เมื่อสายน้ำเปื้อนพิษ: ข้อท้าทายในการจัดการแม่น้ำข้ามพรมแดน
“เรารู้ว่ามีเหมืองอยู่ต้นน้ำในฝั่งพม่า คนบ้านเราก็เห็นกันมาแล้ว
แต่มันไม่ใช่ในพื้นที่ประเทศเรา มันก็คงทำอะไรไม่ได้”
จากคำสัมภาษณ์ของชาวประมงในพื้นที่จังหวัดเชียงรายซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สารพิษปนเปื้อน ชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์สารพิษปนสายน้ำครั้งนี้ไม่สนใจพรมแดนรัฐชาติ การแก้ปัญหาตามวิถีเดิมอาจไม่ง่ายที่จะช่วยผู้คนที่ได้รับผลกระทบอย่างทันท่วงที
แม่น้ำหลายสายในพื้นที่ภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (the Mekong Region) ไหลข้ามเขตแดน ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างพึ่งพาทรัพยากรข้ามชาติเหล่านี้ ทว่าในอีกด้านหนึ่งการใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างประเทศได้สร้างความความท้าทายต่อกระบวนการตัดสินใจ (decision making) ทั้งในเรื่องการผลิตอาหาร พลังงาน การรักษาระบบนิเวศ และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน เหตุเพราะภูมิภาคลุ่มน้ำโขงยังมีเรื่องของพรมแดน ระบบนิเวศ ผู้คน เศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศลาว ไทย กัมพูชา เมียนมา เวียดนาม และมณฑลยูนนานของจีน ผู้คนประมาณ 260 ล้านคนต่างดำเนินชีวิตในพื้นที่แห่งนี้ ด้วยเหตุนี้การจัดการน้ำจึงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนจำนวนมหาศาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (Dore et al., 2012: 24)
ในแง่นี้หากแม่น้ำปนเปื้อนสารพิษ ย่อมส่งผลให้คนต้นน้ำไปจนถึงคนท้ายน้ำพลอยรับผลกระทบไปด้วย หากเป็นการปนเปื้อนสารพิษเกิดในแม่น้ำขนาดเล็ก การแก้ปัญหาคงไม่ยากและซับซ้อนมากนัก แต่หากเป็นแม่น้ำที่ไหลไม่สนเขตรัฐชาติที่มนุษย์สถาปนาขึ้น ทางออกของปัญหาคงไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสมัยที่ประสิทธิภาพของกลไกการจัดการน้ำข้ามพรมแดน ไม่ว่าจะเป็น กลไกในประเทศ ระดับประเทศ และระดับภูมิภาค อยู่ภายใต้เครื่องหมายคำถาม ดังจะเห็นได้จากการปนเปื้อสารพิษของแม่น้ำในลุ่มน้ำกกซึ่งเป็นแม่น้ำข้ามพรมแดนจนเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง และทิ้งคำถามสำคัญว่าจุดสิ้นสุดของปัญหานี้อยู่ที่ใด ดังนั้น บทความนี้จึงมุ่งนำเสนอให้เห็นถึงข้อท้าทายในการจัดการน้ำข้ามพรมแดน (transboundary water governance)
“แม่น้ำ”: ทรัพยากรร่วมข้ามพรมแดน (Transboundary common pool resources)
แม่น้ำหลายสายบนโลกใบนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อคนคนเดียว ครอบครัวเดียว บริษัทเดียว หรือ “รัฐชาติ” ใดรัฐชาติหนึ่งเท่านั้น เพราะแม่น้ำคือ ทรัพยากรร่วม หลายชีวิตต่างพึ่งพาอาศัยแม่น้ำ รวมถึงมีการบริหารจัดการแม่น้ำร่วมกัน แนวคิดทรัพยากรร่วมจึงหมายถึงการแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันบนฐานข้อตกลงร่วม ทรัพยากรร่วมจึงมีความสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนที่พึ่งพาอาศัยแม่น้ำ (Ahmed and Hirsch, 2000) กระนั้นก็ดี แม่น้ำหลายสายต้องเผชิญภัยคุกคามหลากหลายรูปแบบซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งแบบแผนการจัดการ และความเป็นอยู่ของสรรพชีวิตบริเวณแม่น้ำ ยกตัวอย่างเช่นรูปแบบการจัดการน้ำที่เป็นอยู่ (the governance arrangements) ในปัจจุบัน ไม่สามารถสร้างความยั่งยืนและเป็นธรรมในการใช้น้ำได้ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเข้าถึง (access) น้ำ จากเดิมน้ำถูกจัดการในฐานะทรัพยากรร่วม (common property) แต่ต้องกลายมาเป็นทรัพยากรเอกชน (private property) (Hirsch, 2020)
ภัยคุกคามอีกประการคือการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำ ดังที่เกิดขึ้นในแม่น้ำในลุ่มน้ำกก สาย และรวกของประเทศไทย แม่น้ำในลุ่มน้ำกกถือเป็นทรัพยากรร่วมที่ผู้คนหลายชีวิตได้ใช้ประโยชน์และดูแลรักษาร่วมกัน ต้นทางไหลมาจากภูเขาในรัฐเชียงตุง ประเทศเมียนมา เมื่อเข้าสู่ประเทศไทยไหลผ่านช่องน้ำกก อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ทิศตะวันออกผ่าน อำเภอแม่อาย อำเภอเมืองจังหวัดเชียงราย จากนั้นไหลไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือในพื้นที่อำเภอเชียงแสน และไหลลงแม่น้ำโขง ณ บ้านสบกก ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ความยาวของแม่น้ำกกคือประมาณ 285 กิโลเมตร และส่วนที่ไหลผ่านประเทศไทยมีพื้นที่ทั้งหมด 7,300.41 ตารางกิโลเมตร (สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1, ม.ป.ป.)
ช่วงต้นปี 2568 เริ่มพบความเปลี่ยนแปลงในแม่น้ำ เช่น อาการป่วยของปลา จึงตรวจสอบแม่น้ำผลพบว่ามีการปนเปื้อนสารหลายชนิด อาทิ สารหนู แมงกานีส ตะกั่ว ดิสโพรเซียมซึ่งถือเป็นธาตุแรร์เอิร์ธ ยูเรเนียมในฐานะธาตุกัมมันตรังสีในกระบวนการทำแร่แรร์เอิร์ธ สารทอเรียมซึ่งเป็นธาตุกัมมันตรังสีที่มักพบในการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ ผลสำรวจชี้ว่า ต้นเหตุสำคัญของสารโลหะหนักและสารกึ่งโลหะที่ปนเปื้อนลุ่มน้ำกกมาจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth Element – REE) และเหมืองทองคำ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา (จิราภรณ์ ศรีแจ่ม, 2568) ทั้งนี้ หากสารหนู (Arsenic) เข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก จะส่งผลต่อความผิดปกติของระบบประสาท อวัยวะล้มเหลว และโรคมะเร็ง จากผลตรวจที่ผ่านมาพบว่าสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำกกสูงกว่าค่ามาตรฐานที่ธนาคารโลกกำหนดไว้หลายเท่า (Zsombor Peter, 2025)
ผลพวงที่ตามมาคือธุรกิจแพ ร้านอาหารในพื้นที่ขาดรายได้เพราะการห้ามประชาชนเล่นน้ำในแม่น้ำ อีกทั้งชาวประมงจำต้องหยุดหาปลาเนื้ออ่อนเพราะประชาชนไม่กล้ากินปลาจากแม่น้ำเปื้อนพิษ รวมทั้งยังมีเกษตรกรอีก 7,000 ราย ซึ่งมีพื้นที่การเกษตรอีกประมาณ 82,000 ไร่ ที่ต้องใช้น้ำจากแม่น้ำกกในการทำการเกษตร ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย รวมไปถึงผู้ใช้น้ำประปาในตัวเมืองเชียงราย 41,000 ราย อำเภอแม่สาย 14,000 ราย ต่างก็หวาดวิตกต่อคุณภาพน้ำประปาที่การประปาส่วนภูมิภาคผลิต และยังมีผู้ต้องขังในเรือนจำจังหวัดเชียงรายจำนวน 4,000 ราย ซึ่งมีความเสี่ยงเพราะเรือนจำใช้น้ำกกในการอุปโภคบริโภค ไม่เพียงเท่านั้น ปัญหานี้ยังเป็นปัญหาข้ามพรมแดนที่ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อชาวไทย ชาวเมียนมา แต่หากสารพิษไหลสู่แม่น้ำโขง อาจทำให้ประเทศลาว กัมพูชา และเวียดนาม ได้รับผลกระทบไปด้วย (ประชาไท, 2568; the 1O1, 2568)
ความท้าทายในการจัดการมลพิษในแม่น้ำข้ามพรมแดน: “Stop it at the source”?
