แม่ญิงปฏิวัติ ขบวนการชาวนาชาวไร่ ภาคเหนือ 2561 – 2525

 |  รัฐ และวัฒนธรรมอำนาจ
ผู้เข้าชม : 370

แม่ญิงปฏิวัติ ขบวนการชาวนาชาวไร่ ภาคเหนือ 2561 – 2525

รูปที่ 1 ปกหนังสือ แม่ญิงปฏิวัติ : ขบวนการชาวนาชาวไร่ ภาคเหนือ 2561 – 2525
หมายเหตุจาก. ฝ่ายบริการสารสนเทศ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

           ในอดีต แม่ญิงชนบทภาคเหนือถูกกำหนดบทบาทผ่านบริบททางวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจ ว่าเป็น “ช้างเท้าหลัง” ควรอยู่กับเหย้า เฝ้ากับเรือน ดูแลกิจการภายในบ้าน มีหน้าที่เย็บปักถักร้อย ซักผ้า และเลี้ยงลูก ช่วยทำงานด้านการเกษตร เช่น ปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ เก็บเกี่ยวผลผลิต พวกเธอมีบทบาทจำกัดทางสังคม ถูกจำกัดสิทธิ และไม่มีอำนาจตัดสินใจทางการเมือง อย่างไรก็ตาม กระแสการเมืองประชาธิปไตยหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และการเติบโตของขบวนการนักศึกษาในภาคเหนือ ได้สร้างพื้นที่การเรียนรู้ใหม่ที่ทำให้ผู้หญิงชนบทจำนวนมากก้าวเข้าสู่บทบาท “นักต่อสู้” ในขบวนการเคลื่อนไหวของชาวนาและชาวไร่ โดยปี 2517 เกษตรกร ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาค่าเช่านาและที่ดินทำกิน รวมตัวกันชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และร่วมกันจัดตั้งสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย (สชท.) ขึ้นเพื่อต่อสู้เรียกร้องสิทธิของเกษตรกร รวมถึงการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคมจนรัฐต้องออกพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาบังคับใช้ แต่เกิดการบังคับใช้เฉพาะภาคกลางเท่านั้น ต่อมากลุ่มนักศึกษาได้ขยายการรับรู้ไปจนถึงพื้นที่ต่างจังหวัด เกิดโครงงานชาวนาของศูนย์กลางนักศึกษาภาคเหนือ นักศึกษาเข้าไปในชุมชนชนบทเพื่อเผยแพร่อุดมการณ์ประชาธิปไตย และให้ความรู้เรื่องสิทธิและการแบ่งผลผลิตตาม พ.ร.บ. ค่าเช่านา การเคลื่อนไหวของนักศึกษาและชาวนามีความเข้มข้นเป็นพิเศษจากปัญหาการเช่าที่ดินทำกิน เกิดกระบวนการเคลื่อนไหวตั้งแต่ระดับพื้นที่ท้องถิ่นถึงระดับประเทศ ชาวนาหลายพันคนเดินทางไปชุมนุมในกรุงเทพฯ เพื่อเรียกร้องต่อรัฐบาลหลายต่อหลายครั้ง จนรัฐบาลขณะนั้นจำต้องมีนโยบายเพื่อสนับสนุนเกษตรกรและประชากรในชนบทมากกว่าที่เคยเป็นมา อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวดังกล่าวมีต้นทุนสูงมาก เกิดการปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมขึ้นในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 นักศึกษาและผู้นำเกษตรกรหลายคนถูกทำร้าย และหลายคนเสียชีวิต เกษตรกรหลายครอบครัว จำต้องหลบหนีออกจากหมู่บ้านเข้าป่าไปรวมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) และจับอาวุธเพื่อต่อสู้กับทหารฝ่ายรัฐบาล แม่ญิงปฏิวัติเหล่านี้คือผู้มีส่วนร่วมและผู้มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ร่วมขับเคลื่อนการปฏิวัติ และสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม บทบาทเหล่านี้ได้สะท้อนพลังและศักยภาพของแม่ญิงชนบทภาคเหนือที่สามารถผลักดันความเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างยั่งยืนได้ไม่ต่างจากบุรุษ

