สงครามและเสียงที่ได้ยิน: ข้อสังเกตเบื้องต้น

 |  อคติทางวัฒนธรรม และความรุนแรง
ผู้เข้าชม : 230

สงครามและเสียงที่ได้ยิน: ข้อสังเกตเบื้องต้น

           เช้าวันหนึ่งของเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2568 วันนั้นก็คงเป็นอีกวันที่ชีวิตของผู้คน ณ ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงดำเนินไปตามปกติ เช่นเดียวกับภูมิทัศน์ของเสียง (Soundscape) ในวันนั้น เสียงของผู้คนที่พูดคุยกันอย่างออกรสในเรื่องสัพเพเหระ เสียงของพ่อค้าแม่ค้าที่เชิญชวนผู้คนให้มาช่วยอุดหนุนสินค้า เสียงเซนเซอร์ประตูของห้างร้านต่าง ๆ ที่ดังอยู่เป็นระยะเนื่องด้วยมีผู้คนเข้าออกอยู่เสมอ เสียงของยวดยานพาหนะบนท้องถนนซึ่งคำรามดังบ้างเบาบ้างแล้วแต่คนขับ และเสียงของนก หมา แมว ซึ่งร้องเรียกสื่อสารกันเหมือนเช่นทุกวัน

           แต่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อระเบิดลูกหนึ่งตกลงสู่กลางพื้นที่ของชุมชน ระเบิดลูกนี้คือผลพวงจากความขัดแย้งเรื่องดินแดนระหว่างรัฐสองฝั่ง ซึ่งไม่สามารถหาข้อยุติได้จนกลายเป็นการปะทะโดยใช้กำลังทางการทหาร นับจากนั้นมา เสียงที่ได้ยินต่อไปนี้คือเสียงแห่งความตระหนก สับสน หวาดกลัว และสูญเสีย เสียงดังกล่าวปรากฏขึ้นท่ามกลางเสียงของกระสุนและระเบิดของทหารทั้งสองฝ่าย ซึ่งยังคงสาดออกมาอยู่เป็นระลอก ขณะเดียวกัน ณ พื้นที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลจากพื้นที่ที่เกิดเหตุ เสียงแห่งความโกลาหลและเสียงแห่งความเจ็บปวดในสมรภูมิ กลับกลายเป็นเสียงที่ทำให้เกิดอีกเสียงหนึ่ง นั่นคือเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์เร่งเร้าให้มีการตอบโต้อย่างสาสม อีโมจิรูปคนหัวเราะในเฟซบุ๊ก มีให้เห็นทุกครั้งเมื่อมีรายงานข่าวว่าทหารฝ่ายตรงข้ามเสียชีวิตเพิ่มขึ้น บางคนอาจรู้สึกว่ายังไม่พอ จึงส่งเสียงสนับสนุนให้โจมตีต่อไปจนกว่าฝ่ายตรงข้ามจะประกาศยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเป็นทางการ สำหรับความคิดเห็นซึ่งไม่ตรงกับสิ่งที่คนกดอีโมจิหัวเราะอยากฟัง จะได้รับเสียงประณามเป็นการตอบแทน แน่นอนว่าเสียงเช่นนี้ เกิดขึ้นกับทั้งสองประเทศซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งกัน

           เสียงที่เรามักได้ยินในสถานการณ์การสู้รบ จึงมีความซับซ้อนมากกว่าการเป็นเพียงเสียงที่ถูกเปล่งออกมา ถือเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมซึ่งควรได้รับการศึกษาในทางวิชาการ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรง และด้วยเหตุดังกล่าว บทความชิ้นนี้จะทำการศึกษาถึงเสียงที่เราได้ยินในสงคราม โดยเป็นการตั้งข้อสังเกตในเบื้องต้นว่า เสียงเหล่านี้สามารถสร้างความทรงจำร่วมของสังคม แต่ขณะเดียวกัน การรับรู้ของผู้คนที่มีต่อเสียง อาจผันแปรไปตามพื้นที่ได้ และโดยเหตุนี้ จึงมีบางเสียงซึ่งอาจถูกผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมมองผ่านไปด้วย โดยเฉพาะเสียงที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวดของผู้คนในพื้นที่สมรภูมิโดยตรง


