ศมส. อบรมเชิงปฏิบัติการ “เครื่องมือวิถีชุมชน 7 ชิ้น” และเรียนรู้ชุมชนบาราโหม จังหวัดปัตตานี
วันที่ 13-15 กันยายน 2565 ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) (ศมส.) จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเครื่องมือวิถีชุมชน 7 ชิ้น ให้กับเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น คลังข้อมูลชุมชน และองค์การบริหารส่วนตำบล จังหวัดภาคใต้ณ โรงแรมริเวอร์ปัตตานี อ.เมือง จังหวัดปัตตานี เพื่อเฟ้นหาจุดแข็งของชุมชน ให้ชุมชนมีศักยภาพเพราะเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อน ของตนเองและสามารถนำจุดแข็งมาเป็นทุนเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนทำงานต่อเนื่องไปได้ในอนาคต ด้วยเครื่องมือวิถีชุมชน 7 ชิ้น เรียนรู้วิถีชุมชน ทำให้งานชุมชนง่าย ได้ผล และสนุก ซึ่งเครื่องมือ 7 ชิ้น ช่วยให้เราเข้าใจมิติต่าง ๆ ของชุมชนที่เชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็น มองเห็นศักยภาพชุมชนแทนที่จะให้แต่ปัญหา เห็นความเชื่อมโยงของปัจจัยต่าง ๆ แทนที่จะมองอย่างแยกเป็นส่วน ๆ เช่น อาชีพ โอกาสทางเศรษฐกิจ ฐานะทางครอบครัว เห็นเครือข่ายความสัมพันธ์ในชุมชน ตลอดจนเห็นความแตกต่างหลากหลายและลักษณะเฉพาะของชุมชน เช่น ประวัติศาสตร์ชุมชน ผังเครือญาติ ประเพณีท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้าน ที่มีอัตลักษณ์ไม่เหมือนใครทำให้เกิดความภาคภูมิใจของคนในชุมชน
การอบรมครั้งนี้นำโดย ดร.นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการ ศมส. นักวิชาการ นักวิจัย รวมถึงทีมพัฒนาเกมเครื่องมือเจ็ดชิ้นได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้พาผู้เข้าร่วมอบรมทำความรู้จักมักคุ้นกับเครื่องมือวิถีชุมชน 7 ชิ้น ประกอบด้วย
1. แผนที่เดินดิน เปรียบเสมือนบันไดขั้นแรกของการรู้จักโลกของชุมชน สร้างความคุ้นเคยกับคนในชุมชนได้ดี สามารถใช้จดบันทึกข้อมูลทางสังคมความสัมพันธ์ของคนในชุมชน รวมทั้งพื้นที่ทางสังคมต่าง ๆ แผนที่นั่งโต๊ะช่วยหาตำแหน่งที่ตั้ง แผนที่เดินดินช่วยให้เข้าใจระบบสังคม โดยมีวิธีการคือ เดินสำรวจด้วยกันให้ทั่วชุมชน สังเกตสิ่งที่เราอาจไม่เคยสนใจ สอบถาม ทักทาย พูดคุย เห็นพื้นที่ทางกายภาพ เข้าใจพื้นที่ทางสังคม ประวัติ เรื่องราว คน สิ่งของ การเปลี่ยนแปลง ขอบเขตของชุมชนอาจขยายไปสู่พื้นที่ภายนอกได้ หรือโน้ตไว้ได้ว่ามีความเชื่อมโยงกับชุมชนของเราอย่างไร
2. ผังเครือญาติ เป็นบันไดเชื่อมจากโลกทางกายภาพ สู่โลกทางสังคม “เครือญาติมีสายเลือดและสายดอง” เป็นการเขียนสาแหรกตระกูล ในทุก ๆ ชุมชนจะมีการเรียกเครือญาติที่มีลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรม โดยใช้สัญลักษณืแทนตัวคนและแสดงความสัมพันธ์ทางสายเลือดและการแต่งงาน ช่วยให้ความสัมพันธ์ของชุมชนผ่านครอบครัว มีประโยชน์หลายประการ อาทิ เป็นแผนผังง่ายต่อการเข้าใจความสัมพันธ์ นำมาแก้ปัญหาในชุมชนได้จากการเห็นความสัมพันธ์ทางสังคม จากนั้นได้ให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้ทำแบบฝึกหัดสัมภาษณ์เพื่อลองทำผังเครือญาติ