           หนังสือ “แม่ญิงปฏิวัติ : ขบวนการชาวนาชาวไร่ ภาคเหนือ 2561 – 2525” มีรองศาสตราจารย์ ดร.ขวัญชีวัน บัวแดง อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้เคยร่วมเคลื่อนไหวกับกระบวนการนักศึกษา ช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นบรรณาธิการ โดยมีอดีตแกนนำนักศึกษาผู้เคยเข้าร่วมโครงงานชาวนาของศูนย์กลางนักศึกษาภาคเหนือ จนถูกคุกคาม กวาดล้าง ปราบปรามและต้องหลบหนีเข้าป่าอีกหลายท่าน ร่วมนำเสนอความทรงจำ และเรื่องเล่าเกี่ยวกับเหล่าแม่ญิงนักปฏิวัติผู้ต้องการต่อต้านความอยุติธรรม อำนาจที่กดทับ กดขี่ อย่างกล้าหาญ กล้าลุกขึ้นต่อสู้ และกล้าเสียสละ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงปัญหาสังคม เช่น ปัญหาการถูกขูดรีดค่าเช่านา การถูกแย่งยึดที่ดิน การปล่อยน้ำเสียจากเหมืองแร่ลงพื้นที่นาของชาวบ้าน และการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากหน่วยงานรัฐ ผ่านการต่อสู้ในหลายรูปแบบทั้งการยื่นข้อเสนอ การยื่นหนังสือร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการเดินขบวนเรียกร้อง จนกระทั่งตนเองและครอบครัวถูกลอบสังหาร ถูกเจ้าหน้าที่รัฐจับกุม ล้อมปราบ จนไม่อาจอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของตนได้อีกต่อไป จำต้องหลบหนีเข้าป่าไปเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) จับอาวุธขึ้นต่อสู้กับทหารฝ่ายรัฐในที่สุด หนังสือมีทั้งหมดมี 7 กรณีศึกษา และ 1 บทส่งท้าย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

           สมนึก แพ่งนคร (สหายแสง) อดีตผู้ปฏิบัติงานโครงงานชาวนาของศูนย์กลางนักศึกษาภาคเหนือ เคยร่วมงานกับสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ฯ ในจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ในปี 2517 และหนีเข้าป่าหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เข้าร่วมขบวนการกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ปฏิบัติงานในเขต 3 จังหวัดได้แก่ เลย พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ รวมเวลา 3 ปี สหายแสงรู้จักและมีความใกล้ชิดกับครอบครัวแม่จร-พ่ออาจ ธงโท และแม่บัวผิ่น (ลูกสาว) กับพ่อสิงห์ชัย ธรรมพิงค์เป็นอย่างดี เนื่องจากขณะเขาปฏิบัติงานโครงงานชาวนาฯ ที่หมู่บ้านสันมะนะ เขาอยู่ในเหตุการณ์ มีส่วนร่วมในการต่อสู้เรียกร้องสิทธิค่าเช่านา ของครอบครัวแม่จรและครอบครัว ตั้งแต่แรกเริ่ม และเห็นความกล้าหาญ ความเสียสละ และจิตวิญญาณนักต่อสู้ของผู้หญิงสามัญชนผู้ลุกขึ้นต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม จึงนำเสนอวีรภาพของแม่จร ผ่านบทความ "เชิดชูจิตใจกล้าต่อสู้ กล้าเสียสละ : ครอบครัวแม่จร แห่งบ้านสันมะนะ จังหวัดลำพูน" ขณะที่พ่ออาจ ธงโทเข้าร่วมเรียกร้องสิทธิในการเช่านาของชาวนาเช่า (เยี๊ยะนาผ่าเกิ่ง) ที่เผชิญกับการเอารัดเอาเปรียบ ความไม่เป็นธรรมในการเช่านา-แบ่งผลประโยชน์ และการใช้อำนาจตามอำเภอใจของผู้ครองที่ดินและผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น แม่จรต้องเสียสละและรับภาระงานของครอบครัวทั้งหมด มีบทบาทสำคัญคือเป็นแม่และภรรยาที่ต้องดูแลลูก จัดเตรียมเสบียงอาหารและเงินทองสำหรับการเดินทางไกลของสามี ตลอดจนทำงานไร่นาเพียงลำพังเป็นเวลาหลายเดือน จนกระทั่งพ่ออาจถูกลอบฆ่าเสียชีวิต ส่งผลและครอบครัวของลูกสาว (แม่บัวผิ่นกับพ่อสิงห์ชัย ธรรมพิงค์ และหลานสาวสองคน (อายุ 7 และ 8 ปี)) ซึ่งเป็นแกนนำสหพันธ์ฯ คนหนึ่ง ถูกข่มขู่ คุกคามจนต้องพากันหลบหนีเข้าป่า ซึ่งในขณะนั้นแม่จรยังอยู่ในหมู่บ้านและถูกจับไปคุมขังเพื่อสอบสวน ถึงกระนั้นแม่จันยังคงยืนหยัดและเป็นกำลังสำคัญในการดูแลผู้ถูกจับกุม ผู้ถูกคุกคาม นักศึกษาผู้ปฏิบัติงานโครงการชาวนาฯ ภาคเหนือ ด้วยการเสียสละข้าวปลาอาหารที่มีอยู่น้อยนิด ไข่เป็ดเจียว และฟูกนอนสำหรับผู้ร่วมต่อสู้ทุกคน

