เป็นแค่ดอกไม้พลาสติก ?: ว่าด้วยเรื่องศัลยกรรมเสริมความงามในสังคมไทย
ในช่วงปลายทศวรรษ 2520 สังคมไทยเริ่มรู้จักคำว่า “ดอกไม้พลาสติก” กันอย่างแพร่หลายผ่านเพลงยอดนิยมเพลงหนึ่งซึ่งมีชื่อเดียวกันนี้ของเรวัต พุทธินันทน์ เพลงดอกไม้พลาสติกเป็นการกล่าวถึงผู้หญิงซึ่งไม่พอใจในรูปร่างหน้าตาของตนเอง จึงทำศัลยกรรมเสริมความงามให้สวยที่สุดเท่าที่ต้องการ แต่ดอกไม้ปลอมก็ยังคงเป็นดอกไม้ปลอมที่ทำมาจากพลาสติกอยู่วันยังค่ำ เพราะเธอคนนั้นยังคงเป็น “สิ่งปลอม ๆ” “ดูเหมือนไม่มีชีวิต” “ไร้คุณค่า” และ “หัวใจไม่สวย” เมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิงที่รักในความเป็นธรรมชาติของตนเอง ดอกไม้พลาสติกจึงกลายเป็นคำที่สังคมไทยส่วนหนึ่งใช้เรียกในเชิงประชดประชันถึงคนที่ทำศัลยกรรมเสริมความงาม แม้เขาหรือเธอจะสวยขึ้น แต่นั่นยังคงเป็นของปลอม เป็นการหลอกลวงตนเองและผู้อื่น
ปัจจุบัน สังคมไทยส่วนหนึ่งยังคงมีมุมมองคับแคบต่อการทำศัลยกรรมเสริมความงามเช่นนี้อยู่ เมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐได้จัดโครงการ Thai Face Top Model ขึ้น โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งหานายแบบ-นางแบบซึ่งมีความงามอย่างไทย กล่าวคือต้องไม่เคยผ่านการทำศัลยกรรมมาก่อน เพื่อผลักดันให้ความงามแบบไทย ๆ กลายเป็นที่รู้จักในนานาประเทศ (Matichon Online, 2568) จากโครงการดังกล่าว เห็นได้ชัดว่าความงามซึ่งเกิดจากการทำศัลยกรรมเสริมความงาม นอกจากไม่เป็นที่ยอมรับแล้ว ยังทำลายความเป็นไทยอีกด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้จัดโครงการอาจไม่ได้ตระหนักคือ จะมีนายแบบ-นางแบบมืออาชีพสักกี่คนที่เชื่อในเรื่องความงามโดยไม่ต้องพึ่งมีดหมอ ? ทำไมการทำศัลยกรรมเสริมความงามเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าสังคมและความก้าวหน้าของชีวิต จึงไม่เป็นที่ยอมรับ ทั้ง ๆ ที่ สังคมไทยเองก็มีส่วนในการผลิตซ้ำภาพความงามมาตรฐานอยู่ตลอดเวลา ?