เสียงสามารถสร้างความทรงจำร่วมของสังคม

           Maurice Halbwachs นักสังคมวิทยาผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กล่าวว่า ความทรงจำร่วม (Collective Memory) ของสังคม เกิดจากการหลอมรวมความทรงจำของปัจเจกและถูกจัดระเบียบใหม่เพื่อกำหนดอัตลักษณ์ ความคิด พฤติกรรมของคนในสังคมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน (Halbwachs, 1992) โดยจากข้อเสนอข้างต้นนี้ ส่งผลให้นักวิชาการรุ่นหลังในสายสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ให้ความสำคัญต่อการศึกษาสิ่งที่ก่อให้เกิดความทรงจำร่วมของสังคม โดยเฉพาะสถานแห่งความทรงจำ (Sites of Memory) ที่เป็นรูปธรรมอย่างอนุสาวรีย์และพิพิธภัณฑ์ (Nora, 1989) อย่างไรก็ตาม คำถามต่อมาคือ แล้วเสียงที่เปล่งออกมานั้น สามารถสร้างความทรงจำร่วมของสังคมได้หรือไม่ ?

           Greg Goodale ได้กล่าวว่า เสียงของสงคราม (Sounds of War) หรือเสียงที่ปรากฏในสมรภูมินั้น สามารถนำมาใช้เผยแพร่ตามสื่อต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนเกิดภาพจำและมีปฏิกิริยาต่อเสียงนั้นไปในทิศทางเดียวกัน เสียงที่เผยแพร่อาจมีการปรับรายละเอียดเชิงเทคนิคบ้าง ในสมัยสงครามเย็น รัฐบาลสหรัฐอเมริกาสนับสนุนการผลิตภาพยนตร์สั้นเรื่อง “Duck and Cover” (ก้มและกำบัง) ภาพยนตร์ดังกล่าวผลิตขึ้นเพื่อสอนให้ประชาชนรู้จักวิธีป้องกันตนเองเมื่อทหารฝ่ายคอมมิวนิสต์ทิ้งระเบิดลงมาทางอากาศ ทั้งยังใช้เป็นสื่อประกอบการเรียนการสอนตามโรงเรียนในสหรัฐฯ ตลอดช่วงทศวรรษ 1950 และมีบางแห่งที่ยังคงใช้มาจนถึงช่วงต้นทศวรรษ 19601 ภาพยนตร์ชุดนี้ทำให้ประชาชนมีภาพจำอยู่อย่างหนึ่งคือเสียงไซเรน (Siren) ในฉากสถานการณ์จำลองการหาที่หลบภัย เพราะเสียงไซเรนในภาพยนตร์ มีรายละเอียดซึ่งแตกต่างไปจากเสียงไซเรนปกติ เสียงไซเรนปกติมักเป็นเสียงหวอที่มีความแหลมเพื่อให้คนเกิดความตื่นตัว แต่เสียงไซเรนใน Duck and Cover ถูกปรับให้คล้ายกับเสียงของสิ่งประหลาดประเภทหนึ่ง ที่มีความโหยหวนชวนขนลุกเหมือนในภาพยนตร์สยองขวัญ ภาพยนตร์ชุดนี้จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่า ไม่ได้มีขึ้นเพียงเพื่อสอนให้ประชาชนรู้จักป้องกันตนเองในยามสงครามเท่านั้น หากแต่มีขึ้นเพื่อให้ประชาชนเกิดความกลัวและกังวลต่อภัยคุกคามคอมมิวนิสต์ซึ่งได้กลายเป็นปิศาจร้ายในการรับรู้ของพวกเขาแล้ว เป็นนโยบายโฆษณาชวนเชื่อของรัฐ และถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง (Goodale, 2013, pp.244-247)

           ย้อนกลับมากล่าวถึงกรณีการสู้รบ ณ ชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อเดือนกรกฎาคม หากสำรวจคลิปที่นำเสนอเหตุการณ์การปะทะกันตามสื่อต่าง ๆ จะพบว่ามีคลิปที่พยายามขับเน้นเสียงเครื่องบินรบ เสียงระเบิด เสียงการใช้อาวุธ หรือเสียงบัญชาการรบ บางคลิปอาจเพิ่มถ้อยคำ ข้อความ และเสียงเพลงประกอบกระตุ้นอารมณ์ไปด้วย เพื่อให้ผู้ชม (ผู้ฟัง) ฝั่งเดียวกัน รับรู้ร่วมกันว่านี่คือการใช้พลังแสนยานุภาพของรัฐที่เหนือกว่าในการสังหาร (Killing)กลุ่มคนที่ถูกมองว่ามีพฤติกรรมซึ่งแสดงถึงการเป็นศัตรูร่วมของชาติ บางรายอาจถึงขั้นรู้สึกเพลิดเพลิน (Enjoy) ไปกับเสียงเหล่านั้น2 ควรกล่าวอีกด้วยว่า คู่ขัดแย้งทั้งสองรัฐ ยังต่างแสดงให้ผู้ชมเกิดความเข้าใจตรงกันว่า หากเป็นเสียงของอาวุธฝ่ายตรงข้าม จะถือเป็นการรุกราน โดยเสียงความเจ็บปวดของคนในพื้นที่ที่เป็นฝ่ายเดียวกัน ถือเป็นเหตุผลที่จะนำมาใช้ในการตอบโต้