           พัลลภ กันทอินทร์ หรือ “สหายอุทิศ” อดีตนักศึกษาผู้เคยปฏิบัติงานในโครงงานชาวนาภาคเหนือ ผู้เคยคลุกคลีทำงานร่วมกับสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เขาตัดสินใจเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นเวลา 4 ปี สหายอุทิศในฐานะญาติสนิทและเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ได้สัมภาษณ์ “สหายพรรณี” และ “สหายไชยา” (สามีของสหายพรรณี) ขณะเดียวกันก็หวนรำลึกความทรงจำและนำมาเรียบเรียงเป็นเรื่องเล่าที่ทรงพลังเพื่อยกย่อง “สหายพรรณี” ผ่านบทความ "ผู้หญิงลูกชาวนาธรรมดาที่ไม่ธรรมดา...สหายพรรณี" สหายพรรณี (นิลรัตน์ ก้างออนตา) เติบโตในครอบครัวชาวนาบ้านต้น ตำบลบวกค้าง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ จากชีวิตลูกสาวชาวนาทั่ว ๆ ไป เริ่ม เปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันที่เธอและสามี ตัดสินใจลุกขึ้นเป็นแกนนำชาวนา ให้ความรู้ชาวบ้านเรื่องกฎหมายควบคุมค่าเช่านา โดยทำงานร่วมกับนักศึกษาจากโครงงานชาวนา เดินสายรณรงค์ในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ เป็นกลุ่มพลังสำคัญของการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมทางโครงสร้างที่ขยายตัวไปทั่วประเทศ ณ ขณะนั้น เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เปลี่ยนทุกอย่างอย่างฉับพลัน สหายไชยาและเพื่อนร่วมขบวนการ “นายพลเอ๋” ถูกล้อมจับในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.บ.ฉุกเฉิน หรือพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2519 และพยายามฆ่าเจ้าหน้าที่ ศาลตัดสินจำคุกสองปี แต่ให้รอลงอาญา เมื่อถูกปล่อยตัวออกมา ทั้งคู่รู้ทันทีว่าพื้นดินบ้านเกิดไม่ปลอดภัยอีกแล้ว จึงตัดสินใจอุ้มลูกชายวัยเพียง 11 เดือนหลบหนีเข้าป่า ชีวิตในป่าของสหายพรรณี ไม่ได้มีแต่เสียงปืนและการเคลื่อนที่ลับ ๆ ชีวิตของเธอยังเต็มไปด้วยความจำเป็นที่จะต้อง “วางไว้เบื้องหลัง” ลูกชายถูกส่งตัวไปอยู่ในโรงเรียนชายแดนลาว-จีน ซึ่งปลอดภัยจากเขตสู้รบ การตัดสินใจส่งลูกชายไปไกล และการต้องแยกจากสามีที่ต้องออกปฏิบัติภารกิจต่างพื้นที่กัน กลายเป็นบาดแผลในใจของสหายพรรณีที่เธอไม่เคยพูดออกมา แต่ทุกคนรอบตัวรู้ดีว่าเธอนั้น “เจ็บปวดและเข้มแข็ง” มากเพียงใด ถึงอย่างนั้นสหายพรรณีก็ไม่เคยถอยห่างจากภารกิจและอุดมการณ์ เธอปฏิบัติงานแนวหน้าในหน่วยพี่เลี้ยง ทำหน้าที่จัดหาเสบียง ปรุงอาหารให้กองกำลัง ทั้งยังเป็นผู้ประสานงานในหมู่บ้าน เป็นครูการเมืองให้กับนักศึกษาหน้าใหม่ที่เพิ่งหนีเข้าป่า เป็นผู้ช่วยเหลือชาวบ้านในการเข้าถึงสิทธิพื้นฐาน ตั้งแต่เรื่องอาหาร ยา ไปจนถึงความเข้าใจทางการเมืองที่พวกเขาไม่เคยเข้าถึงมาก่อน สหายพรรณีคือ “เสาหลักที่มองไม่เห็น” ของขบวนการ และเป็นหนึ่งใน “แม่ญิงปฏิวัติ” ที่ทำให้ความหวังในยุคนั้นคงความสว่างเจิดจ้า กระทั่งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยยุติปฏิบัติการ จึงได้รับลูกชายกลับมา เรื่องราวชีวิตของสหายพรรณี จึงไม่ใช่เพียงบันทึกความทรงจำของผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เป็นหลักฐานชัดเจนว่า ผู้หญิงในชนบทภาคเหนือ ไม่ได้เป็นเพียง “ช้างเท้าหลัง” อย่างที่เคยถูกตีกรอบ เธอพิสูจน์ด้วยชีวิตว่า ผู้หญิงก็สามารถยืนแถวหน้า เป็นแกนนำในการปฏิวัติสังคม และร่วมออกแบบอนาคตได้อย่างเท่าเทียมบุรุษ