บทความชิ้นนี้ ต้องการศึกษาประเด็นการทำศัลยกรรมเสริมความงาม (ในที่นี้ ไม่รวมถึงการทำศัลยกรรมเพื่อแก้ไขความผิดปกติของร่างกาย) ในมุมมองที่มากกว่าการเป็นเพียงดอกไม้พลาสติกหรือคนที่ไม่รู้จักพอใจในธรรมชาติของตนเอง บทความจะแสดงให้เห็นว่า การทำศัลยกรรมเสริมความงามมีความเกี่ยวข้องกับหลายประเด็น ทั้งประเด็นการผลิตซ้ำภาพความงามแบบมาตรฐานซึ่งอ้างว่าทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ประเด็นเรื่องการยกระดับและสะสมทุนกามารมณ์ (Erotic Capital) ที่ปัจเจกมีอยู่ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าสังคมซึ่งรวมไปถึงความก้าวหน้าของชีวิต และประเด็นเรื่องชนชั้น
ความงามกับทุนกามารมณ์
หากมองเรื่องความงามในทางวิชาการ ความงามถือเป็นปฏิบัติการทางวาทกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งพยายามสร้างอำนาจชี้นำว่าผู้คนควรมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร ถึงจะสามารถได้รับการยอมรับจากสังคม รูปร่างหน้าตาแบบใดควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจทำให้ผู้คนรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้ และย่อมส่งผลให้เขาหรือเธอคนนั้นเสียโอกาสในการเข้าสังคมไป โดย Cregan ได้กล่าวว่า ปฏิบัติการทางวาทกรรมนี้ เป็นอำนาจชี้นำซึ่งแฝงฝังและผลิตซ้ำอยู่ทั่วไปในสังคม โดยเฉพาะตามสื่อที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเสริมความงาม กรณีการปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของผู้คนอย่างเช่นการทำศัลยกรรมเสริมความงาม จึงย่อมสามารถเกิดขึ้นได้เพื่อตอบสนองต่อการชี้นำและแรงกดดันของสังคม โดยสังคมในที่นี้ ยังรวมไปถึงกลุ่มเฉพาะซึ่งยึดถือความงามในแบบฉบับของตนเองด้วย (Cregan, 2012, pp.16-20)
นอกจาก Cregan แล้ว Catherine Hakim (2010) ยังได้กล่าวถึงประเด็นหนึ่งซึ่งมีความสำคัญนั่นคือประเด็นเรื่องทุนกามารมณ์ (Erotic Capital) โดยทุนกามารมณ์นั้น เกี่ยวข้องกับการนำความงามและเสน่ห์ที่แต่ละบุคคลมีอยู่ เช่น รูปร่างหน้าตา การแต่งกาย ทักษะการเข้าถึงผู้คน มายกระดับและใช้เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าสังคม เป็นการสะสมทุนรูปแบบหนึ่งเพื่อเป็นประตูไปสู่ความก้าวหน้าของชีวิต ทุนกามารมณ์มีความสำคัญเทียบเท่ากับทุนทางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้ว่า ในสังคมที่มีวัฒนธรรมผู้ชายเป็นศูนย์กลางนั้น ผู้หญิงบางคนจะพัฒนาและสะสมทุนกามารมณ์เพื่อใช้ต่อสู้ต่อรองจนได้มาซึ่งความก้าวหน้าของชีวิตการงาน ตัวอย่างเช่น อาชีพเกอิชา ได้รับการยกย่องในฐานะศิลปินของญี่ปุ่น