบการณ์อันมหาศาลเกี่ยวกับการทดลองทางการเมืองและทางสังคมของมนุษย์ ซึ่งคนอื่น ๆ แทบไม่ล่วงรู้เลย ต่อให้รู้ก็แทบจะไม่ใส่ใจใยดีนัก แต่นักมานุษยวิทยากลับเก็บงำงานชาติพันธุ์นิพนธ์เหล่านี้ไว้ ไม่กล้าประชาสัมพันธ์ หรือนำเสนอข้อถกเถียงที่มีนัยต่อสังคมในวงกว้าง ทั้งที่ข้อค้นพบของเราถือเป็นมรดกร่วมของมนุษยชาติ ในแง่นี้ Graeber จึงเชื่อว่า มานุษยวิทยาดูเหมือนเป็นสาขาวิชาที่หวาดกลัวต่อศักยภาพของตนเองอย่างน่าประหลาด แม้จะอยู่ในสถานะที่สามารถนำเสนอชีวิตที่หลากหลายและไร้ขีดจำกัดของมวลมนุษยชาติได้ เพราะเป็นสาขาวิชาเดียวที่ศึกษามนุษย์จากแทบทุกสังคมอย่างแท้จริง และคุ้นเคยกับกรณีที่ “ผิดปกติ” ทั้งหลาย แต่มานุษยวิทยากลับปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น (Graeber, 2004: 61-65)

           ผลที่ตามมาคือ นักมานุษยวิทยาในปัจจุบันไม่สร้างข้อสรุปทางทฤษฎีแบบกว้าง ๆ อีกต่อไปแล้ว แต่กลับส่งมอบงานนี้ให้กับนักปรัชญายุโรป ซึ่งมักไม่มีปัญหาในการถกเถียงในเรื่องใหญ่ ๆ ของมนุษย์อย่างเสรีภาพ ความปรารถนา จินตนาการ ตัวตน หรืออำนาจอธิปไตยเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าแนวคิดเหล่านี้ต้องมาจากนักปรัชญายุโรป ส่วนใครก็ตามที่อยู่นอกขนบวรรณกรรมชั้นสูงของยุโรปตะวันตกหรืออเมริกาเหนือ ไม่เคยถกเถียงในประเด็นเหล่านี้อย่างมีความหมายเลย Graeber ยังชี้ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงในภาษาที่ใช้ ครั้งหนึ่ง คำศัพท์ทางทฤษฎีที่สำคัญของนักมานุษยวิทยาเคยเป็นคำพื้นเมือง เช่น มานา (mana), โทเท็ม (totem) หรือข้อห้าม (taboo) แต่ศัพท์ยอดนิยมใหม่ ๆ มักจะมาจากภาษาละตินหรือภาษากรีก ซึ่งส่วนใหญ่ก็รับมาจากภาษาฝรั่งเศส รวมถึงภาษาเยอรมันในบางครั้ง (Graeber, 2004: 62)

           ดังนั้น ขณะที่มานุษยวิทยาอยู่ในสถานะที่เหมาะสมที่สุดในการเปิดวงสนทนาทางปัญญาครั้งใหญ่เพื่อถกเถียงในประเด็นการเมืองและประเด็นอื่น ๆ ร่วมกับผู้อื่นในสังคม แต่ความย้อนแย้งภายในบางอย่างกลับทำให้มานุษยวิทยาลังเลที่จะใช้ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ ในมุมมองของ Graeber เมื่ออนาธิปไตยไม่ใช่ความไร้ระเบียบ แต่เป็นรูปแบบการจัดระเบียบทางสังคมที่เน้นการปกครองตนเองและปราศจากอำนาจรวมศูนย์ หน้าที่ของมานุษยวิทยาจึงเป็นการสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดว่า ผู้คนในสังคมต่าง ๆ มีวิธีคิดและออกแบบสังคมร่วมกันอย่างไร มีจินตนาการและปฏิบัติการทางสังคมที่ไม่ใช่การสยบยอมต่อรัฐและทุนอย่างไร จากนั้นจึงนำเสนอความรู้และข้อค้นพบเหล่านั้นในฐานะ “ของกำนัล” ทางความคิดกลับคืนสู่สังคมที่เราเก็บข้อมูล เพื่อให้ผู้คนมีเครื่องมือในการคิดค้นและสร้างสรรค์สังคมของตนเองได้อย่างอิสระและหลากหลาย


เอกสารอ้างอิง

Clastres, P. (1974). Society Against the State: Essays in Political Anthropology. (R. Hurley, Trans.). Urizen Books.

Graeber, D. (2004). Fragments of an Anarchist Anthropology. Prickly Paradigm Press.

Graeber, D. (2011). Debt: The First 5,000 Years. Melville House.

Graeber, D. (2015). The Utopia of Rules: On Technology, Stupidity, and the Secret Joys of Bureaucracy. Melville House.

Graeber, D. (2018). Bullshit Jobs: A Theory. Simon & Schuster.

The Guardian. (2020). David Graeber, anthropologist and author of Bullshit Jobs, dies aged 59. The Guardian. https://www.theguardian.com/books/2020/sep/03/david-graeber-anthropologist-and-author-of-bullshit-jobs-dies-aged-59?CMP=share_btn_url.

The101.World. (2563). เดวิด เกรเบอร์ นักมานุษยวิทยาอนาธิปไตย ผู้เชื่อมั่นในความเป็นไปได้แบบอื่นๆ. The101.World. https://www.the101.world/david-graeber.


1  Graeber เคยบอกว่า “ผมเป็นคนแรกที่เสนอให้พวกเราเรียกตัวเองว่า 99 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นสหายอนาธิปไตยชาวสเปนสองคน และชาวกรีกอีกคนหนึ่ง ก็เพิ่มคำว่า ‘พวกเรา’ เข้าไป และต่อมาอดีตสมาชิกกลุ่ม Food Not Bombs ก็เติมคำว่า ‘คือ’ ลงไปตรงกลาง ใครบอกกันล่ะว่าเราไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งที่มีคุณค่าร่วมกันได้! ผมอยากจะบอกชื่อพวกเขาด้วย แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่พวกสายสืบตำรวจเข้ามาจัดการกับผู้ก่อการ Occupy Wall Street ในช่วงแรกอย่างไรแล้ว บางทีการไม่บอกชื่อจะดีกว่า” (The101.World, 2563)


ผู้เขียน
ปิยนันท์ จินา
นักวิจัย  ฝ่ายวิจัยและส่งเสริมวิชาการ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)


 

ป้ายกำกับ ไร้รัฐ ไร้ทุน คน มานุษยวิทยา อนาธิปไตย ปิยนันท์ จินา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Share
Facebook Messenger Icon คลิกที่นี่เพื่อสนทนา