           ชญาณิฐ (วิมลวรรณ) สุนทรพิธ หรือ “สหายหมอก” เดิมเป็นชาวนาจังหวัดขอนแก่น ช่วงปี 2517–2519 เข้าเรียนระดับปริญญาตรีที่คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และได้เข้าร่วมโครงงานชาวนาฯ หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เธอได้ตัดสินใจเข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) รวมเป็นเวลา 4 ปี นำเสนอวีรกรรมของ “แม่ญิงปฏิวัติ”
2 กรณีศึกษา ผ่าน 2 บทความ

           บทความแรก "แม่จันทร์ (สหายแม่) : หญิงนักสู้แห่งเทือกเขาขุนตาน" สหายหมอกเล่าว่า ในช่วงที่เธอรับผิดชอบงานประเด็นปัญหาชาวนาในจังหวัดลำปาง ทำให้ได้รู้จักและสนิทสนมกับ “แม่จันทร์” (จันทร์ เมืองเปี้ย (เมืองมาหล้า)) หญิงชาวบ้านแห่งเทือกเขาขุนตาน (รอยต่อจังหวัดลำพูน–ลำปาง) ผู้กลายเป็นแบบอย่างของสตรีนักต่อสู้ ทั้งสองได้ร่วมกันต่อสู้แก้ไข “ปัญหาการถูกไล่ที่ทำกินในพื้นที่ป่าชุมชน (ป่าแพะ)” ของชาวบ้านห้วยฉัตรเหนือ อำเภอห้างฉัตร เนื่องจากชาวบ้านไม่มีเอกสารสิทธิ์ ขณะที่สำนักงานที่ดินจังหวัดลำปางร่วมมือกับบริษัทเอกชนนำพื้นที่ป่าชุมชนไปใช้เป็นแปลงทดลองเกษตร จนทำให้ชาวบ้านรวมตัวก่อตั้ง “สหพันธ์ชาวนาชาวไร่อำเภอห้างฉัตร” ขึ้น และแม่จันทร์ได้รับเลือกเป็นผู้ช่วยประธานสหพันธ์ฯ ความเข้มแข็งของแม่จันทร์ทำให้การต่อสู้ในหลายกรณีประสบผลสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องเรื่อง “การกดราคาอ้อย” ในตำบลไหล่หิน อำเภอเกาะคา หรือปัญหาผลกระทบจากเหมืองแร่ที่บ้านแม่เลียง ตำบลเสริมขวา อำเภอเสริมงาม แม่จันทร์และสหพันธ์ฯ เผชิญแรงกดดันจากรัฐ นายทุน และผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น รวมถึงการข่มขู่และการลอบสังหารผู้นำสหพันธ์ฯ ที่เป็นผู้ชายหลายคน ทว่าแม่จันทร์ไม่เคยหวั่นไหว ยังคงยืนหยัดเป็นแนวหน้าเรียกร้องสิทธิให้ชาวนาชาวไร่อย่างกล้าหาญ หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้น แม่จันทร์จำต้องหนีภัยการคุกคามของเจ้าหน้าที่รัฐไปเข้าป่าร่วมกับกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แม้เธอจะเสียชีวิตในปี 2529 แต่วีรกรรม ความกล้าหาญ และจิตวิญญาณนักสู้ของแม่จันทร์ยังคงถูกจดจำในหัวใจของอดีตนักศึกษาและชาวนาที่เคยร่วมต่อสู้ตลอดไป