ยิ่งอยู่ห่างไกลจากพื้นที่ต้นทางของเสียง การรับรู้ของผู้คนจะยิ่งผันแปร

           ถึงแม้เสียงจะสร้างความทรงจำร่วมของสังคม แต่ประเด็นที่ควรถกเถียงด้วยคือ ยิ่งเราอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลจากสมรภูมิมากเท่าใด การรับรู้ของผู้คนต่อเสียงที่ปรากฏในสมรภูมิจะยิ่งผันแปรออกไปมากเท่านั้น ดังจะเห็นได้ว่า เสียงการใช้อาวุธทำให้ผู้คนในพื้นที่สมรภูมิ (ไม่ว่าจะเป็นคนจากฝ่ายเดียวกันหรือไม่) เกิดความรู้สึกหวาดระแวง สับสน เจ็บปวด มากกว่ากลุ่มคนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่สมรภูมิโดยตรง คนกลุ่มหลังนี้จะรับรู้เสียงในสมรภูมิซึ่งผ่านการเลือกสรรและปรับปรุงมาแล้วโดยสื่อต่าง ๆ เพื่อให้รู้สึกฮึกเหิมและอาจมีบางคนสนับสนุนให้ทำต่อไปจนกว่าฝ่ายตรงข้ามจะราบเป็นหน้ากลอง พวกเขาจะมีความรู้สึกเหมือนผู้คนในสมรภูมิได้ก็ต่อเมื่ออาวุธของทหารฝ่ายตรงข้ามเข้ามาถึงพื้นที่ของตน หรือลงไปรบเอง

           Martin Daughtry (2015) ได้กล่าวถึงการลงไปศึกษาประสบการณ์ของทหารและพลเรือนในพื้นที่สมรภูมิอิรัก ซึ่งทำให้ได้พบว่าเสียงของสงครามมีความสำคัญต่อชีวิตและการอยู่รอดของพวกเขาเป็นอย่างมาก เพราะเสียงทุกอย่างที่ปรากฏในสงครามเป็นได้ทั้งสัญญาณแห่งความปลอดภัยและความอันตราย พวกเขาต้องรู้จักฟัง ตีความ ฝึกฝน และรู้จักที่จะรับมือกับเสียงเหล่านั้นให้ทันท่วงทีอยู่ตลอดเวลา เสียงของสงครามจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายพวกเขา ร่างกายของพวกเขาจะรับรู้และมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อมันเสมอ แต่นั่นย่อมนำมาสู่สิ่งที่เรียกว่าบาดแผลทางจิตใจ (Trauma) ที่ไม่สามารถลบเลือนให้หายไปได้ เสียงเหล่านี้สร้างภาพหลอน ความหวาดระแวง ความหวาดกลัว ความสับสน และความทุกข์ทรมาน ให้แก่พวกเขาแม้กระทั่งสงครามสิ้นสุดไปแล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้จะเป็นที่รับรู้มากน้อยเพียงใดในกลุ่มคน ณ พื้นที่ที่อยู่ห่างไกล เพราะเสียงเหล่านี้ส่วนหนึ่งกลายเป็นการปลุกใจให้แก่กลุ่มคนดังกล่าวไปแล้ว