หลังตรวจพบสารพิษ หลายภาคส่วนในประเทศไทยได้กำหนดแนวทางการแก้ปัญหาหลายด้าน เช่น รัฐได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน รวมถึงการแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) ในพื้นที่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย
อย่างไรก็ตามทิศทางการรับมือการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำยังคงอยู่ในเครื่องหมายคำถามว่าจะช่วยแก้ปัญหาได้ทันท่วงทีและยั่งยืนหรือไม่ (ดูเพิ่มเติม the 1O1, 2568) เหตุเพราะการแก้ปัญหาแม่น้ำข้ามพรมแดนมีความซับซ้อนอย่างยิ่ง ดังที่ Dore et al., (2012) ชี้ให้เห็นข้อท้าทายสำคัญสำหรับการจัดการน้ำในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงคือ ความสลับซับซ้อนทางระบบนิเวศ สังคม และเศรษฐกิจ ยิ่งกว่านั้น ยังมีความแตกต่างเชิงพื้นที่ เช่น ความมั่งคั่ง ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากร การถดถอยทางสิ่งแวดล้อม กฎหมายด้านเศรษฐกิจ รูปแบบการบังคับใช้กฎหมาย และเสรีภาพทางการเมือง ปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายของผู้คนและทุน (capital) โดยจะส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจอีกทีหนึ่ง ในท้ายที่สุดหากมัดรวมกัน ทั้งหมดนี้จะมีอิทธิพลต่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม่น้ำ มิพักต้องกล่าวถึงความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากพลังภายนอก (external forces) เช่น การเติบโตและการหดตัวของเศรษฐกิจโลก (global economic growth and contraction) ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจและการจัดการน้ำในพื้นที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในแง่นี้ เมื่อเกิดการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำท้องถิ่นซึ่งเป็นผลมาจากการทำเหมืองซึ่งเป็นโครงการพัฒนาข้ามชาติ (the local commons impacted by transboundary) จึงเกิดคำถามต่อแนวทางการจัดการแม่น้ำข้ามพรมแดนที่เป็นอยู่ว่าพร้อมรับมือกับความสลับซับของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงหรือไม่ ดังจะเห็นได้จากข้อท้าทายดังต่อไปนี้
ไทย เมียนมา และกองทัพสหรัฐว้า
แม่น้ำคือทรัพยากรเคลื่อนที่ซึ่งไหลโดยไม่สนเขตแดนที่มนุษย์ขีดเขียนขึ้นมา (human-made boundaries) การนำแนวคิดเรื่องพรมแดนมาจัดการน้ำที่ไร้พรมแดนจึงเป็นโจทย์สำคัญ (Grundy-Warr and Lin, 2020) ดังที่ชาวบ้านกล่าวว่า “เรารู้ว่ามีเหมืองอยู่ต้นน้ำในฝั่งพม่า คนบ้านเราก็เห็นกันมาแล้ว แต่มันไม่ใช่ในพื้นที่ประเทศเรา มันก็คงทำอะไรไม่ได้” ยิ่งกว่านั้น จุดที่เหมืองตั้งอยู่คือพื้นที่ควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army - UWSA) พวกเขาคือกลุ่มกบฏที่มีอาวุธครบมือ และแม้แต่รัฐบาลทหารของเมียนมายังไม่กล้าส่งกองทัพเข้าไปในพื้นที่ ด้วยเหตุดังนี้ การเข้าถึงพื้นที่เพื่อแก้ปัญหามลพิษจึงยากลำบาก (Zsombor Peter, 2025) รวมถึง ลลิตา หาญวงษ์ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชี้ว่ากองทัพสหรัฐว้าไม่ใช่ประเทศ ทำให้รัฐไทยไม่อยากส่งคนไปต่อรอง รัฐไทยยังเกรงใจรัฐเมียนมา และเมียนมาก็เกรงใจกองทัพสหรัฐว้า (สำนักข่าวชายขอบ, 2568 ) ในแง่นี้ การแก้ปัญหาจึงซับซ้อนขึ้นไปอีก
จีน: ยักษ์ใหญ่แห่งการขุดแร่
การปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำของไทยยังมีตัวแสดงที่สำคัญคือประเทศจีนเพราะเหมืองหลายแห่งในพื้นที่กองทัพสหรัฐว้าดำเนินการโดยบริษัทจากจีน ที่ผ่านมาจีนผูกขาดการสกัดและกลั่นแร่หายากทั้งหมด องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency) ชี้ว่าปี 2566 จีนผลิตแร่ธาตุหายากประมาณ 61% ของการผลิตทั่วโลก และครอบครองสัดส่วนการแปรรูปมากถึง 92% (จิราภรณ์ ศรีแจ่ม, 2568)
มากกว่าการทำ EIA คือ การไม่ทำ EIA
ข้อมูลจากปี 2564 ชี้ว่า ไม่มีการอนุญาตจากรัฐบาลเมียนมาให้ทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในพื้นที่ ในแง่นี้ จึงเป็นไปได้ว่าเหมืองแร่ที่เกิดขึ้นมาจากความร่วมมือแบบทวิภาคีระหว่างกองทัพสหรัฐว้าและประเทศจีนโดยไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการของเมียนมา (จิราภรณ์ ศรีแจ่ม, 2568) โดย Patrick Meehan อาจารย์ที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่ในเมียนมาชี้ว่า การทำหมืองในพื้นที่ดำเนินการโดยไม่มีการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีการตรวจสอบ ไม่มีกฎเกณฑ์และไม่มีการปกป้องผลกระทบในพื้นที่ (Zsombor Peter, 2025) รูปแบบการทำเหมืองในรัฐฉานคือการชะล้างในแหล่งแร่ (in-situ leaching) อันเป็นวิธีการสกัดแร่ด้วยการฉีดสารละลายเคมีเข้าไปในแหล่งแร่ใต้ดิน เพื่อละลายแร่ออกมา จากนั้นจึงสูบสารละลายที่ผสมแร่นั้นขึ้นมาเพื่อนำไปสกัดแร่ต่อ วิธีนี้ส่งผลร้ายแรงอย่างมากต่อสิ่งแวดล้อม สร้างความปนเปื้อนต่อแหล่งน้ำผิวดินและใต้ดิน คุกคามต่อสุขภาพและการประกอบอาชีพของชุมชนที่อยู่ท้ายเหมือง (จิราภรณ์ ศรีแจ่ม, 2568)
ต้นตอปัญหาที่ใหญ่กว่าแค่ตัวบุคคล
Hirsch (2020) ชี้ให้เห็นว่า ในยามที่เกิดผลกระทบจากการจัดการทรัพยากรข้ามพรมแดน เรามักจะมองเห็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง จนหลงลืมไปว่ายังมีธารของภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ใต้น้ำ กล่าวคือเรามักจะโทษปัญหาไปที่ตัวบุคคล เช่น การโทษผู้ใช้น้ำอย่างชาวประมงหรือผู้ก่อมลพิษจากหมอกควัน ผลที่ตามมาคือการมองข้ามพลังขับเคลื่อนสำคัญ (underlying drivers) ที่ก่อปัญหา เช่น การไหลเวียนของเงินข้ามพรมแดน (transboundary flows of finance) และการลงทุน (investment) เหตุการณ์แม่น้ำเปื้อนสารพิษในไทยชี้ให้เห็นว่าต้นตอสำคัญของสารเคมีไม่เพียงแค่เหมือง บริษัททำเหมือง และกองทัพสหรัฐว้าเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่เป็นอยู่ ซึ่งสร้างความท้าทายอย่างมากต่อการรับมือมลพิษข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทย์การจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ (Stop it at the source)
บทสรุป
แม่น้ำข้ามพรมแดนคือทรัพยากรร่วมที่สร้างผลประโยชน์และผลกระทบต่อผู้คนเป็นวงกว้าง ถึงเวลาที่ต้องขบคิดและตั้งคำถามต่อรูปแบบการจัดการแม่น้ำที่ตั้งอยู่บนฐานคิดแบบรัฐชาติ (nation-states) เพื่อจินตนาการใหม่ถึงการจัดการน้ำข้ามพรมแดนที่สร้างความยั่งยืนและรับมือกับภัยพิบัตินานาประการที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า การตระหนักถึงการจัดการแม่น้ำข้ามพรมแดน (transboundary governance) จึงมีความสำคัญอย่างมากในยุคปัจจุบัน ลักษณะสำคัญคือ การตัดสินใจร่วมกันระหว่างตัวแสดง (actors) ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำ ไม่ว่าจะเป็น รัฐ ภาคเอกชน สังคม รวมถึงมีบรรทัดฐานและหลักปฏิบัติร่วมกันข้ามพรมแดน (across territories) ข้ามเวลา (across timeframes) เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์และรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการจัดการน้ำ (Miller, 2020)