           บทความที่ 2 "สหายหญิง “ปกาเกอะญอ” ในเขตจรยุทธ์ " สหายหมอกซึ่งทำงานในชุมชนปกาเกอะญอ บ้านโป่งน้ำร้อน ตำบลเสริมซ้าย อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง ได้เล่าประสบการณ์ขณะทำงานกับกลุ่มสตรีและเยาวชนปกาเกอะญอเพื่อยกระดับความคิดทางการเมืองในช่วงปลายปี 2521 ว่า ช่วงเวลาดังกล่าวมีทั้งนักศึกษาและชาวนาในอำเภอเสริมงามร่วมกันขยายเขตยุทธศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) และจัดตั้งแกนนำในหมู่บ้าน เพื่อพัฒนากองกำลังติดอาวุธประชาชนต่อต้านอำนาจรัฐ การใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชาวบ้าน ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับสตรีและเยาวชนปกาเกอะญอ ทำให้สหายหมอกได้เห็นการเติบโตของจิตสำนึกทางการเมืองในหมู่หญิงสาวและคนรุ่นใหม่ จากการเรียนรู้เรื่องอุดมการณ์ ภาษาและวัฒนธรรมร่วมกัน เกิดเป็นความผูกพันและความมุ่งมั่นแน่วแน่ในการต่อสู้ ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดที่สุด คือการที่หญิงสาวหลายคนตัดสินใจ “ตัดผมยาว” ตามจารีตของปกาเกอะญอเพื่อเข้าร่วมเป็นทหารหญิง “สหายหญิง” ในกองกำลังปฏิวัติ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเจตจำนงอันเด็ดเดี่ยวของสตรีปกาเกอะญอ ในการ “ปฏิวัติ” โครงสร้างอำนาจที่กดทับพวกเธอมาอย่างยาวนาน