           การปะทะกันที่เกิดขึ้นในชายแดนไทย-กัมพูชา คงเป็นเฉกเช่นเดียวกัน หลายคนมีความมั่นใจว่าระเบิดของฝ่ายตรงข้ามไม่มีพลังมากพอที่จะมาถึงเมืองหลวงได้ ดังนั้น พวกเขาจึงสามารถส่งเสียงได้อย่างเต็มที่ให้ทหารใช้อาวุธในชายแดนอย่างเต็มกำลัง ผู้เขียนได้รับข้อมูลจากเพื่อนของเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นคนในพื้นที่สู้รบ เขากล่าวว่าเขารู้สึกแพนิค (Panic) ต่อเสียงการปะทะ คืนแรก ๆ เขานอนไม่หลับ เพราะรู้สึกได้ยินเสียงปืนดังอยู่ในหัวตลอดเวลา การที่ผู้คนในโลกอินเทอร์เน็ตพิมพ์ข้อความว่าต้องเอาให้ราบ หรือพิมพ์ในเชิงตลกขบขันว่าขอให้ฝ่ายตรงข้ามรีวิวอาวุธที่โดนจากฝ่ายเราให้หน่อย จึงอาจสวนทางกับสิ่งที่ปรากฏในพื้นที่ชายแดนที่เกิดเหตุ สิ่งนี้ยังสามารถพิจารณาได้จากข่าวที่นำเสนอคลิปเด็กนักเรียนซึ่งเป็นคนในประเทศคู่ขัดแย้ง กำลังร้องไห้เพราะต้องเดินทางกลับประเทศ โดยสำหรับบางคนในโลกอินเทอร์เน็ตซึ่งไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเด็กคนนี้ จะพิมพ์ว่าไม่ต้องร้อง ไม่ต้องกลับมาอีก โตไปคงไม่สำนึกบุญคุณ


เสียงหลอนในสงคราม: เสียงที่มักถูกผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมมองผ่าน

           จะเห็นได้ว่า ในขณะที่เสียงในสงครามสร้างความทรงจำร่วมของสังคม แต่การรับรู้ของผู้คนที่มีต่อเสียงก็ผันแปรไปตามพื้นที่ คนในพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลจากสมรภูมิ อาจไม่ได้รับรู้ถึงเสียงของความโกลาหลมากเท่ากับคนในพื้นที่โดยตรง สิ่งนี้ก่อให้เกิดข้อสังเกตประการต่อมาคือ นั่นหมายความว่า อาจมีบางเสียงในพื้นที่ ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมมองผ่านไป และกลายเป็นเพียงความทรงจำของคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งในพื้นที่หรือไม่

           ในบรรดาเสียงหลาย ๆ เสียงซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมมักมองผ่านไปคือเสียงหลอนในสงคราม เสียงหลอนนี้จะเกิดขึ้นกับชาวบ้านและทหารในพื้นที่สมรภูมิ ในห้วงเวลาของสงคราม การที่พวกเขาได้ยินเสียงระเบิด เสียงปืน เสียงเครื่องบินรบ เสียงทหารออกคำสั่ง เสียงไซเรน เสียงวิทยุ เสียงคนเจ็บปวดทรมาน เสียงคนร้องไห้ เสียงคนร้องขอชีวิต ฯลฯ ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้เสียงเหล่านี้เข้ามาหลอกหลอนในโสตประสาทของพวกเขาตลอดเวลาแม้สงครามสิ้นสุดลงแล้ว กลายเป็นบาดแผลทางจิตใจอันนำมาสู่ปัญหาในการใช้ชีวิต ซึ่งคนภายนอกมิได้รับรู้มากเท่า การรับรู้ของคนภายนอกมีให้เห็นบ้างเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเมื่อมีงานรำลึกประจำปี เมื่องานจบ กระแสจบ การรับรู้ของพวกเขาก็จางลงไปอีกครั้ง

           ชญาน์ทัต ศุภชลาศัย (2556) ได้ยกกรณีของทหารผ่านศึกชาวสหรัฐอเมริกาคนหนึ่งในสงครามอิรัก เพื่อชี้ให้เห็นว่า ทหารคนนี้เป็นกรณีตัวอย่างของคนในพื้นที่สมรภูมิ ซึ่งถูกเสียงในสงครามหลอกหลอนตลอดเวลาจนพบตนเองไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป ทหารผู้นี้พบว่าตนเองเหมือนคนบ้า เขาไม่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ที่เคยสร้างเสียงหัวเราะให้แก่ตนเองได้อีก รวมไปถึงการเล่นกีตาร์ สิ่งที่เขารับรู้มีเพียงเสียงปืนกับเสียงระเบิดที่เขาสาดใส่เด็กและผู้หญิง เขายังพบว่าตนได้กลายเป็นคนแปลกแยกในสายตาของคนในครอบครัวด้วย (ชญาน์ทัต, 2556, น.159-161) นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ มองผ่านไป เพราะเรื่องราวของทหารผ่านศึกเหล่านี้ มักถูกรัฐมุ่งนำเสนอในด้านของความเป็นวีรบุรุษของแผ่นดินอันน่าเชิดชูมากกว่า

