Hope cluster โควิดนี้ยังมีหวัง ลำดับที่ 30 และ 31
เรียบเรียงโดย ชัยวัฒน์ อหันทริก
ชื่อชัยรัตน์ อายุ 49 ปี อาชีพค้าขายลอตเตอรี่ และขับวินมอเตอร์ไซค์
ก่อนช่วงโควิด ผมทำงานเป็นคนขับรถตู้ให้บริษัททัวร์แห่งหนึ่งย่านลาดกระบัง ทำงานนี้มา 20 กว่าปี รายได้ในตอนนั้นเฉลี่ย 22,000–25,000 บาท ต่อเดือน ชีวิตไม่ค่อยลำบากอะไร แฟนผมเป็นผู้จัดการทำงาน 7-11 มีลูก 3 คน พักอยู่แถว ๆ เทศบาลธัญบุรี พอเหตุการณ์โรคระบาดเริ่มเกิดตั้งแต่ปลายพฤศจิกายน 2562 ทัวร์จีนก็เริ่มลดน้อยลง ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มาทราบทีหลังว่าที่เมืองจีนมีโรคระบาด ห้ามเดินทางออก ทำให้เดือนมกราคม 2563 บริษัททัวร์ไม่สามารถฝืนทนจ้างพนักงานได้ จึงปิดบริษัททัวร์ชั่วคราวพร้อมทั้งยังค้างเงินเดือนของเดือนธันวาคม 62 อีกด้วย ในตอนนั้นผมเครียดมาก คนที่เคยทำงานมา 20 ปี วันนี้ตกงาน ไม่รู้จะกลับไปเป็นปรกติได้เมื่อไร แต่ตอนนั้นผมก็มีหวังเพราะยังไม่รู้อะไรมาก จนเข้าเดือนมีนาคมทำให้ทราบถึงปัญหาโรคระบาดที่เรียกว่าโควิด-2019 ใจผมตอนนั้นโอกาสที่กลับไปทำงานหายริบหรี่ พอดีมีเพื่อนแฟนแนะนำชวนให้ไปขับวินตรงปากซอย ม.ธัญบุรี ช่วงที่รัฐบาลล็อคดาวน์เดือนเมษายน 64 ก็พอได้ค่ากับข้าวบ้าง
ผมออกทำงานตั้งแต่ตี 4 แต่พอสาย ๆ ก็ไม่มีคนแล้ว เพราะนักเรียนหยุด คนทำงานก็หายไป มีแค่บางกลุ่ม เพราะช่วงนั้นรัฐบาลสั่งให้ล็อคดาวน์รอบแรกพอดี แต่หลังจากนั้นสถานการณ์ก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ วัน ๆ โดยเฉลี่ยผมจะได้ 400-500 บาท ถ้าขยันหน่อย ในตอนนั้นที่ผมหยุดงานไป 3 เดือน ผมก็ใช้เงินเก็บที่มี และแฟนก็ยังทำงานอยู่
หลังจากโควิดรอบแรกๆ เริ่มทรง ตัว ลูกผมทั้ง 3 คน ก็ต้องเข้าโรงเรียน ค่าเทอมต่าง ๆ ค่ากินอะไรก็ประดังเข้ามา เงินที่หามาได้เริ่มไม่พอ ผมก็ลองไปศึกษาหาอาชีพเสริม ช่วงที่วิ่งวินไม่ค่อยมีคนในบางเวลา อาจจะปั่นจักรยาน ประหยัดค่าน้ำมันไปขายลอตเตอรี่ ก่อนวันหวยออกล่วงหน้าสัก 10 วัน โดยขับรถมาที่กองสลาก