           ฐยา (เชื้อเมืองพาน) ศักดิ์สูง หรือที่สหายในป่าเรียกว่า “สหายวนา/สหายรุ่ง” เกิดและเติบโตในจังหวัดเชียงราย ได้รับแนวคิดทางการเมืองจากพี่สาวซึ่งเป็นอดีตผู้ปฏิบัติงานโครงการชาวนาฯ ก่อนถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์จนต้องหลบหนีเข้าป่า สหายรุ่งก็เช่นกัน หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ก็เผชิญชะตาไม่ต่างจากพี่สาว ถูกคุกคามจนต้องหนีเข้าป่าไปยังฐานที่มั่นเขต 7 ผาจิ จังหวัดพะเยา นำเสนอวีรกรรมของ "แม่มา" (มา อุดมทรัพย์) ผ่านบทความ "แม่มา : หญิงแกร่งแห่งบ้านทุ่งไผ่" ตำบลเสริมขวา อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง สหายรุ่ง เคยทำงานในพื้นที่ ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับลูกหลานของแม่มา จึงร่วมกันบอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ของหญิงผู้ไม่ธรรมดาคนนี้ โดยมีสหายรุ่งเป็นผู้เรียบเรียงและถ่ายทอดต่อสหายรุ่งเล่าว่า ในช่วงที่เธอทำงานในพื้นที่ความขัดแย้งจากการบริหารของเหมืองแร่แม่เลียง เหมืองได้ปล่อยน้ำเสียลงพื้นที่เกษตรกรรมของชาวบ้าน ทำให้เกิดตะกอนหิน ดิน และทรายในนาข้าว ส่งผลให้ผลผลิตเสียหายอย่างหนัก หนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงคือ “แม่มา” ซึ่งมีที่นาอยู่ติดคลองส่งน้ำ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “หัวเหมือง” เมื่อความเดือดร้อนทวีความรุนแรง แม่มาจึงลุกขึ้นร่วมเคลื่อนไหวต่อต้านเหมืองแร่อย่างเต็มกำลัง เธอไม่เพียงยืนหยัดปกป้องผืนดินและวิถีชีพของครอบครัวและเพื่อนบ้านเท่านั้น แต่ยังเป็นเสาหลักในชุมชนผู้ต่อสู้ คอยดูแลเอาใจใส่นักศึกษาหัวก้าวหน้าที่หลบหนีเข้าป่าและมาประจำฐานที่มั่นเขต 7 ผาจิ เสมือนลูกหลานของตนเอง ความกล้าหาญและหัวใจอันแข็งแกร่งของแม่มา ทำให้เธอไม่เพียงเป็นผู้นำชุมชนในยามวิกฤต แต่ยังทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจเข้าร่วมขบวนการปฏิวัติอย่างเต็มกำลัง เธอเป็นหนึ่งในสตรีผู้ก่อร่างความหวังและเป็นพลังเงียบที่ผลักดันการต่อสู้ของคนเล็กคนน้อยในยุคนั้น

           รศ.รังสรรค์ จันต๊ะ หรือ “สหายณรงค์” อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เคยเป็นนักศึกษาวิทยาลัยครูเชียงใหม่และผู้ปฏิบัติงานโครงงานชาวนาฯ หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 พลิกชะตาชีวิตของเขาให้ต้องเข้าป่าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ในฐานะกำลังสำคัญของหน่วยงานแนวหน้า 7/3 กองกำลังโฆษณาขยายงานมวลชน แห่งภูผาจิ–ผาช้าง ตำบลควร อำเภอปง จังหวัดพะเยา ประสบการณ์ในช่วงนั้นทำให้เขาได้ร่วมงานกับ “แม่หญิงปฏิวัติ” หลายคน และได้ถ่ายทอดเรื่องราวของแม่ญิงนักสู้ 2 คน ผ่านบทความ 2 ชิ้นที่สะท้อนจิตวิญญาณนักปฏิวัติในพื้นที่เขตงานแนวหน้า 7/3

           บทความแรก "ชีวิตและการต่อสู้ของพี่วิไล รัตนเวียงผา หญิงนักสู้แห่งลุ่มน้ำฝาง" บ้านเวียงผาพัฒนา ตำบลศรีดงเย็น อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ คือถิ่นฐานที่พี่วิไล หญิงชาวบ้านใจแกร่งเติบโตมา เธอเป็นลูกสาวของพ่อจันทร์ ชาวนาไร้ที่ทำกินซึ่งได้อพยพครอบครัวและเครือญาติมาจากอำเภอแม่แตงเพื่อมาแสวงหาพื้นที่ทำกินใหม่ พี่วิไลไม่เพียงทำหน้าที่เป็นเสาหลักของครอบครัว หากยังเป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนการเคลื่อนไหวของทหารป่า อดีตนักศึกษา และชาวนาปฏิวัติที่มาปฏิบัติงานในเขตจรยุทธ 7/3 เธอช่วยเหลือด้วยการขนเสบียงอาหาร ส่งข่าวความเคลื่อนไหวของฝ่ายทหารรัฐบาล และดูแลสหายที่หลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่อย่างไม่เคยย่อท้อ แม้จะถูกฝ่ายทหารรัฐบาลข่มขู่หลายครั้ง แต่พี่วิไลก็ต่อสู้เอาตัวรอดมาได้ทุกครา ด้วยทั้งปฏิภาณไหวพริบและหัวใจที่มุ่งมั่นต่ออุดมการณ์อันเธอเชื่อมั่น เธอคือหนึ่งในผู้หญิงที่มีบทบาทเบื้องหลังความสำเร็จของของหน่วยงานแนวหน้า 7/3 กองกำลังโฆษณาขยายงานมวลชนแห่งภูผาจิ–ผาช้าง ตำบลควร อำเภอปง จังหวัดพะเยา