อันเนื่องมาจากเกอิชาให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อศิลปะการฝึกฝนและเสริมเสน่ห์ส่วนบุคคลเพื่อมัดใจแขกผู้มาเยือนให้กลับมาเยี่ยมเยียนอีก ส่งผลให้เกอิชาได้กลายมาเป็นอัตลักษณ์หนึ่งของญี่ปุ่นและเป็นธุรกิจซึ่งนักท่องเที่ยวยังให้ความสนใจมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ การพัฒนาและสะสมทุนกามารมณ์ไม่ได้จำกัดเฉพาะเพศใดเพศหนึ่ง ในสหราชอาณาจักร ผู้ชายในสัดส่วนประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นฐานลูกค้าสำคัญของคลินิกศัลยกรรมเสริมความงาม ทั้งยังให้ความสำคัญต่อการเข้ายิม ปรับทรงผมและการแต่งกาย โดยมีนักฟุตบอลสายแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับโลกเป็นแรงบันดาลใจ เป็นต้น
ในเมื่อทุนกามารมณ์เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้คนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มคนที่จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อพาตนเองไปสู่โอกาสในการเข้าสังคมและความก้าวหน้าของชีวิต จึงมีผู้คนจำนวนหนึ่งต้องการแสวงหาตัวช่วยทางเทคนิคอย่างการทำศัลยกรรมเสริมความงาม และปรากฏการณ์นี้ ย่อมเกิดขึ้นในสังคมไทยด้วย
กว่าจะงามในสังคมไทย
“ชาวสยามนั้นสังเกตง่ายแต่แรกเห็น จากกิริยาท่าทางเฉื่อยและเกียจคร้าน และหน้าตาดูเซื่อง ๆ เซ่อ ๆ จมูกออกจะแบนแทบทุกคน โหนกแก้มสูง ดวงตาแลดูทื่อ ๆ หามีแววฉลาดไม่ รูจมูกบาน ปากกว้างเกินพอดี ริมฝีปากแดงคล้ำเพราะกินหมากเป็นประจำ ซ้ำฟันยังดำสนิทเหมือนไม้มะเกลือ ทุกคนโกนผมเกลี้ยง เหลือเพียงกระจุกตรงกลางกระหม่อม เส้นผมสีดำหยาบแข็งเหมือนขนแปรง...สาวสยามอายุระหว่าง 12-20 ปี ก็ไม่เห็นมีอะไรชวนริษยาสักเท่าไหร่เมื่อเทียบเคียงกับหุ่นทรงแบบปั้นที่ทางเราเห็นว่างาม”
จาก บันทึกการเดินทางของอ็องรี มูโอต์ ในราชอาณาจักรสยาม กัมพูชา ลาว และอินโดจีนตอนกลางส่วนอื่น ๆ (แปลโดย กรรณิกา จรรย์แสง)
ในอดีต เมื่อชาวยุโรปได้พบเห็นชาวสยาม พวกเขามักบรรยายถึงรูปร่างหน้าตาชาวสยามซึ่งค่อนข้างต่ำกว่ามาตรฐาน แน่นอนว่ามาตรฐานในที่นี้ อิงตามมาตรฐานความงามของยุโรปเอง อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งในสังคมไทย วัฒนธรรมการทำให้ผู้คนเกิดความละอายในเรื่องรูปลักษณ์ของตนเอง มีมาช้านานแล้ว และสะท้อนผ่านวรรณคดีคลาสสิกหลายเรื่องซึ่งมักอธิบายตัวละครที่หน้าตาอัปลักษณ์ว่า “รูปชั่วตัวดำ” จะหยิบจับทำอะไรจึงดูขบขัน น่ารังเกียจ และเกิดความอาภัพในชีวิตแทบทุกด้าน โดยความรูปชั่วตัวดำนี้ถูกอธิบายว่าเป็นเรื่องของกรรม ผู้ที่เกิดมาแล้วมีความไม่งาม พึงยอมรับว่าสิ่งนี้เป็นกรรมส่วนบุคคลบันดาลมา และจึงควรหมั่นทำความดีเพื่อสะสมบุญกุศลให้เกิดมามีความงดงามในภพภูมิหน้า เห็นได้ชัดว่าความคิดเช่นนี้ได้รับอิทธิพลจากความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมของศาสนาพุทธนั่นเอง1
ความเชื่อที่ว่าความงามเป็นเรื่องของกรรม ผู้ที่อยากมีความสวยงามต้องหมั่นสะสมบุญกุศลนั้น ค่อย ๆ เลือนหายไปจากสังคมไทย เมื่ออุตสาหกรรมเสริมความงามแบบสมัยใหม่ของประเทศแถบตะวันตกเดินทางเข้ามาถึง ผู้คนเริ่มมีตัวเลือกในการค่อย ๆ ปรับปรุงรูปร่างหน้าตาของตนเองโดยไม่จำเป็นต้องรอชาติหน้า อุตสาหกรรมเสริมความงามเหล่านี้ ยังรู้จักที่จะใช้สื่อโฆษณาเพื่อทำให้ผู้คนมองเห็นว่า สังคมไทยจะไม่มีพื้นที่ให้แก่คนซึ่งมีรูปลักษณ์ตามที่ชาวยุโรปเคยอธิบายไว้ในแง่ลบอีกต่อไป เพราะทุกคนสามารถปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนเองตั้งแต่หัวจรดเท้าให้ทันสมัยตามแบบตะวันตกได้เสมอ ผู้ที่ไม่รู้จักการเปลี่ยนแปลงคือคนไร้อารยะ ส่งผลให้กลายเป็นคนที่สังคมไม่กล้าคบหา จึงจำเป็นต้องสร้างความรู้ความเข้าใจใหม่ให้แก่คนเหล่านั้น สิ่งนี้เห็นได้ชัดในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนปรับปรุงรูปลักษณ์ตนเองให้สอดคล้องต่อความเป็นสมัยใหม่ตามแบบตะวันตก (ชาญวิทย์, 2544, น.219-223) ทั้งนี้ ในช่วงสงครามเย็น นิตยสารแฟชั่นหลายชิ้นพยายามสื่อสารให้ผู้อ่านรับรู้และเข้าถึงความงามอย่างไทยอารยะในโลกสมัยใหม่ นิตยสารเหล่านี้ต่างสร้างความเชื่อมั่นว่า ความงามดังกล่าวสามารถนำไปโอ้อวดและได้รับการยอมรับในสังคมโลกได้จริง และจุดสูงสุดของเรื่องนี้คือการคว้าตำแหน่งนางงามจักรวาลของอาภัสรา หงสกุล เมื่อ พ.ศ.2508 (Phillips, 2015, pp.191-193)
อาภัสรา หงสกุล กับ มาตรฐานความงามแบบไทยในช่วงทศวรรษ 2500 (รูปจาก Facebook เพจ อนุสาร อ.ส.ท.)
สำหรับศัลยกรรมเสริมความงามนั้น ก็มีบทบาทไม่ต่างจากอุตสาหกรรมเสริมความงามประเภทอื่น ๆ ศัลยกรรมเสริมความงามเริ่มมีที่ทางและพัฒนาการในสังคมไทยอย่างเห็นได้ชัดราวทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา (Sanook, 2567) อย่างไรก็ตาม ศัลยกรรมเสริมความงามเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งที่อยู่ภายใต้การกำกับของทุน การที่ศัลยกรรมเสริมความงามจะสามารถสะสมทุนกำไรได้อย่างมหาศาลนั้น จึงต้องทำให้ผู้คนมองเห็นถึงความสำคัญของการเข้ามาใช้บริการ วิธีการหนึ่งคือการผลิตซ้ำภาพความงามแบบมาตรฐานที่ทุกคนก็สามารถยกระดับเพื่อไปให้ถึงจุดนั้นได้หากเลือกใช้บริการกับคลินิกนั้น ๆ การผลิตซ้ำดังกล่าว ปรากฏอยู่ทั่วไปตามสื่อโฆษณา ทั้งนี้ จากการสำรวจโฆษณาที่เกี่ยวข้อง ในหลายโฆษณามักจะเน้นย้ำว่าคนที่มีรูปร่างหน้าตาที่ด้อยกว่าคนอื่น มักมีปัญหาในการเข้าสังคม โฆษณาจะนำลูกค้ามาเล่าถึงประสบการณ์ก่อนมาทำศัลยกรรมเสริมความงามว่าการมองเห็นปมด้อยของรูปร่างหน้าตาตัวเอง เป็นความน่ากลัวอย่างหนึ่ง