ตอนแรกจะลงจองระบบโควต้าออนไลน์ผ่านธนาคารกรุงไทย แต่ก็เต็ม มีผู้สมัครหลายหมื่นคนในช่วงนั้นทั่วประเทศ ผมเลยต้องซื้อผ่านพ่อค้าคนกลางที่รับมาส่งต่อเป็นชุด ๆ อีกที ผมซื้อมาตกใบละ 87 บาท ถูกสุด ๆ 82 บาท แพงสุด 90 บาท ผมขายใบละ 100 บาท ที่ไปที่มาผมถึงขายใบละ 100 บาท ที่เขาขายได้ใบละ 80 พวกนั้นคือได้โควตามาโดยตรง แต่บางครั้งพ่อค้า แม่ค้าก็ขาย 100 บาท เขาไม่สนใจ ได้กำไรเยอะ ๆ ช่วงเวลานั้นขายดิบ ขายดี ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี คนก็ชอบลุ้น ถึงจะไม่มีกินก็ขอให้ได้ซื้อ ส่วนใหญ่ไปตามวัด คู่แข่งก็มีบ้างนะ ยิ่งเลขดัง ๆ หาไม่ได้ถ้าผมมีก็จัดชุดเหมา ๆ ไปหลาย ๆ ใบ ถึงแม้จะมีโควิดรอบที่สองก็ตาม โรคไม่ได้ระบาดในย่านนี้ แต่ไประบาดแถวแรงงานพม่าที่ตลาดปลา/แพปลา
ผมลองสลับหมุนเวียนไปมาระหว่างวิน ถ้าใกล้ ๆ งวดหวยออก ผมจะทุ่มเทขายหวยให้หมดทันที ก่อนรางวัลจะออก 1 วัน จะไม่วิ่งวินเลยเพราะถ้าขายไม่หมดนั่นคือ ต้นทุนที่ผมต้องแบกภาระ และงวดนั้นผมจะขาดทุนเอาไปคืนก็ไม่ได้ โดยเฉลี่ยแล้วเดือน ๆ ถ้าผมขายหวยหมด 10 วันจะได้ 3,000 บาท/เดือน ขับวินขยันออกแต่เช้า ๆ รับส่งนักเรียน นักศึกษา คนทำงาน ได้วันละ 400-500 บาทต่อวัน ก็มีหยุดบ้างนะเพราะเหนื่อย ตกแล้ว 16,000-17,000 บาท แต่ก็ยังไม่พอ
ในช่วงนั้น แต่พอโควิด รอบที่ 3 โควิดเข้ามาทุก ๆ อย่าง เปลี่ยนไปหมด แรงขึ้นกว่าเดิมเยอะ ร้านอาหารแถวบ้านปิด คนตกงานเยอะกว่ารอบแรก ส่วนผมวิ่งวินได้ 100-200 บาทต่อวัน เพราะคนไม่กล้าออกจากบ้าน มหาวิทยาลัยก็เลื่อนเปิด บริษัทก็ปิดตัวลงทันที เพราะแบกรับต้นทุนไม่ไหว
ผมเองก็กลัวโควิดขึ้นมาก เมื่อเทียบกับก่อนหน้าจะกี่รอบไม่เคยกลัวโควิด เพราะดูข่าว ยอดขึ้นหลักหลายพัน ตายที 20-30 คน เพื่อนที่วิ่งวินบางคนกลัวจนไม่มาวิ่ง ยิ่งในซอยแถว ๆ บ้านผมติดโควิด ความเสี่ยงมาเยือน บางวันผมก็ออก บางวันก็ไม่ออก หวยที่รับมาก็ขายไม่หมด ขาดทุนหลายพันบาทเลย ผู้คนไม่ออกจากบ้าน บางคนไม่ซื้อหวยจากผมก็มี ลูกค้ากลัวติด เพราะผมไปไหน มาไหนบ้าง ก็ไม่มีใครรู้ งวดที่ผ่านมาต้องเอามาฉีกทิ้งเพราะคืนเขาไม่ได้ เก็บเอาไว้ก็ทุกข์ใจเปล่า ๆ
งวดนี้ ถ้าขายไม่หมด คงต้องลุ้นหวยถูกกันบ้าง เพราะเหลือเยอะกว่าเดิม แต่ถ้าเอาความจริง ๆ ตั้งแต่เล่นมา ยังไม่เคยถูกเลย ถึงแม้จะเป็นพ่อค้าขายหวย ผมคงต้องเลิกอาชีพนี้แล้ว เพราะเข้าเนื้อ ทำอะไรไม่ได้ในสถานการณ์แบบนี้ ค่าใช้จ่ายอย่างอื่น ๆ คงต้องลด ผมคิดว่าเปิดเทอมมิถุนายนนี้ คงต้องย้ายโรงเรียนลูก ๆ จากเอกชน ย้ายไปเรียนโรงเรียนวัดใกล้บ้าน ลดค่าใช้จ่ายได้เป็นหมื่นกว่าบาท ส่วนบ้านก็ขอธนาคารผ่อนน้อย ๆ แต่ขยายจำนวนปีเอา ถึงแม้จะดอกเยอะก็ตาม แต่อย่างน้อย ๆ ให้พยุงตัวกันไปก่อน หากสถานการณ์ดีขึ้นผมอาจจะเปลี่ยนอาชีพอื่น ๆ หรือหาอาชีพเสริมเพิ่มขึ้นมาอีก
