คู่มือการใช้ข้อมูล
1. เนื้อหาสาระงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่จัดเก็บในฐานข้อมูล
หลังจากที่คณะทำงานฯ ได้ศึกษาฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องและมีลักษณะใกล้เคียงกับที่ต้องการอย่างเช่น ฐานข้อมูล The Human Relations Area Files (HRAF)ของ Yale University ซึ่งได้รวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์วรรณามานานกว่า 50 ปีก่อนจะจัดทำฐานข้อมูลออนไลน์แบบในปัจจุบัน เห็นว่าฐานข้อมูลแต่ละฐานต่างก็มีวัตถุประสงค์การวิเคราะห์การเรียกข้อมูลในของตนเอง และมีขอบเขตตามวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้
ฐานข้อมูลนี้มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้สนใจงานวิจัยด้านชาติพันธุ์สามารถใช้ฐานข้อมูลได้เพื่อหาความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาสาระของงานวิจัยทางชาติพันธุ์แต่ละงานในเบื้องต้นเป็นพื้นฐานก่อน หากต้องการอ่านตัวงานใดที่สนใจเป็นพิเศษสามารถค้นคว้าหาอ่านได้เอง ซึ่งเป็นการช่วยให้นักวิจัยสามารถสืบค้นต่อไปได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ทางโครงการฯ จึงจัดให้มีผู้สรุปประเด็น (Text Analyst) ของงานแต่ละงานตามหัวข้อ (Subject Categories) ต่างๆ ดังต่อไปนี้ คือ
Items
|
Subject categories
|
Description
|
1.
|
Text Analyst
|
ระบุชื่อ-สกุล ผู้อ่านสรุปงาน
|
2.
|
Subject
|
คำสำคัญ ที่บ่งบอกสาระสำคัญครอบคลุมประเด็นหลักของงานวิจัหนังสือหรือบทความ นั้นๆ ตามลำดับความสำคัญดังนี้ ชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ ประเด็นหลัก ประเด็นรอง จังหวัด/ภาค
|
3.
|
Author
|
ระบุชื่อผู้แต่ง หรือชื่อบรรณาธิการ ตามที่ปรากฏในหนังสือหรือบทความเอกสารภาษาไทย : ระบุชื่อ-สกุลผู้แต่ง (ราชทินนาม ยศ ตำแหน่ง) ระบุไว้ท้ายชื่อสกุล
เอกสารภาษาอังกฤษ: ระบุชื่อสกุล, ชื่อกลาง, ชื่อตัว
|
4.
|
Titles
|
ชื่อเรื่อง (งานที่เขียนด้วยภาษาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษาไทย ให้ใส่ชื่อเรื่องตามภาษาที่ใช้เขียนงาน และใส่ชื่อเรื่องที่แปลเป็นไทยต่อท้าย ยกเว้นงานที่เขียนด้วยภาษาอังกฤษ ไม่ต้องแปล)
|
5.
|
Document Type
|
ระบุประเภทเอกสาร (หนังสือ, บทความ, รายงานวิจัย, วิทยานิพนธ์)
|
6.
|
Total pages
|
ระบุจำนวนหน้า หรือ ช่วงหน้าของงาน
|
7.
|
Source
|
ที่มาของบทความ/งานวิจัย ระบุชื่อหนังสือ/วารสาร ตามหลักของการเขียนบรรณานุกรม
(ชื่อหนังสือ “ชื่อบทความ”, สำนักพิมพ์, สถานที่พิมพ์, หน้า)
|
8.
|
Year
|
ปีที่ตีพิมพ์
|
9.
|
Location of Document
|
แหล่งที่พบและ/หรือจัดเก็บ เอกสาร/งานวิจัย/บทความ ชิ้นนั้นๆ
(เอกสาร/บทความสำเนาให้ระบุว่ามาจากศูนย์ฯ)
|
10.
|
Focus
|
สรุปจุดเน้นของการศึกษาวิจัย
|
11.
|
Theoretical Issue
|
ข้อเสนอหรือแนวคิดที่ผู้เขียนใช้ในการศึกษา
การเชื่อมโยงปรากฏการณ์ต่างๆ ในการศึกษา
|
12.
|
Ethnic Group(s) in the Study
|
ให้ระบุกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นเป้าหมายในงานศึกษาเป็นหลัก
|
13.
|
Language and
Linguistic Affiliation
|
อธิบายและให้ข้อมูลระบบภาษาและการจัดจำแนกตระกูลภาษา ที่ปรากฏในงาน
|
14.