แต่ความน่ากลัวนี้ได้หมดไปหลังจากได้มาทำศัลยกรรมเสริมความงามกับหมอคนนี้ ณ คลินิกหรือสถานพยาบาลแห่งนั้น ความสุขได้เกิดขึ้นพร้อมกับตัวตนใหม่อย่างแท้จริง นอกจากนั้น โฆษณาบางชิ้น ยังให้รายละเอียดเกี่ยวกับความงามที่ควรจะเป็น โดยอ้างเรื่องมาตรฐานตามหลักการทางวิทยาศาสตร์กายภาพ เช่น มุมองศาของความโด่งของสันจมูกและความเชิดของปลายจมูก นอกจากนั้น โฆษณาชิ้นเดียวกัน ยังอาจให้รายละเอียดเรื่องความงามที่ควรจะเป็น โดยอ้างเรื่องความเชื่อด้านโชคลาภด้วย เช่น ทำทรงจมูกแบบใดจึงจะส่งเสริมโชครับทรัพย์ เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าการผลิตซ้ำภาพเหล่านี้ สามารถกระตุ้นให้ผู้คนส่วนหนึ่งมองเห็นความสำคัญของการยกระดับและสะสมสิ่งที่เรียกว่าทุนกามารมณ์ที่พวกตนมีอยู่ เพื่อโอกาสในการเข้าสังคมและชีวิตที่ดี ทั้งนี้ มีหลายอาชีพที่จำเป็นต้องทำสิ่งนี้ ตัวอย่างเช่น รายงานการศึกษาของชนัญญา สิทธิสร (2564) ซึ่งชี้ให้เห็นว่า พริตตี้หลายคนมองการทำศัลยกรรมเสริมความงามเป็นเรื่องปกติ เพราะพริตตี้เป็นอาชีพที่ต้องใช้รูปร่างหน้าตาประกอบกับทักษะการเข้าถึงลูกค้า พวกเธอตั้งใจที่จะจ่ายเงินตั้งแต่ในระดับหมื่นบาทไปจนถึงระดับแสนบาท เพื่อศัลยกรรมเสริมรูปร่างหน้าตาให้ได้สัดส่วนตามที่ต้องการ แม้อาจต้องกลับมาแก้หลายครั้งก็ตาม และผลตอบรับที่ได้จากการทำศัลยกรรมเสริมความงามก็ออกมาในทางบวก เนื่องจากพวกเธอมีงานเพิ่มขึ้นจริง การศึกษาของชนัญญา มีความสอดคล้องกับแนวคิดเรื่องทุนกามารมณ์ของ Hakim ที่ว่า ถึงที่สุดแล้ว ทุนกามารมณ์ยังคงมีความสำคัญในฐานะที่เป็นทุนนำพาผู้คนไปสู่ความก้าวหน้าของชีวิต แน่นอนว่าการสะสมทุนกามารมณ์นี้ มีความเชื่อมโยงกับวาทกรรมความงาม กล่าวคือ พริตตี้ต้องงามอย่างไร ถึงจะทำให้คนในวงการยอมรับและส่งผลให้พวกเธอสามารถไปต่อกับอาชีพนี้ได้ นั่นส่งผลให้พริตตี้ต้องเปลี่ยนแปลงตนเองอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อได้รับข้อมูลว่าตนเองมีจมูกแบนเกินไป หน้าอกเล็กเกินไป และอื่น ๆ ที่ดูแล้วต่ำกว่ามาตรฐานความงามมากเกินไป อาจกล่าวได้ว่าทุนกามารมณ์จำเป็นต้องมีการยกระดับและสะสมอย่างต่อเนื่อง เพราะทุนดังกล่าวไม่มีความยั่งยืน สามารถใช้แล้วหมดไปได้ ซึ่งคล้ายกับทุนทางเศรษฐกิจ และในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองทุนก็ทำงานแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกันเสียด้วยซ้ำ
ชนชั้นกับศัลยกรรมเสริมความงาม
“เมื่อคุณได้รับมงกุฎ มันเหมือนกับประตูได้เปิดมาเพื่อคุณแล้ว มันจะทิ้งให้คุณเปิดประตูนั้นไว้ มันจะทิ้งให้คุณสานต่อและแสดงให้พวกเขาดูว่าฉันมีความสามารถจริง ๆ นะ ฉันสวยนะ ฉันได้รับมงกุฎนะ ฉันมีสติปัญญานะ และการที่คุณได้รับมงกุฎ คุณจะได้เข้าสู่รัฐสภา คุณจะได้รับเชิญจากฝ่ายบริหาร เขาจะให้คุณเป็นผู้ฟังที่ดี เขาจะพูดว่าโอ้ใช่ เธอเป็นราชินีแห่งความงาม และเธอมีบางสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่”