"จากการทดลองทำแบบฝึกหัดมีผู้เข้าร่วมอบรมสะท้อนถึงการไม่ชำนาญถึงระบบสัญลักษณ์ตัวคนของผังเครือญาติทำให้เกิดความกังวลในเรื่องระบบสัญลักษณ์อาจเป็นอุปสรรคในการสอบถามข้อมูลทางวัฒนธรรมอื่น ๆ ซึ่งมีผู้สะท้อนประเด็นนี้เพิ่มเติมว่า หากเราคุ้นชินกับสัญลักษณ์ตัวคนในผังเครือญาติแล้ว จะทำให้การสำรวจข้อมูลรวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้นไม่เสียเวลา และยังได้ข้อมูลครบถ้วน”
หัวใจสำคัญของการเก็บข้อมูลผังเครือญาติไม่ควรเก็บข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อน ได้แก่ เรื่องการเมือง และเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ หรือเรื่องข้ามเพศ เป็นต้น ต้องเคารพในข้อมูล โดยเฉพาะในบริบทของชุมชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อาจมีความละเอียดอ่อนเรื่องการเมือง
3. องค์กรชุมชน ในชุมชนมีระบบความสัมพันธ์หลากหลายองค์กรชุมชนมีทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ องค์กรชุมชนเป็นศักยภาพและทุนที่สำคัญในการแก้ปัญหาชุมชน หมายถึง กลุ่มคนที่มารวมตัวกันเพื่อวัตถุประสงค์ร่วม มีสมาชิกที่แน่นอน มีการจัดการและรวมตัวกันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานระดับหนึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นปีก็ได้ โครงสร้างองค์กรชุมชนเป็นเครื่องมือที่ทำให้เข้าใจระบบความสัมพันธ์ทางสังคมในชุมชน เชื่อมโยงเป็นเครือข่าย เช่น ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ สังคม ความสนใจ ศาสนา ความเชื่อ หรือการเมือง การวิเคราะห์โครงสร้างองค์กรชุมชนช่วยให้เห็นศักยภาพชุมชนจากการรวมตัวกัน
จากนั้นได้ร่วมกันทำแบบฝึกหัดจากเรื่องราวสมมติเพื่อให้เข้าใจการทำโครงสร้างองค์กรมากขึ้นก่อนเข้าชุมชน ซึ่งแบบฝึกหัดนี้ทำให้รู้ว่าแม้เป็นเรื่องราวองค์กรชุมชนเดียวกัน การเขียนโครงสร้างองค์กรชุมชนก็ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความเข้าใจส่วนบุคคล และข้อมูลชุดนี้จะเป็นร่างแรกเพื่อนำไปจัดข้อมูลใหม่ให้เป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น
มีเสียงสะท้อน “ว่าการเขียนโครงสร้างองค์กรชุมชนสะดวกรวดเร็วในการอ่าน ในการอธิบาย เพราะทำออกมาเป็น Mapping ได้ทันที ข้อมูลมีความหลายกลุ่ม แต่หากอ่านข้อมูลไปเรื่อยเรื่อย หากเราเข้าใจแนวคิดจะง่าย แต่หากยังไม่มีความเข้าใจจะเกิดความสับสนเล็กน้อย เมื่อลงมือทำแล้วหยุดไม่ลง ต้องทำให้จบทุกโครงสร้างองค์กรชุมชนให้ได้ และต้องมีการปรึกษาหารือกันภายในกลุ่ม”