           บทความที่ 2 "ชีวิตและการต่อสู้ของสหายจิตน้อย : นักรบหญิงเหล็กแห่งผาจิ ผาช้าง" สหายณรงค์ ยังเล่าถึง “สหายจิตน้อย” หญิงสาวชาวม้งแห่งภูผาจิ–ผาช้างไว้อย่างน่าประทับใจว่า “สหายจิตน้อย” เดิมชื่อไพลิน สุริยผดุงชัย เธอสังกัดกองกำลังโฆษณาขยายงานมวลชนประจำฐานที่ 7 ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) สหายจิตน้อยเกิดในครอบครัวนักปฏิวัติทั้งพ่อ แม่ พี่ชาย และน้องสาว ทำให้ชีวิตของเธอผูกพันกับเส้นทางการต่อสู้มาตั้งแต่วัยเยาว์ บทบาทของสหายจิตน้อยในป่าไม่ใช่เพียงถืออาวุธต่อสู้เท่านั้น เธอยังเป็นกำลังสำคัญที่คอยสนับสนุนให้สหายจากในเมืองและจากพื้นราบ มีอาหารกิน มีที่พักอาศัย เรื่องเล่าของสหายจิตน้อยสะท้อนศรัทธาอย่างลึกซึ้งต่ออุดมการณ์ของ พคท. ว่าไม่เพียงเพราะอุดมการณ์นั้นมุ่งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคม แต่ยังมอบพื้นที่แห่งความเสมอภาคแก่ผู้หญิงม้ง ทำให้พวกเธอได้รับการยอมรับเท่าเทียมกับผู้ชาย ซึ่งแตกต่างจากนโยบายของรัฐไทยในเวลานั้นอย่างสิ้นเชิง สำหรับเด็กสาวและสตรีม้งแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) จึงไม่ใช่เพียงขบวนการปฏิวัติแต่คือความหวังของชีวิตที่ดีกว่า

           ศ.ดร.นงเยาว์ เนาวรัตน์ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาพื้นฐานและการพัฒนาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโส ศูนย์นโยบายพหุวัฒนธรรมและการศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้นำเสนอ “บทส่งท้าย” ที่จับประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ “เสียงของแม่ญิง” ผ่านมุมมองสตรีนิยมไว้อย่างลุ่มลึก

           อาจารย์นงเยาว์ชี้ให้เห็นว่า "เสียงของแม่ญิง" ไม่ว่าจะนำเสนอผ่านการเล่าเรื่องการเคลื่อนไหว หรือการต่อสู้ ล้วนคือการเมืองของการช่วงชิงพื้นที่ในสังคม พื้นที่ซึ่งโดยปกติถูกกดทับหรือครอบงำโดยเสียงของผู้ชาย การวิเคราะห์กรณีศึกษาทั้ง 7 เรื่อง สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า “การปฏิวัติ” ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการจับอาวุธหรือการเผชิญหน้าโดยตรงกับรัฐเท่านั้น หากแต่มีหลากหลายรูปแบบของการต่อต้าน ตั้งแต่การท้าทายอำนาจรัฐ อำนาจตามจารีต การอารยะขัดขืน ไปจนถึงการข้ามเส้นแบ่งของเพศสภาวะและชาติพันธุ์ ซึ่งล้วนมีอุดมการณ์และความเชื่อเรื่องการปฏิวัติคอยชี้นำทาง