(แปลจาก Oluwakemi M. Balogun and Kimberly Kay, Refashioning Global Bodies: Cosmopolitan Femininities in Nigerian Beauty Pageants and The Vietnamese Sex Industry, p.15)
ในอีกมุมหนึ่ง หากการทำศัลยกรรมเสริมความงามเป็นการช่วยให้พริตตี้ได้รับโอกาสและความก้าวหน้าในชีวิต เราอาจกล่าวว่าการทำศัลยกรรมเสริมความงามยังเป็นเรื่องของชนชั้นด้วยได้หรือไม่ เพราะดังที่ Hakim ได้ชี้ให้เห็นว่า ในสังคมที่มีการแข่งขันทางเศรษฐกิจอย่างดุเดือดภายใต้อำนาจที่ผู้ชายเป็นศูนย์กลางนั้น ผู้หญิง (และรวมถึง LGBTQ+) บางคนจึงอาจจำเป็นต้องยกระดับและสะสมทุนอีกรูปแบบหนึ่งในการต่อสู้ต่อรองกับสังคมชายเป็นใหญ่ ซึ่งในที่นี้คือทุนกามารมณ์ที่ปัจเจกมีอยู่ ดังกรณีของอาชีพเกอิชาในญี่ปุ่น ซึ่งได้อธิบายไปแล้ว
กรณีของแวดวงนางงาม สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งเหล่านี้เช่นเดียวกัน Oluwakemi M. Balogun และ Kimberly Kay Hoang (2013) ได้ชี้ให้เห็นว่า ในประเทศไนจีเรีย นอกจากผู้หญิงจะถูกกดทับจากสังคมชายเป็นใหญ่แล้ว ยังถูกกดทับซ้ำสองจากอคติทางเชื้อชาติและสีผิวด้วย ผู้หญิงไนจีเรียจึงเป็นกลุ่มคนที่มักถูกผลักให้ไปอยู่ชายขอบ โอกาสที่จะได้รับความก้าวหน้าของชีวิตจึงมีน้อย และยิ่งหากผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวคนโตหรือเป็นคนเดียวในบ้านที่ต้องแบกรับสภาวะความยากจนของครอบครัว ก็ยิ่งมีแนวโน้มจะประสบกับความล้มเหลวในชีวิตง่ายขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงไนจีเรียหลายคนพบว่า แต่การเป็นนางงามนั้นเอง น่าจะช่วยให้เธอและครอบครัวของเธอ ได้รับโอกาสทางสังคมมากขึ้น Balogun และ Hoang สังเกตว่าผู้หญิงที่เข้ามาอยู่ในแวดวงนางงาม แต่ละคนจะมีพัฒนาการความงามในทุก ๆ ปี ผู้หญิงบางคนแพ้ประกวดหลายครั้งติดต่อกัน แต่ยังสู้อุตสาหะปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของตนเองอย่างต่อเนื่องด้วยหวังว่าจะกลับมาชนะในสักวันหนึ่ง เพราะพวกเธอมีความเชื่อมั่นว่าการขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของตำแหน่งนางงาม เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าความงามแบบชาวแอฟริกันผิวดำก็สามารถชนะใจผู้คนได้ไม่แพ้คนผิวขาว และการชนะใจนี้ย่อมส่งผลให้พวกเธอได้รับการยอมรับทางสังคม มีโอกาสที่จะได้รับข้อเสนอต่าง ๆ ซึ่งเป็นความก้าวหน้าของชีวิตมากขึ้นนั่นเอง ควรกล่าวด้วยว่า ไม่ใช่เพียงกรณีของนางงามไนจีเรียเท่านั้น เพราะไม่ว่าจะเป็นในประเทศใด ผิวสีใด รวมถึงไทย ย่อมมีปรากฏการณ์เช่นนี้ มากบ้างน้อยบ้างตามบริบทของสังคมนั้น ๆ