ส่วนเรื่องสวัสดิการรัฐก็ได้ บัตรคนจน คนละครึ่ง ม.33 ไม่ได้ เพราะได้บัตรคนจนแล้ว แต่เมื่อปีที่แล้วได้ 5 พันบาท และเงินประกันสังคมเลิกจ้าง 6 เดือน
ส่วนแฟนก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร กินเป็นรายเดือน แต่ก็มีบ้างช่วงนี้คนตกงานเยอะ สินค้าใน 7-11 หายบ่อย ๆ ก็เศรษฐกิจมันไม่ดี จับได้บ้าง ไม่ได้บ้าง พวกพนักงานก็ต้องชดใช้ พยายามช่วยกันมองเพราะก็ต้องมาหารเฉลี่ยสินค้าที่หายไป รายได้แฟนก็ลดลงไปอีก
เรื่องอนาคต คงกลับไปขับรถทำทัวร์ คงไม่ไหวแล้ว อายุเยอะแล้ว เขาคงไม่รับ ลูกผมก็อยู่ชั้นประถม และมัธยมกว่าจะโตก็อีกนาน คงจะพยายามประคับประคองให้ได้ก่อน เรื่องอนาคตค่อยว่ากัน
ส่วนเรื่องฉีดยา วัคซีน ถ้ารัฐบาลจัดสรรมาก็ฉีด เพราะเผื่ออะไรต่าง ๆ จะดีขึ้นมา เผื่อผมโชคดีกับเขา ปรกติผมก็ขายหวยเผื่อคนที่ซื้อเสี่ยงโชคมาวัดอยู่แล้ว ผมก็ยกมือไหว้ขอพรประจำแต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีโชค มีโอกาสไปนับหนึ่งใหม่ได้เมื่อไร หากเปรียบเทียบช่วงก่อนโรคโควิดจะระบาดให้ค่าของความสุข 90% และในระหว่างที่ยังระบาดรอบที่สามความสุขลดลงเหลือ 30%
สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2564
ชื่อกฤตยา เนตรน้อย ชื่อเล่นนุ้ย อายุ 45 ปี อาชีพขายข้าวเกรียบ บ้านอยู่คลอง 7
เมื่อก่อนทำอาชีพขายตรง (กิฟฟารีน, มิสทีน, แอมเวย์) สินค้าก็จะมีตั้งแต่ เครื่องสำอาง, อาหารเสริม, เครื่องครัว, สินค้าทั่วไป พี่หาลูกค้าโดยเริ่มจากการสร้างเครือข่ายโดยเริ่มตั้งแต่คนที่พี่รู้จัก พี่มีสมาชิกลูกค้าขาประจำ ให้ส่วนลดของแถมเพื่อดึงดูดใจคนใกล้ตัวรู้จักให้มากที่สุด เช่น เพื่อน เพื่อนของเพื่อน ญาติ คนที่รู้จักทั่วไป ผู้ปกครอง จากคำแนะนำต่อ ๆ กัน มีแบ่งเปอร์เซ็นต์ บางครั้งก็หาลูกค้าในเน็ต โฆษณาลงในเฟซบุ๊กบ้าง ทำมานานแล้ว 5 ปี รายได้ต่าง ๆ พวกค่าคอมมิชชั่นเดือน ๆ จะรับอยู่ประมาณเกือบ 30,000 บาท งานแบบนี้ต้องพูด ต้องไปเจอแลกเปลี่ยน สร้างความสัมพันธ์ เหมือนงานสมาคม พาไปอบรมดูงานทำนองนี้ ส่วนแฟนก็หาเช้ากินค่ำ ขับ Taxi รายได้หักแล้ว 500-600 บาทต่อวัน พี่มีลูก 1 คนกำลังขึ้น ม.3 บ้านพี่ซื้อเอง กำลังผ่อนส่งอยู่ ไม่ได้เช่า