กล่าวโดยสรุปการวิเคราะห์โครงสร้างองค์กรชุมชน มีสามส่วนคือ 1) เห็นตัวละคร (บุคคล) 2) เห็นกลุ่ม 3) เมื่อเชื่อมโยงกันแล้วจะเกิดเป็นเครือข่าย
4. ระบบสุขภาพชุมชน ช่วยให้เห็นปัญหาสุขภาพและการรักษาในชุมชน ให้เห็นคติความเชื่อในการรักษาตามวัฒนธรรมสุขภาพที่มีความหลากหลาย เช่น สมุนไพร การนวด การอยู่ไฟ อาหารท้องถิ่น หมอประเภทต่าง ๆ แล้วนำมาเขียนเป็นผังความคิดโดยไม่ตัดสินว่าอะไรดีไม่ดี ยกตัวอย่างเช่นเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นอาจจะไม่ได้มุ่งไปที่ระบบสุขภาพชุมชน ก็สามารถปรับเป็นผังความคิดข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน และได้ชวนผู้ร่วมอบรมระดมความคิดระบบสุขภาพในชุมชนขึ้น เช่น หมอเป่า ช่วยรักษาเด็กที่ร้องไห้เก่งโดยเป่าตามคัมภีร์, การวาดลวดลายเรือกอและในชุมชนซึ่งเป็นศิลปะพื้นถิ่นที่สำคัญ, การนวดแผนไทยและกลุ่มอาชีพทำลูกประคบสบู่สมุนไพร ยาสมุนไพร และปราชญ์ชาวบ้านด้านครูโนราห์ หมองู หมอสะเดาะเคราะห์ เป็นต้น กล่าวโดยสรุปคือหากเราเห็นอะไรที่น่าสนใจในชุมชนสามารถจดบันทึกไว้ได้โดยยังไม่ต้องวิเคราะห์หรือจัดหมวดหมู่ แต่หัวใจสำคัญคือต้องประกอบด้วย 1) ของ 2) คน 3) อยู่ที่ไหน 4) เวลา
5. ปฏิทินชุมชน ช่วยให้เข้าใจช่วงเวลาของกิจกรรมหรือเหตุการณ์ชุมชนที่เกิดขึ้นในรอบปี รอบเดือน หรือช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ทำให้เข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมีบริบทของเวลาในวิถีชีวิตชุมชน ทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น ปฏิทินการประกอบอาชีพและกิจกรรมทางวัฒนธรรม เช่น อาชีพของคนบ้านเรา อาชีพของคนบ้านเราแต่ไปทำงานที่อื่น หรือคนบ้านอื่นมาทำงานที่บ้านเรา เพื่อมาทำแผนของชุมชน เช่น ที่นครศรีธรรมราชมีเทศกาลสาทรเดือน 10 ที่จะเกี่ยวพันกับความเชื่ออาชีพการทำขนมสำรับ ผังความคิด ผังความเชื่อ ผังภูมิปัญญาในประเพณีสาทรเดือน 10 จะเห็นความเชื่อมโยงของเครื่องมือต่าง ๆ ทั้ง 7 ชิ้นได้
6. ประวัติศาสตร์ชุมชน สำคัญสำหรับการทำงานด้านพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ประสบการณ์และความทรงจำของชุมชนบางเรื่องอาจไม่มีการบันทึกก็ได้แต่มีความหมายต่อท้องถิ่น อาทิ เศรษฐกิจ (การเข้ามาของธุรกิจการค้า พืชเศรษฐกิจ การค้า แรงสี คมนาคม สมาคมการค้า หอการค้า กลุ่มธุรกิจ), สังคม (การศึกษา ชีวิตสาธารณะ สมาคม การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ประเพณี อาหารการกิน การแต่งกาย วัฒนธรรมใหม่ๆ), การเมือง (การเลือกตั้ง ความขัดแย้ง), สาธารณสุข (โรคภัย, การแพทย์)