           นอกจากทหารแล้ว เสียงหลอนในสงครามยังเกิดขึ้นต่อชาวบ้านในพื้นที่ และอาจหนักยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะชาวบ้านในพื้นที่คือผู้ที่ต้องหลบภัยจากเสียงสงคราม จะทำกิจกรรมอื่นใดก็ต้องฟังเสียงตลอด เพราะนั่นหมายถึงการอยู่รอดของพวกเขา เสียงเหล่านี้กลายเป็นเสียงหลอนซึ่งสร้างความทุกข์ทรมานให้แก่พวกเขาเป็นอย่างมาก มันไม่ใช่แค่เสียงระเบิดและเสียงปืน แต่ยังมีเสียงที่เกี่ยวกับการถูกใช้ความรุนแรงต่อหน้า เช่น การทุบตี การทารุณกรรม การข่มขืน การเผา เป็นต้น เสียงเหล่านี้ฝังแน่นอยู่ในสำนึกของพวกเขาแม้กระทั่งสงครามสิ้นสุดไปแล้ว ทั้งนี้ ความทรงจำบาดแผลทางจิตใจของชาวบ้านเหล่านี้ ยังสามารถส่งต่อไปสู่ลูกหลานอีกหลายรุ่นด้วย ดังจะเห็นได้จากกรณีของชาวเวียดนามพลัดถิ่น ซึ่งยังคงถ่ายทอดเรื่องราวความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับการถูกกระทำในสงครามเวียดนาม จากรุ่นสู่รุ่น จนมีส่วนในการสร้างอัตลักษณ์ของชาวเวียดนามพลัดถิ่นขึ้นมา (จิรวุฒิ, 2565) สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้คนในสังคมส่วนใหญ่อาจรับรู้ในระดับหนึ่ง แต่การรับรู้เพื่อนำไปสู่การเยียวยาอย่างต่อเนื่อง การเรียกร้องให้สืบหาข้อเท็จจริงของความรุนแรง และการไม่ยอมรับในการทำสงคราม เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด ยังคงเป็นคำถามที่ยังต้องเฝ้ารอคำตอบในอีกหลายกรณี3

           เหตุการณ์การปะทะกัน ณ ชายแดนไทย-กัมพูชา ในขณะที่ผู้คนในโลกอินเทอร์เน็ตต่างส่งเสียงให้ทหารทำการสังหารฝ่ายตรงข้ามไปจนกว่าจะได้รับชัยชนะอย่างแท้จริง แต่สิ่งที่ไม่ค่อยพบเห็นในการส่งเสียงนั้นคือคำถามเช่น คนในพื้นที่จะต้องประสบพบเจออะไรบ้างจากการปะทะไปเรื่อย ๆ ? คนในพื้นที่จะต้องรับฟังและจัดการกับเสียงซึ่งเกี่ยวพันกับความเป็นความตายความของพวกเขาอย่างไร ? คนในพื้นที่จะเกิดบาดแผลทางจิตใจหรือไม่ เพียงใด จากการรับฟังเสียงในสงครามซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นประจำ ? ดูเหมือนว่าคำถามเหล่านี้จะถูกกลบไปด้วยเสียงอาวุธซึ่งชวนให้รู้สึกฮึกเหิม และเสียงแห่งความสูญเสียซึ่งเชื่อมโยงกับมุมมองแบบชาตินิยม (ความเสียสละเพื่ออธิปไตยของชาติ) เสียงเหล่านี้ย้ำเตือนให้ผู้ฟังรับทราบถึงความชอบธรรมในการใช้กำลังทหาร ผู้ที่ตั้งคำถามจะได้รับเสียงเตือนว่าอย่าโลกสวย แม้ว่าคำถามเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากมุมมองแบบโลกสวยแต่ประการใด ถึงที่สุดแล้ว เสียงในสงครามซึ่งก่อให้เกิดบาดแผลทางจิตใจของคนในพื้นที่ จึงยังคงดำเนินต่อไปและอาจขยายตัวเพิ่มมากขึ้น หากการปะทะยังคงเกิดขึ้นอีกในอนาคต