|
Community Site and Environment
|
สถานที่ทำการศึกษาวิจัย ระบุชื่อชุมชน/ตำบล/ อำเภอ/จังหวัด/ประเทศ/ทวีป
(ให้ระบุพิกัดละติจูดลองติจูด หากมีปรากฏในงานศึกษา)
ให้ข้อมูลลักษณะภูมิประเทศโดยสังเขป
|
15.
|
Study Period
|
ช่วงเวลาของการศึกษาวิจัย
(ระบุด้วยว่าเป็นการเก็บข้อมูลภาคสนาม ในช่วงใด)
|
16.
|
History of the Group and community
|
ประวัติความเป็นมาของชุมชนที่ปรากฏในงานศึกษา
1. หากเป็นงานศึกษาทางประวัติศาสตร์ ให้ข้อมูลเวลาที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ชุมชน
2. หากเป็นงานศึกษาชุมชน ให้ระบุเวลาในการศึกษาชุมชน
3. หากในงานศึกษาปรากฏข้อมูลทั้ง 2 ประเภท ให้ระบุข้อมูลทั้ง 2 ประเภท
|
17.
|
Settlement Pattern
|
ให้ข้อมูลรูปแบบการตั้งถิ่นฐาน ลักษณะการตั้งบ้านเรือนของชนกลุ่มนั้น ตามที่ปรากฏในงานศึกษา
|
18.
|
Demography (population number and structure, migration, birth and death) :
|
ให้ข้อมูลประชากร(ความหนาแน่น/อัตราการเกิด การตาย/จำนวนประชากร) ตามที่ปรากฏในงานศึกษา หากมีข้อมูลหลายระดับให้ใส่รายละเอียดมาด้วย
|
19.
|
Economy (natural resources, resource utilization, technology, production, exchange, and consumption)
|
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับระบบการผลิต การแลกเปลี่ยน การบริโภค ตามที่ปรากฏในงานศึกษา
|
20.
|
Social Organization (marriage, family structure types, kinship including descent groups, other kinds of grouping such as client-patron relationship, classes, interested groups and socialization)
|
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างทางสังคมที่ปรากฏในงานศึกษา
|
21.
|
Political Organization (power structure and relations, leadership, factions, conflicts, relationship to state, social control, laws)
|
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างทางการเมืองการปกครองที่ปรากฏในงานศึกษา
|
22.
|
Belief Systems (beliefs, values, ideology, religious rites and practices)
|
ให้รายละเอียดด้านศาสนา พิธีกรรม ความเชื่อ
|
23.
|
Education and Socialization
|
ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการศึกษา การสืบทอดความรู้ และการเชื่อมโยงกับกระบวนขัดเกลาทางสังคม
|
24.
|
Health and Medicine (sanity, beliefs related to health and healing)
|
อธิบายระบบการสาธารณสุขและการรักษาพยาบาล(ภูมิปัญญาในการรักษา) ที่กล่าวถึงในงานศึกษานั้นๆ
|
25.
|
Folklore (myths, legends, stories and play)
|
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับมุขปาฐะ นิทาน ตำนาน ที่ปรากฏในงานศึกษา
|
26.
|
Arts and Crafts (architecture, clothing, literature, handicrafts, songs, dances, etc.)
|
ให้ข้อมูลด้านสถาปัตยกรรม ศิลปะการแสดง หัตถกรรม เสื้อผ้า การแต่งกาย
ที่ปรากฏในงานนั้นๆ
|
27.
|
Ethnicity (ethnic identity, identification, ethnic maintenance, boundaries and relation)
|
ให้รายละเอียดความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ
หรือการธำรงชาติพันธุ์
ให้ใส่รายละเอียดการเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีนัยยะของความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกัน
|
28.
|
Socio-Cultural Change
|
อธิบายการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม
|
29.
|
Other Issue
|
ประเด็นสำคัญอื่นๆ ที่เน้นในงานศึกษาวิจัย
|
30.
|
Abstract
|
สรุปสาระสำคัญของงานศึกษา
|
31.
|
Map & Illustrate
|
ให้ระบุชื่อภาพ แผนที่ ที่ปรากฏในงาน
|
32.