7. ประวัติชีวิต เรียนรู้ประสบการณ์เข้าใจชีวิตและความเป็นมนุษย์ เช่น ผู้นำทางศาสนา นักการเมืองท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้าน โดยมีวิธีการสำคัญคือ 1) เริ่มด้วยการชื่นชมเพื่อให้ควาสัมพันธ์เป็นเชิงบวก 2) คุยเรื่องที่เขาเก่งเพื่อให้เขาเป็นผู้บอกว่าอะไรถูกผิดเพื่อให้เขามีอำนาจและรู้สึกว่าไม่ถูกคุกคาม 3) ให้ถามเรื่องผังเครือญาติถ้าไม่มีเรื่องจะคุยเพื่อให้เห็นตัวละครเพิ่มขึ้น
จากนั้น ได้แนะนำวิกิชุมชน แพลตฟอร์มเพื่อการเก็บและจัดการข้อมูลชุมชน โดยมีชุดเครื่องมือ 7 ชิ้น อยู่ในแพลตฟอร์มวิกิชุมชนอย่างสะดวก และ ศมส. จะเป็นผู้เก็บข้อมูลจากแต่ละชุมชนที่เก็บข้อมูลเข้ามาในระบบ โดยชุมชนจะสามารถสร้างชุมชนย่อย ๆ ของตนเองขึ้นมาได้ และก็สามารถเลือกข้อมูลขึ้นมานำเสนอได้ ซึ่ง ศมส. จะคำนึงถึงการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการข้อมูลของตนเอง และจะคำนึงถึงสิทธิ์ในการเปิดเผยข้อมูลของชุมชนเอง ศมส. คาดหวังว่าแพลตฟอร์มนี้จะคงความน่าเชื่อถือของระบบและคุณภาพของข้อมูลที่มาจากชุมชน การจัดการข้อมูลมีทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ระบบเดินสำรวจ โดยเก็บข้อมูลผ่าน Cultural Data Kit (CDK) ที่กำลังพัฒนาให้ใช้งานบนโทรศัพท์มือถือได้
เครือข่ายได้ร่วมสะท้อนความคิดเห็นจากการเรียนรู้เรื่องเครื่องมือ 7 ชิ้น อาทิ สำหรับคนที่เคยทำมาแล้วก็คือการได้ทบทวนวิธีการเก็บข้อมูลโดยเครื่องมือทางมานุษยวิทยาอย่างง่าย สำหรับคนที่ไม่เคยมาก่อนเมื่อได้เรียนรู้แล้วก็รู้สึกว่าง่ายและเข้าใจดี และขอให้ใช้ทุนของตนเองในการเข้าไปเรียนรู้ชุมชน การได้เรียนรู้มิติของสังคมในเครื่องมือเจ็ดชิ้นเป็นหลักในการนำไปใช้ร่วมกันในเครือข่าย หลังจากเรียนรู้เรื่องเครื่องมือวิถีชุมชนเจ็ดชิ้นแล้ว ได้นำผู้เข้าอบรมเล่นเกมเครื่องมือ 7 ชิ้น เพื่อทดลองทำความเข้าใจชุมชนให้มากยิ่งขึ้นในแบบจำลอง เพื่อให้การเข้าพื้นที่เรียนรู้ชุมชนบาราโหมในวันรุ่งขึ้นไม่ติดขัดมากนัก
จากนั้นในวันที่ 14 กันยายน 2565 หลังจากที่เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น คลังข้อมูลชุมชน และองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดภาคใต้ ได้ทำความรู้จักมักคุ้นกับ "เครื่องมือวิถีชุมชน 7 ชิ้น" แล้วในการอบรมและเล่นเกมเครื่องมือ 7 ชิ้น จำลองการศึกษาชุมชนก่อนจะเข้าไปเรียนรู้ชุมชนจริง เพื่อให้เห็นแนวทางการนำเครื่องมือไปใช้ทำความรู้จักชุมชน ดร.นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการ ศมส. ได้นำทีม นักวิชาการ นักวิจัย รวมถึงทีมพัฒนาเกมเครื่องมือเจ็ดชิ้น เข้าไปยังชุมชนบาราโหม อ.เมือง จ.ปัตตานี เพื่อฝึกการศึกษาภาคสนามในชุมชนที่เต็มไปด้วยร่องรอยทางประวัติศาสตร์ และการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างมีศักยภาพ