ก่อนโควิดจะระบาดครอบครัวพี่อยู่สุขสบาย ไม่ลำบาก วันหยุดก็พากันไปเที่ยว พอช่วงโควิดระบาดรอบแรกๆ ต้นปี 2563 พี่ก็ยังทำงานไปพบลูกค้าตามปรกติ ต้องคอยระวัง ใส่หน้ากาก พกเจลเจลแอลกอฮอล์ ดูข่าวเป็นประจำ แต่เอาเข้าจริง ๆ พี่ก็ไม่กลัวหรอก ยังห่างไกลกัน เพราะพี่ไม่ได้อยู่ในเมืองที่มีผู้คนเยอะแยะ และไม่ได้ใกล้ชิดชาวต่างชาติ
แต่พอรัฐบาลสั่งล็อคดาวน์ปี 2563 และมีการประกาศห้ามออกจากบ้าน ในตอนนั้นภาพรวมรายได้พี่ลดลง เหลือหมื่นต้นๆ แฟนพี่ขับรถ Taxi เหลือ 200-300 บาท ต่อวัน พี่ยังมีเงินเก็บอยู่ ไม่พอก็ดึงออกมาใช้ และต้องประหยัดมากขึ้น และคิดว่าเป็นแค่ช่วงเวลานิดเดียว
แต่ช่วงนั้นรัฐบาลมีเงินกองทุนเพื่อช่วยเหลือด้านโควิด พี่ได้เงินสดมา 5,000 บาท แฟนพี่ด้วย พี่มีบัตรคนจนด้วย และหลังจากนั้นก็ได้จากโครงการคนละครึ่งทั้งพี่และแฟน
พอหลังจากเดือนมิถุนายน 2563 สถานการณ์ก็เริ่มจะคลี่คลายลง งานขายตรงก็เริ่มกลับมาขายได้ตามปรกติยอดสั่งต่าง ๆ เริ่มดีขึ้น แต่รายรับตอนนั้นประมาณ พี่ได้ 20,000 บาทต่อเดือนเริ่มขยับขึ้น ตามคำสั่งซื้อของลูกค้า แต่ก็ถือว่ารายได้พี่ยังลดเพราะลูกค้าของพี่ก็ตกงานไม่มีรายได้ พี่ก็ช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ พี่เข้าใจคนทำมาหากินเหมือนกัน และหวังว่าถ้าจะกลับมาเป็นปรกติ กลับมาเป็นลูกค้ากันใหม่
แต่ช่วงโควิดระบาดรอบที่สาม (มีนาคม 2564) มาจากทองหล่อ และกระจายไปทั่วประเทศ จนเตียงในรพ.เริ่มเต็ม จำเป็นต้องมีเตียงสนามเข้ามาทดแทนเป็นจำนวนมาก จากยอดขาย รายได้พี่ต่อเดือนตั้งแต่มีนาคม 2564 เหลือ 7000-8000 บาท จนมาถึงปัจจุบันนี้ ยอดขายไม่ถึง 5,000บาท เพราะไม่สามารถไปมาหาสู่บ้านลูกค้าได้ ไม่สามารถพบกับใครได้ คุยทางโทรศัพท์ก็ไม่สะดวก สินค้าบางตัวจะต้องเอาไปทดลองให้เห็นวิธีการใช้งานอย่างจริง ๆ
พี่เริ่มมองหาอาชีพเสริมใหม่ ๆ พี่คิดว่าในโอกาสก็มีความหวัง เพื่อนที่รู้จักตกงานกันหลายคนเช่นกัน จึงชวนกันไปขายของตรงหน้าอำเภอธัญบุรี ส่วนพี่ขายข้าวเกรียบปลา ข้าวแต๋น ทองม้วน และอื่น ๆ ที่เห็นตามภาพ