อย่างไรก็ตาม ศัลยกรรมเสริมความงามยังมีความย้อนแย้งเรื่องหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประเด็นทางชนชั้นเช่นกัน แม้เราจะบอกว่าการทำศัลยกรรมเสริมความงามคือประตูสู่โอกาสทางสังคมของผู้คน แต่เพราะศัลยกรรมเสริมความงามคือธุรกิจภายใต้การกำกับของทุนนิยม การทำศัลยกรรมเสริมความงามจึงมักเป็นเรื่องของคนที่มีทรัพย์เพียงพอที่จะจ่ายไปกับสิ่งนี้ได้ หรืออย่างน้อยก็ควรมีผู้สนับสนุนในเรื่องนี้ ความเหลื่อมล้ำดังกล่าวยังมีส่วนที่ทำให้เกิดคลินิกศัลยกรรมเสริมความงามแบบผิดกฎหมายซึ่งไม่มีการรับรองความปลอดภัยใด ๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ที่ต้องการปรับปรุงรูปลักษณ์ของตนเองแต่ไม่มีทรัพย์มากพออีกด้วย
ทั้งนี้ สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นตลกร้ายตามมาคือ คนจำนวนหนึ่งซึ่งออกมารณรงค์ให้คนไทยสวยใสไร้ศัลย์ ทั้งยังปลอบใจว่าแม้จะไม่งามที่รูปกายแต่จิตใจสามารถทำให้งดงามได้นั้น เป็นคนที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูงของสังคม ซึ่งหลายคนเคยผ่านการทำศัลยกรรมเสริมความงามมาแล้ว (แต่บางคนอาจยังไม่กล้าเปิดเผย เนื่องด้วยกังวลต่อข้อวิพากษ์วิจารณ์ของคนในสังคม จึงอาจให้เหตุผลว่าที่สวยขึ้นเพราะรู้จักออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร และแต่งตัว) ราวกับเป็นการสื่อสารให้คนที่อยากทำศัลยกรรมเสริมความงามแต่ขาดทุนทรัพย์ ยอมรับในบุญวาสนาที่ตนเองมีอยู่ และหมั่นทำความดีเพื่อสะสมบุญกุศลอันจะนำไปสู่การเกิดใหม่ในภพภูมิหน้าด้วยรูปร่างหน้าตาที่งดงาม ซึ่งเป็นทัศนคติแบบชาวสยามยุคโบราณ
ส่งท้าย
ถึงที่สุดแล้ว เรื่องราวของดอกไม้พลาสติกจึงสมควรได้รับการทบทวนและศึกษากันใหม่ แม้กระทั่งคำว่าดอกไม้พลาสติก (หรือคำที่ใกล้เคียงกันนี้) ก็สมควรถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมด้วย โดยเฉพาะในสังคมไทยซึ่งยังคงมีมุมมองที่จำกัดและเป็นเชิงลบเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมเสริมความงาม ศัลยกรรมเสริมความงามควรถูกมองในฐานะที่มีความสัมพันธ์กับมิติทางสังคมและวัฒนธรรม หาใช่เรื่องของคนที่ไม่รู้จักพอในธรรมชาติของตนเองไม่ นอกจากนั้น แม้สังคมส่วนหนึ่งอาจมองในแง่ลบถึงเรื่องของการใช้ร่างกายเป็นทุนเพื่อทำมาหากิน แต่มนุษย์ย่อมมีสิทธิที่จะจัดการร่างกายของตนเอง โดยไม่ต้องให้ผู้ใดมาบงการหรือควบคุม
บรรณานุกรม
ชนัญญา สิทธิสร. (2564). ทุนทางร่างกายและวาทกรรมความสวยที่สะท้อนผ่านการทำศัลยกรรมของสาวพริตตี้. รายงานการศึกษาเฉพาะบุคคล ศิลปศาสตรบัณฑิต ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร.