|
Date of Report
|
ระบุวันที่ส่งงานมาให้ตรวจสอบความถูกต้องความครบถ้วนของเนื้อหา
|
2. กลุ่มชาติพันธุ์และขอบเขตพื้นที่ที่จะสรุปงานวิจัยลงฐานข้อมูล
โครงการฯ ได้กำหนดขอบเขตความหมายของกลุ่มชาติพันธุ์ในลักษณะที่กว้างเพื่อที่จะสามารถครอบคลุมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้ในหลายลักษณะเนื่องจากการกำหนดความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กันอย่างเช่น ในช่วงเวลาของทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ งานวิจัยทางชาติพันธุ์ในยุคสมัยต่างจึงสะท้อนความหมายที่มีอยู่แตกต่างกันและแม้ในปัจจุบันก็ยังมีการใช้ในความหมายที่แตกต่าง
จากการที่โครงการฯ ใช้ในความหมายที่กว้างดังกล่าว จึงทำให้ฐานข้อมูลมีขอบเขตที่กว้างขวางครอบคลุมทุกกลุ่มที่ระบุตัวเองว่ามีความแตกต่างทางวัฒนธรรมจากกลุ่มอื่น หรือถูกระบุว่ามีความแตกต่างทางวัฒนธรรม ในขั้นแรกนี้ทางโครงการฯ จึงพยายามวางกรอบและขอบเขตให้แคบเข้า จึงเลือกเก็บเนื้อหา “กลุ่มชาติพันธุ์” ต่างๆ ที่ถูกมองว่าเป็น “ชนกลุ่มน้อย” ของประเทศไทย จึงอาจจะไม่มีงานวิจัยที่เกี่ยวกับคนไทยภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคใต้ และยังไม่ได้รวมงานวิจัยเกี่ยวกับ “ชาวจีนโพ้นทะเล” ในประเทศไทย ซึ่งได้มีสถาบันวิชาการอย่างเช่น สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีความสนใจและได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับชาวจีนอยู่แล้ว
3.ลักษณะข้อมูล
ในฐานข้อมูลจะมี 2 ประเภทคือ
1. สรุปงานวิจัยด้านชาติพันธุ์ ตาม Subject 32 categories
2. การสืบค้นงานวิจัยผ่านแผนที่
4. ปัญหาชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์และการจำแนกชาติพันธุ์ในงานวิจัยทางชาติพันธุ์
เรื่องชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์และการจำแนกชาติพันธุ์เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน เพราะโดยหลักการทั่วไปของการจำแนกสรรพสิ่งต่างๆ (classification) ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ พืชและสิ่งของ จะมีองค์ประกอบสำคัญๆ ดังนี้คือ
1. ชื่อเรียกของสิ่งที่ถูกจำแนก
2. ชื่อประเภทหรือหมวดหมู่ของการจำแนก
3. เกณฑ์หรือคุณลักษณะที่ใช้ในการจำแนก
4. ความรู้สึกและท่าทีที่แฝงอยู่กับสิ่งหรือประเภทที่ถูกจำแนก (ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ 2551)
แต่การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษจากการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ เรื่องนี้จึงเป็นปัญหาในการจัดระบบฐานข้อมูล ซึ่งในบทความนี้จะแยกนำเสนอปัญหา เนื่องจากสำหรับฐานข้อมูลแล้ว การเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์อาจจะมีความสำคัญมากกว่าการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในการศึกษาวิจัย เพราะชื่อเรียกชาติพันธุ์จะส่งผลโดยตรงกับการเรียกใช้ข้อมูล
5. ปัญหาการเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ในงานวิจัยฯ
การที่ชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ในงานวิจัยฯ มีความหลากหลาย ไม่ลงตัวชัดเจนว่า “ใครเป็นใคร” ได้ส่งผลสำคัญต่อการจัดระบบการเรียกใช้ข้อมูล ซึ่งฐานข้อมูลนี้ให้ความสำคัญกับการเรียกใช้ข้อมูลตามกลุ่มชาติพันธุ์เป็นอันดับแรก หากชื่อเรียกชาติพันธุ์สับสน ไม่ชัดเจน อาจส่งผลต่อการจัดระบบงานวิจัยฯ และการเรียกใช้ข้อมูลตามกลุ่มชาติพันธุ์ เพราะปัญหาการเรียกชื่อชาติพันธุ์ เกิดขึ้นกับทุกกลุ่มชาติพันธุ์ในงานวิจัยฯ ซึ่งในที่นี้จะยกตัวอย่างมาเป็นบางกรณี เช่น
กรณีชื่อเรียก “ลัวะ”