ด้วยเหตุดังนี้ จากการที่หลายชีวิตต่างก็พึ่งพาแม่น้ำและได้รับผลกระทบจากแม่น้ำในเวลาเดียวกัน เราจึงจำเป็นต้องทำให้แม่น้ำกลายเป็นของส่วนรวม (communing) การบริหารจัดการแม่น้ำต้องแบ่งปันข้อมูลร่วมกัน กระบวนการตัดสินใจและการกระทำที่โปร่งใส เป้าหมายก็เพื่อการจัดสรรน้ำที่เป็นเป็นธรรมและเท่าเทียม
เอกสารอ้างอิง
จิราภรณ์ ศรีแจ่ม. (2568). ผลวิจัยชี้ ปลาป่วยเพราะสารพิษปนเปื้อน ตอนนี้ 'แม่น้ำกก' อันตรายต่อมนุษย์-สัตว์น้ำแค่ไหน?. สืบค้นจาก https://www.bbc.com/thai/articles/c39z41j77rdo
ประชาไท. (2568). แนะเจรจาทวิภาคี-พหุภาคี แก้ปัญหาสารพิษปนเปื้อนแม่น้ำกก-สาย. สืบค้นจาก https://prachatai.com/journal/2025/06/113487 (13 สิงหาคม 2568)
the 1O1. (2568). ยิ่งแก้ช้า ยิ่งจ่ายหนัก : ทำอย่างไรในวันที่แม่น้ำกก-สาย-โขง เต็มไปด้วยสารพิษ – สืบสกุลกิจนุกร. สืบค้นจาก https://www.the101.world/suebsakun-one-on-one-brief/ (13 สิงหาคม 2568)
ปิยนันท์ จิตต์แจ้ง. (2568). ปลาแข้ ตะกอนพิษ และความจริงที่ท้องน้ำ. สืบค้นจาก https://transbordernews.in.th/home/?p=43531 (13 สิงหาคม 2568)
สำนักข่าวชายขอบ. (2568). จี้รัฐบอกข้อมูลสารพิษแม่น้ำกกให้ชาวบ้านตรงไปตรงมา ห่วงสถานการณ์ดำดิ่ง สื่อมวลชนกลุ่มใหญ่ลงพื้นที่เจาะลึกข้อเท็จจริง นักวิชาการแนะคุยกับว้าให้ชัดเจน. สืบค้นจาก https://transbordernews.in.th/home/?p=42861 (13 สิงหาคม 2568)
สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1. (ม.ป.ป.). ลุ่มน้ำกกและโขง(เหนือ). สืบค้นจาก https://water.dwr.go.th/wro1/index.php/th/2018-05-04-04-13-04/2018-05-04-04-13-40 (13 สิงหาคม 2568)
Ahmed, M., & Hirsch, P. (2000). Conflict, competition and cooperation in the Mekong commons: feeding people and protecting natural resources. Common property in the Mekong: issues of sustainability and subsistence, 3-7.
Dore, J., Lebel, L., & Molle, F. (2012). A framework for analysing transboundary water governance complexes, illustrated in the Mekong Region. Journal of Hydrology, 466, 23-36.
Grundy‐Warr, C., & Lin, S. (2020). The unseen transboundary commons that matter for Cambodia's inland fisheries: Changing sediment flows in the Mekong hydrological flood pulse. Asia Pacific Viewpoint, 61(2), 249-265.
Hirsch, P. (2020). Scaling the environmental commons: Broadening our frame of reference for transboundary governance in Southeast Asia. Asia Pacific Viewpoint, 61(2), 190-202.
Miller, M. A. (2020). B/ordering the environmental commons. Progress in Human Geography, 44(3), 473-491.
Peter, Z. (2025). Satellite images show surge in rare earth mining in rebel-held Myanmar. Retrieved from https://www.aljazeera.com/news/2025/8/7/satellite-images-show-surge-in-rare-earth-mining-in-rebel-held-myanmar?fbclid= (8 August 2025).
ผู้เขียน
อาทิตย์ ภูบุญคง
ป้ายกำกับ สายน้ำเปื้อนพิษ ข้อท้าทาย การจัดการแม่น้ำ พรมแดน อาทิตย์ ภูบุญคง