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. (2544). ประวัติการเมืองไทย 2475-2500. พิมพ์ครั้งที่ 3. มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
มหามกุฏราชวิทยาลัย. (ม.ป.ป.). พระไตรปิฏกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกายคาถาธรรมบท เล่ม 1 ภาค 2 ตอน 3. The Path of Purity. https://shorturl.asia/CSPsv
อ็องรี มูโอต์. (2558). บันทึกการเดินทางของอ็องรี มูโอต์ในราชอาณาจักรสยาม กัมพูชา ลาว และอินโดจีนตอนกลางส่วนอื่น ๆ, แปลโดย กรรณิกา จรรย์แสง. มติชน
Balogun O.M.; Hoang K.K. (2013). Refashioning Global Bodies: Cosmopolitan Femininities in Nigerian Beauty Pageants and The Vietnamese Sex Industry. In Afshan Jafar and Erynn Masi De Casanova (Eds.), Global Beauty Local Body. Palgrave Macmillan.
Cregan, K. (2012). Key Concepts in Body and Society. Sage.
Hakim, C. (2010). Erotic Capital. In European Sociological Review, 26, 499-518.
Matichon Online. (2568). หมอเลี้ยบ คิกออฟ “ไทย เฟซ ท็อป โมเดล” เผยทักษิณทุ่ม 20 ล. ประเดิมโครงการเฟ้นหานางแบบหล่อ-สวยแบบไทย ไม่ผ่านศัลยกรรมสู่รันเวย์โลก. Matichon. https://today.line.me/th/v3/article/3NlQxJv
Phillips, M. (2015). Thailand in The Cold War. Routledge.
Sanook. (2567). ย้อนประวัติศัลยกรรมความงามในไทย เริ่มมีปีไหน? เกร็ดจากละครขวัญฤทัย. Sanook. https://www.sanook.com/news/9343202/
1 เช่น ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท โกธวรรควรรณาที่ 17 เล่าถึงเรื่องราวของพระนางโรหิณีผู้ทรงเกิดมาพร้อมกับผิวหนังพุพอง จนกระทั่งพระเถระองค์หนึ่ง แนะนำให้พระนางสร้างโรงฉันของพระ และให้หมั่นทำความสะอาดเป็นอย่างดี พระนางโรหิณีจึงปฏิบัติตามและพบว่าเริ่มมีผิวพรรณงามขึ้นจริงอย่างน่ามหัศจรรย์ หลังจากนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้เข้ามาตรัสว่า เหตุที่พระนางมีผิวพรรณไม่งดงามมาตั้งแต่กำเนิดนั้น เป็นเพราะกรรมจากชาติปางก่อนของพระนาง ซึ่งเคยมีจิตริษยาและทำร้ายร่างกายผู้อื่นที่มีความงดงามมากกว่า เมื่อพระนางโรหิณีได้ฟังคำเทศนาของพระพุทธเจ้า จึงบรรลุธรรม มีผิวสวยดุจดั่งทองคำ และได้ไปเกิดในภพดาวดึงส์ ทั้งยังเป็นผู้น่าเลื่อมใสและมีรูปงามเลิศ (มหามกุฏราชวิทยาลัย, ม.ป.ป., น.426-431).
ผู้เขียน
ธนวัฒน์ รุ่งเรืองตันติสุข
นักวิจัย ฝ่ายวิจัยและส่งเสริมวิชาการ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
ป้ายกำกับ ศัลยกรรมเสริมความงาม สังคมไทย ธนวัฒน์ รุ่งเรืองตันติสุข