           อีกประเด็นสำคัญที่อาจารย์เน้นย้ำ คือ วิธีเล่าเรื่องที่ “ผู้เล่า” และ “ผู้ถูกเล่า” ส่งเสียงสอดประสานกัน การเล่าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการบันทึกอดีต หากเป็นการ “เรียกคืนเรื่องราวให้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง” ส่งผลให้ความทรงจำไม่ถูกทำให้แข็งทื่ออยู่ในกาลเวลา แต่กลายเป็นพลังในการผลักดันประวัติศาสตร์บทใหม่ของคนเล็กคนน้อย ผู้ที่มักถูกละเลยในประวัติศาสตร์กระแสหลักให้ดำรงอยู่และส่งเสียงต่อไป

           หนังสือ “แม่ญิงปฏิวัติ” เป็นหนังสือที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์สังคม เป็นงานศึกษาที่เปิดพื้นที่ให้เห็นบทบาทของ “ผู้หญิงชาวนา” สามัญชนคนชายขอบผู้มีสถานะยากจน-รับจ้างทำงานสารพัด และไร้ที่ดินทำกิน นำเสนอภาพชีวิตและประสบการณ์ของ “แม่ญิงนักปฏิวัติและสหายผู้เล่าเรื่อง” ที่มีความกล้าหาญโดดเด่นในขบวนการเคลื่อนไหวชาวนาชาวไร่ในช่วงปี 2516–2525 เป็นหนังสือที่นำเสนอประวัติศาสตร์ของสามัญชน และเป็นการฟื้นคืนเสียงของผู้หญิงชายขอบให้กลับมาอยู่ในเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ไทยอย่างสมศักดิ์ศรี เหมาะสำหรับนิสิตนักศึกษา อาจารย์ และนักวิชาการในสาขาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น มานุษยวิทยา สังคมวิทยา และเพศภาวะศึกษา

           หนังสือสนามที่รู้สึก ตัวตนที่รู้จัก พร้อมให้บริการที่ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ห้องสมุด หรือติดต่อเพื่อขอยืมหนังสือผ่านทาง Facebook Fanpage: ห้องสมุด ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร – SAC Library และ Line: @sac-library


บรรณานุกรม

กอบบุญ บูรโชควิวัฒน์.(2565). จาก 14 ตุลา ถึง 6 ตุลา : การเคลื่อนไหวของชาวนาภาคเหนือ. The 101.World. สืบค้นจาก  https://www.the101.world/14-oct-to-6-oct/

ขวัญชีวัน บัวแดง., ชญาณิฐ สุนทรพิธ. , ชญาณิฐ สุนทรพิธ. , ณัฐยา ศักดิ์สูง. , พัลลภ กันทอินทร์. , รังสรรค์ จันต๊ะ. , รังสรรค์ จันต๊ะ. และ สมนึก แพ่งนคร. . (2568). แม่ญิงปฏิวัติ : ขบวนการชาวนาชาวไร่ภาคเหนือ 2516-2525 . กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).

ชินอิชิ ชิเกโตมิ., อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์. (2566). บทความแปล ทำไมเขาจึงลุกขึ้นสู้? ความเป็นจริงในท้องถิ่นของขบวนการเกษตรกรใน ทศวรรษ 1970 ของประเทศไทย. CMU Journal of Law and Social Sciences, 16(2), 1–34. สืบค้นจาก https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/271423

สุดารัตน์ พรมสีใหม่. (2565). จาก 14 ตุลา ถึง 6 ตุลา : การเคลื่อนไหวของชาวนาภาคเหนือในความทรงจำของ มนัส จินตนะดิลกกุล. The 101.World. สืบค้นจาก https://www.the101.world/manus-jintanadilokkul-interview/


ผู้เขียน
อนันต์ สมมูล
นักบริการสารสนเทศ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)


 

ป้ายกำกับ แม่หญิงปฏิวัติ ขบวนการชาวนาชาวไร่ ภาคเหนือ อนันต์ สมมูล

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Share
Facebook Messenger Icon คลิกที่นี่เพื่อสนทนา