"การอบรมเครื่องมือวิถีชุมชน 7 ชิ้น ครั้งนี้สำคัญอย่างมากที่ช่วยให้ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชน ทำให้เห็นแนวทางในการนำเครื่องมือไปจัดการและจัดทำระเบียนวัตถุโบราณ เพื่อให้ชาวบ้านที่จะมาบริจาคข้าวของเพื่อจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์เกิดความไว้วางใจ กล้าที่จะมอบของให้ พร้อมทั้งจะกลับไปเรียนรู้ชุมชนตนเองให้สมบูรณ์ที่สุด และนำข้อมูลเครื่องมือ 7 ชิ้น ไปจัดแสดงร่วมกับข้าวของในพิพิธภัณฑ์ด้วย"
ผู้ช่วยภัณฑารักษ์ พิพิธภัณฑ์เจ้าเมืองยาลอ จ.ยะลา สะท้อนถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้และความประทับใจที่ได้จากการเข้าไปเรียนรู้ชุมชนบาลาโหม และการนำไปต่อยอดชุมชนบ้านเกิด
สอดคล้องกับ นักวิชาการการศึกษา ที่สะท้อนว่า
"การอบรมครั้งนี้เป็นมากกว่าการอบรมหรือ work shop ที่เคยได้เข้าร่วมที่ผ่าน ๆ มา เพราะมีการเข้าพื้นที่และสัมผัสชุมชนโดยตรง ได้เจอแนวคิดใหม่ ได้พบข้าวของโบราณที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งจะนำไปต่อยอดงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดการชุมชนที่มีความเป็นพหุวัฒนธรรมที่อยู่ด้วยกันทั้งไทยพุทธ มุสลิม และจีน"
และอีกหลาย ๆ กลุ่มที่ได้ใช้เครื่องมือ 7 ชิ้น ในการเข้าไปเรียนรู้ประวัติชีวิตคนเขียนตำราโบราณ หมอพื้นบ้านและสมุนไพรพื้นบ้าน ช่างแกะสลักไม้โบราณ ช่างทำกระต่ายขูดมะพร้าวโบราณ ช่างทำว่าววงเดือนและเรือกอและจิ๋ว ชุมชนไทยพุทธ-มุสลิม อดีตแพทย์ประจำชุมชน การทำน้ำตาลแว่น สุสานพญาอินทิรา ได้ทำความรู้ส่วนตัวให้กลายเป็นความรู้สาธารณะ โดยใช้ diagram ที่เข้าใจร่วมกัน ได้เห็นความภาคภูมิใจของผู้ให้ข้อมูล จากการนำเครื่องมือประวัติชีวิต ไปเก็บข้อมูล ซึ่งเป็นความน่าตื้นตันใจของผู้ลงพื้นที่ด้วย เห็นถึงโครงสร้างองค์กรชุมชนที่เข้มแข็งได้เป็นข้อเด่นของชุมชนบ้านดี ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เช่น การอยู่ร่วมกันของชาวไทยพุทธและไทยมุสลิม ที่อยู่ร่วมกันได้แบบช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีวัดและมัสยิด และเจ้าอาวาสสื่อสารโดยใช้ภาษามลายูได้
แนวทางต่อไปที่ทางเครือข่ายได้หารือร่วมกันคือการนำเครื่องมือวิถีชุมชน 7 ชิ้น ไปเป็นเครื่องมือในการทำงานแบบบูรณาการเครือข่ายการทำงาน ให้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปสู่สังคมที่สงบสุขด้วยมิติทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งหากทางเครือข่ายต้องการนำข้อมูลชุมชนมาจัดเก็บไว้ในวิกิชุมชนที่ ศมส. กำลังพัฒนาขึ้นทาง ศมส. ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะอำนวยความสะดวกภายใต้แนวคิดการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการข้อมูลชุมชน ที่คำนึงถึงสิทธิ์ในการเปิดเผยข้อมูลของชุมชนเอง คงความน่าเชื่อถือของระบบและคุณภาพของข้อมูลที่มาจากชุมชนอย่างแท้จริง
ฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)