ช่วงต้นเดือนเมษายน 2564 แรกๆ พี่ขายก็ไม่รู้จะพูดอะไร อายบ้าง อะไรบ้าง แต่พอผ่านไปซัก 2-3 วันก็รู้สึกว่ามันก็เหมือนงานขายที่พี่เคยพบเจอมา แต่ครั้งนี้มีร้าน มีของกิน เป็นอาชีพที่รายได้น่าพอใจ กำไรถุงละ 10 บาท วัน ๆ หนึ่งขายได้ 30-50 ถุง 300-500 บาท ขายแค่ช่วงเช้าๆ ไปจนถึงเที่ยงก็เก็บร้าน ของขายไม่หมดก็เอาไว้ขายวันถัดไป ในวัน ส-อ จะขายดีเพราะมีคนออกมาจับจ่ายเพราะมีตลาดนัดช่วงเช้า แต่เห็นพ่อค้า แม่ค้าบอกว่าเมื่อก่อนคนเยอะกว่านี้อีกนะ แต่พี่ก็พออยู่ พอใช้ ขอให้ผ่านไปก่อน
ส่วนแฟนพี่ขับรถ Taxi 2-3 วัน ทีก็ประมาณ 300 บาท พี่คิดว่ายังดีกว่าไม่ทำอะไร ถ้าเดือนไหนไม่พอใช้ ก็เอาเงินที่สะสมออกมาใช้จำนวนหนึ่งดีกว่าเอามาใช้ทั้งหมด เพราะถ้าวิกฤตินี้ยังอยู่ต่อ หนี้สินต่าง ๆ อย่างน้อย ๆ ก็มีเงินสำรองพอใช้บางส่วน และทำงานไปด้วย
ถ้าหากมีวัคซีน ครอบครัวพี่พร้อมจะฉีดนะ รอลงทะเบียนกับเทศบาลอยู่ เพราะที่บ้านพี่ก็ยังมีแม่ที่มีอายุมากแล้ว เวลาไปไหนมาไหนระวังตลอด ไม่อยากให้แม่เป็นอะไร หรือติดโรคจากพี่ ตอนนี้มีแค่แฟนพี่ และพี่ที่ออกมาข้างนอกบ้าน
ส่วนอนาคตไม่รู้จะหวังอะไร แต่ถ้าเป็นไปได้อยากให้กลับสู่สถานการณ์ปรกติ ทุกคนไปมาหาสู่ได้ ทำมาหากินได้ ลูกไปโรงเรียน พาแม่ไปหาหมอตามนัด
แค่นี้พี่ก็พอใจ ช่วงนี้ไม่ได้ไปวัดเลย เพราะไม่อยากเสี่ยงเช้ามาออกจากบ้านตั้งร้าน พอเที่ยงแฟนพี่มารับเก็บร้านกลับบ้าน ยกเว้นของหมดก็ไปซื้อของมาเติมมาเข้าร้าน เอาไว้ให้ทุกอย่างเป็นปรกติก่อน แต่พี่ก็ไหว้พระทุก ๆ คืนก่อนนอนก็ขอให้สุขภาพดี อย่าได้ติดโรคอะไรเลย
ส่วนสวัสดิการรัฐได้มาก็น้อยนิด เห็นว่าจะมีการอนุมัติงบเร็ว ๆ เพิ่มในบัตรคนจน หรือในแอปกระเป๋าตุง พี่คิดว่าถ้าได้เงินสดไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟยังดีกว่า แก้ไขปัญหาตรงจุดถึงไม่มากก็เถอะ ถ้าหากเปรียบเทียบช่วงก่อนโรคโควิดจะระบาดให้ค่าของความสุข 80% และในระหว่างที่ยังระบาดรอบที่สามความสุขลดลงเหลือ 60%
สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2564
ป้ายกำกับ โควิด-19 ระลอก 3 covid-19 ระลอก 3 ความหวัง ลอตเตอรี่ ขายตรง แม่ค้า ชัยวัฒน์ อหันทริก