โครงการฯ พบว่าในงานวิจัย “ลัวะ” ถูกใช้เรียกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่เรียกตัวเองต่างๆ กันดังนี้
ลัวะ (มัล และไปร/ปรัย)
|
ที่อยู่ในหมู่บ้านต่างๆ ของ จ.น่าน
|
ละเวือะ
|
ที่อยู่ในหลายหมู่บ้าน อ.แม่สะเรียง เช่น บ่อหลวง บ้านจอมแจ้ง
|
ละว้า
|
ที่อยู่บ้านละอูบ
|
ลเวื้อ
|
บ้านบ่อหลวง
|
ละเวีย
|
บ้านเฮาะ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่
|
ปลัง
|
บ้านห้วยน้ำขุ่น เชิงดอยตุง จ.เชียงราย
|
และชื่อเรียกเหล่านี้เพิ่มความซับซ้อนและสับสนขึ้นเมื่อพิจารณาชื่อที่เรียกโดยกลุ่มชาติพันธุ์อื่นหรือที่ทางราชการเรียก
ผู้เรียก
|
ชื่อที่ถูกคนอื่นเรียก
|
ชื่อเรียกตัวเอง
|
ทางราชการ
|
ถิ่น
|
ลัวะ
|
ไทลื้อในจีน
|
ข่าวะ
|
ลเวือะ
|
ไทยล้านนา
|
ลัวะ
|
ลเวือะ
|
ไทยภาคกลาง
|
ละว้า
|
ลเวือะ
|
พม่า
|
ปะหล่อง
|
ละว้า
|
ไต/ไทยใหญ่
|
ไตหลอย
|
ละว้า (นับถือพุทธศาสนา)
|
ทางราชการ
|
ลัวะ
|
ปลัง
|
ทางราชการ
|
ลัวะ
|
อุก๋อง
|
คนกาญจนบุรี
|
ละว้า
|
อุก๋อง
|
สาเหตุสำคัญของตัวอย่างปัญหาดังกล่าวคือ
อิทธิพลของแนวคิดและการนิยามความหมาย “กลุ่มชาติพันธุ์” ที่มีต่อการเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ ทำให้งานวิจัยจำนวนมากขาดความสนใจในชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง แต่งานวิจัยเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ตามที่คนนอกกลุ่มเรียกหรือ เรียกตามที่หน่วยงานราชการ ซึ่งมีหลายชื่อ เช่น กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า “ปกาเกอะญอ” ถูกเรียกว่า “ญางเผือก” โดยไทยใหญ่ “ยางกะเลอ” โดยคนล้านนา (คนไทยทางเหนือ) “ปากี” โดยคะยาห์ “กะหร่าง” โดยคนไทยภาคกลางแถบราชบุรี เพชรบุรี และกาญจนบุรี “Sgaw Karen” โดยนักวิชาการตะวันตก และถูกเรียกว่ากะหยิ่น โดยพม่า เป็นต้น
นอกจากสาเหตุที่เกิดจากอิทธิพลของแนวคิดแล้ว การที่มีหลายชื่อหรือมีความสับสนในเรื่องชื่อยังอาจเกี่ยวข้องกับการที่สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์บางคนหรือกลุ่มย่อยบางกลุ่ม (ในกลุ่มชาติพันธุ์) สามารถแสดงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ได้มากกว่าหนึ่งขึ้นไปในบริบทและสถานการณ์ที่ต่างกัน (Chavivun Prachuabmoh 1980)
นอกจากนี้ กลุ่มชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มล้วนมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน และมีประสบการณ์ในการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ตลอดเส้นทางอพยพ ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์มีชื่อเรียกหลายชื่อ ในหลายกรณีได้รับเอาชื่อเรียกจากกลุ่มอื่นมาเป็นของตนเองด้วย อย่างเช่น “ผู้ไท” กลายเป็น “ลาวโซ่ง” ซึ่งมีผลเกี่ยวพันกับจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ด้วย เพราะมีพลวัตทางชาติพันธุ์ ทำให้ไม่อาจเหมารวมได้ว่าในปัจจุบัน “ลาวโซ่ง” จะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกับ “ผู้ไท” หรือที่ถูกเรียกว่า “ไทดำ” ในเวียดนามเหนือ (ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ 2549) อีกตัวอย่างหนึ่ง เช่น จากข้อมูลการสำรวจชุมชนชาวอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ถูกเรียกว่า “ลัวะ” จะเรียกตนเองว่า “ไตยวน” แต่ยังมีความสำนึกในเรื่องความแตกต่างเพราะว่าเป็น “ลัวะ” มาแต่เดิมและมีหลายคนที่ไม่ชอบถูกเรียกว่า “ลัวะ” นับว่ามีความซับซ้อนในเรื่องชื่อเรียกชาติพันธุ์แม้ว่าอยู่ในชุมชนเดียวกัน
6. ปัญหาการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์
ความหมายของการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ในสาขาวิชามานุษยวิทยา(ซึ่งเป็นสาขาวิชาที่ได้มีความพยายามและประสบการณ์การจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์มากที่สุด) มีความหมายที่แตกต่างกันใน 3 ลักษณะด้วยกันคือ
1. จำแนกประเภทกลุ่มชน โดยมีมโนทัศน์ต่างๆ เช่น กลุ่มชนเร่ร่อน ชนเผ่า/เผ่าพันธุ์ สังคมชาวนาชาวไร่ (peasant society) และกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งขอบเขตความหมายสัมพันธ์กับแนวคิดต่างๆ ในการอธิบายมนุษย์และวัฒนธรรม
2. จำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ม้ง เมี่ยน ลัวะ ลเวือะ ซึ่งสัมพันธ์กับเกณฑ์ในการจำแนกในทางวิชาการและวัตถุประสงค์ของการจำแนก
3. การจัดหมวดหมู่กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความเกี่ยวข้องกัน หรือ มีความสัมพันธ์ในทางภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และการเมือง
ปัญหาสำคัญ คือ นักวิจัยมักเรียกกลุ่มที่ตนศึกษาด้วยชื่อที่คนอื่นเรียก และยังไม่สนใจการจำแนกชาติพันธุ์ของกลุ่มที่ศึกษา ทำให้ยังขาดข้อมูลสำคัญที่จะนำมาประกอบการพิจารณา ดังนั้นการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ และการจัดหมวดหมู่กลุ่มจึงยังคงมีปัญหาในทางวิชาการ และมีกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มไม่พึงพอใจและไม่เห็นด้วยกับชื่อที่ถูกเรียกและกับการจัดหมวดหมู่กลุ่มชาติพันธุ์ของนักวิชาการ
ตัวอย่างเช่นนักวิชาการจัดให้ “ตองซู” เป็นกลุ่มย่อยของกะเหรี่ยง แต่ในงานวิจัยที่เกี่ยวกับ “ตองซู” บางงานได้ระบุว่า “ไม่ได้เป็นกะเหรี่ยง” หรือจากการเสวนาทางวิชาการว่าด้วยชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ “กะเหรี่ยง” (2551) ผู้ร่วมเสวนาซึ่งระบุว่าตนเองว่าเป็น “โพล่ง” และ “ปกาเกอะญอ” และบางคนเห็นว่าเป็นได้ทั้งสองกลุ่ม ได้ถกเถียงกันว่าจะสามารถเรียกรวมเป็น “กะเหรี่ยง” ได้หรือไม่และยังไม่แน่ใจว่ากลุ่มอื่นๆ ที่นักวิชาการคิดว่าเป็น “กะเหรี่ยง” จะถูกต้องหรือไม่ เพราะบางกลุ่มก็ไม่รู้จักกันดีพอ และบางกลุ่มก็ไม่สามารถสื่อสารระหว่างกันได้
อย่างไรก็ตาม ในทางมานุษยวิทยาก็ยังไม่มีการศึกษาการจำแนกชาติพันธุ์ของกลุ่มชาติพันธุ์เอง การจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เป็นการจำแนกโดยอาศัยเกณฑ์ทางภาษาศาสตร์ ซึ่งยังมีความไม่ลงตัวอยู่เช่นกัน (David D. Thomas 1964, David Bradley 1994)
7. ปัญหาในการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ในฐานข้อมูล
ในระหว่างการรวบรวมงานวิจัยเพื่อจัดทำฐานข้อมูลงานวิจัยทางชาติพันธุ์ คณะทำงานฯ ได้เผชิญปัญหาเกี่ยวกับความหมายของชื่อเรียก และการจำแนกชาติพันธุ์ซึ่งมีหลากหลายในงานวิจัยฯ และในหลายกรณีทำให้เกิดความสับสน ไม่ชัดเจนและส่งผลต่อการจัดระบบฐานข้อมูลฯ คณะทำงานฯ ได้พยายามศึกษาเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งก็ได้ทำความเข้าใจไปแล้วบางส่วนโดยโครงการได้นำเสนอผลการศึกษาเรื่องชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเองที่พบในงานวิจัยเผยแพร่ในรูปของตารางเทียบเคียงชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ คณะทำงานจึงได้จัดทำตารางเทียบเคียงชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยโดยอาศัยข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน ในอนาคตหากมีข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้ อย่างไรก็ตาม ข้อค้นพบดังกล่าวเป็นข้อค้นพบจากงานวิจัยที่รวบรวมในปัจจุบัน ในอนาคตหากพบข้อมูลอันที่เป็นประโยชน์ โครงการจะนำมาปรับปรุงต่อไป
|