ทิ้งท้าย

           เสียงในสงคราม ไม่ใช่เสียงที่สร้างความสุนทรีย์ มันเป็นเสียงที่เชื่อมโยงกับบาดแผลของผู้คนในพื้นที่สมรภูมิ อย่างไรก็ตาม ผู้คนในพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลจากสมรภูมิ จะรับรู้ได้มากเพียงใดนั้น ยังคงเป็นข้อสงสัยอยู่ การปะทะกัน ณ ชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนพบว่า อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) หลายคนในโลกอินเทอร์เน็ต ใช้เสียงในสมรภูมิเป็นแหล่งสร้างรายได้ อินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้นำเสนอภาพ คลิป เสียง เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งหมายที่จะกระตุ้นอารมณ์ของผู้ชมให้เกิดความคล้อยตามจนนำมาสู่การกดไลค์ กดแชร์ และพิมพ์คอมเมนท์ เป็นการเพิ่มยอดการมีส่วนร่วม (Engagement) ของผู้ชม ให้แปรเป็นผลกำไรทางการเงิน อินฟลูเอนเซอร์ยอดนิยมบางคนยังแชร์ผลกำไรที่ได้รับจากการผลิตเนื้อหาเหล่านี้อีกด้วย

           การหันมาให้ความสำคัญต่อการศึกษาเสียงในสงครามที่ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่ถูกเปล่งออกมาและค้างเติ่งอยู่ในอากาศ จึงน่าจะช่วยให้สังคมไทย (และที่อื่น ๆ) มองเห็นภาพความขัดแย้ง ความรุนแรง และบาดแผลของผู้คน ซึ่งยังคงดำรงอยู่ได้ชัดเจนมากขึ้น ถึงแม้ผู้เขียนจะยังมีความกังวลอยู่ว่า การศึกษาหัวข้อสงครามซึ่งอาจมีประเด็นที่สวนทางจากการรับรู้ตามอุดมการณ์ชาตินิยมอย่างสุดโต่ง จะได้รับเสียงก่นด่าโดยไม่ได้ใช้เหตุผลใด ๆ ว่าไม่รักชาติก็ตาม


บรรณานุกรม

จิรวุฒิ กิจการุณ. (2565). เรื่องเล่าบาดแผลสงครามเวียดนามของนักเขียนเวียดนามพลัดถิ่น. วิทยานิพนธ์ ปริญญาอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต ภาควิชาวรรณคดีเปรียบเทียบ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย.

ชญาน์ทัต ศุภชลาศัย. (2556). ทหารผ่านศึกสหรัฐฯ กับ บาดแผลร้าวลึกหลังสงครามอิรัก. วารสารสังคมศาสตร์,
9 (2). 145-171.

Goodale, G. (2013). Sounds of war. In Michael Bull. (editor). Sound Studies: Critical Concepts in Media and Cultural Studies Volume 2. Routledge.

Daughtry, M. (2015). Listening to War: Sound, Music, Trauma, and Survival in Wartime Iraq. Oxford University Press.

Halbwachs, M. (1992). On Collective Memory, Lewis A. Coser (Translated). The University of Chicago Press.

Nora, P. (1989). Between Memory and History. Representation, No.26. 7-24.


1  ผู้ที่สนใจภาพยนตร์เรื่องนี้ สามารถหาชมได้ใน YouTube เช่น https://www.youtube.com/watch?v=IKqXu-5jw60

2  พบเห็นได้ทั่วไปตามความคิดเห็นใน Facebook, YouTube, TikTok และอื่น ๆ

3  ในประเทศไทย อาจนึกถึงสมัยสงครามเย็น กรณีเหตุการณ์ความรุนแรง ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรนับจากนั้น ? ทำไมการสืบหาข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ถึงไม่เคยชัดเจน ? ถึงแม้จะมีการกล่าวอ้างว่าสังคมได้รับบทเรียน แต่ทำไมการกำจัดผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมืองในปัจจุบัน ยังได้รับการสนับสนุนจากผู้คนหลายฝ่ายอยู่ ? ล้วนเป็นตัวอย่างคำถามที่คนในสังคมไม่ต้องการจะตอบ หรือถึงจะตอบก็เป็นเสียงที่จำกัดอยู่ในแวดวงวิชาการ สิ่งที่เหลืออยู่คงมีแต่งานรำลึกประจำปี


ผู้เขียน
ธนวัฒน์ รุ่งเรืองตันติสุข
นักวิจัย  ฝ่ายวิจัยและส่งเสริมวิชาการ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)


 

ป้ายกำกับ สงคราม เสียง ธนวัฒน์ รุ่งเรืองตันติสุข

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Share
Facebook Messenger Icon คลิกที่นี่เพื่อสนทนา