ศมส. ร่วมกินข้าวใหม่กะเหรี่ยงโผล่ง “อั่งบึ่งซั่ง”

 |  ข่าวประชาสัมพันธ์
ผู้เข้าชม : 999

ศมส. ร่วมกินข้าวใหม่กะเหรี่ยงโผล่ง “อั่งบึ่งซั่ง”

           “เมื่อก่อนกะเหรี่ยงโผล่ง จะทำพิธีกินข้าวใหม่ในครอบครัว แล้วแต่ช่วงเวลาที่แต่ละครอบครัวจะเก็บเกี่ยวข้าวใหม่ได้ ซึ่งไม่พร้อมกัน แต่ในปัจจุบัน ชุมชนกะเหรี่ยงบางกะม่า อยากให้ลูกหลานได้เรียนรู้ภูมิปัญญาในการกินข้าวใหม่ รวมถึงอยากให้คนในชุมชนมีความสัมพันธ์และมีส่วนร่วมกันมากขึ้น จึงจัดพิธีกินข้าวใหม่ในชุมชน ทุกคนต่างนำข้าวใหม่และผลผลิตแรกในไร่หมุนเวียนมารวมกัน ช่วยกันจัดงานขึ้นมา ถือเป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้สนใจต่างวัฒนธรรม ต่างชุมชน มาร่วมกินข้าวใหม่ด้วยกัน”

           การกินข้าวใหม่ หรือทำบุญข้าวใหม่ ของกะเหรี่ยงโผล่ง บ้านบางกะม่า อ.บ้านคา จ.ราชบุรี เกิดจากการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนที่อยากรักษาภูมิปัญญา วิถีชีวิต วัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ โดยสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมของโลกปัจจุบันด้วย เดิมทีชาวกะเหรียงจะ “กินข้าวห่อ” ในช่วงแรกเริ่มเก็บเกี่ยวข้าวจากไร่หมุนเวียน แต่อาจไม่เกิดขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน บางครอบครัวทำพิธีอย่างละเอียดทุกขั้นตอน บางครอบครัวทำเท่าที่รู้ และบางครอบครัวไม่ทำเลยเพราะไม่ได้ปลูกข้าวหรือปลูกข้าวน้อยลง

           จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป เกิดการเดินทางแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมง่ายขึ้น ชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกะม่า ได้เห็นชุมชนกะเหรี่ยงอื่นๆ ทำพิธีกินข้าวใหม่ร่วมกันแล้วเห็นถึงพลังของการมีส่วนร่วม จึงนำมาต่อยอดในชุมชนตนเอง เพื่อส่งต่อสืบทอดไม่ให้วิถีภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมการกินข้าวใหม่สูญหายไป ต่อมาจึงได้เปิดพื้นที่ให้ผู้คนต่างชุมชน ต่างวัฒนธรรม เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนด้วย โดยถือเป็นการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน องค์กรรัฐ องค์กรชุมชน และภาคประชาชนอย่างแท้จริง

อภินันท์ ธรรมเสนา นักวิชาการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ผู้ดูแลโครงการสนับสนุนกระบวนการฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ได้ร่วมพิธีกินข้าวใหม่กะเหรี่ยงบ้านบางกะม่า และได้แลกเปลี่ยนการส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ ศมส. ได้ผลักดัน พรบ. ส่งเสริมและคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ อย่างต่อเนื่อง กลุ่มชาติพันธุ์เป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ ต้องให้การส่งเสริมอย่างมีศักดิ์ศรี

ทำไมเราต้องให้ความสำคัญกับชาติพันธุ์

           1. เพราะกลุ่มชาติพันธุ์มีความรู้ มีภูมิปปัญญาทางวัฒนธรรม ที่เป็นมรดกของชาติ (เป็นของมีค่า ส่งต่อได้)

           2. เพราะกลุ่มชาติพันธุ์มักโดนดูถูกเหยียดหยาม ดูหมิ่นความเชื่อว่าไม่มีเหตุผล ซึ่งแท้จริงแล้วความเชื่อที่ว่านั้น คือความรู้ และให้กลุ่มชาติพันธุ์มีความภูมิใจในความรู้นี้

           3. เพราะกลุ่มชาติพันธุ์มีศักยภาพ มีพลัง มีความคิด มีทุนทางวัฒนธรรมที่จะพัฒนาประเทศได้ ถ้าสังคมไม่ให้ความสำคัญกับกลุ่มชาติพันธุ์ก็จะเสียความรู้ ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมไป

เห็นอะไรในพิธีกินข้าวใหม่ของชุมชนกะเหรี่ยงบ้านบางกะม่า

           1. การแบ่งบทบาทหน้าที่และการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก ผู้เฒ่าผู้แก่ ที่มีหน้าที่ชัดเจน กลายเป็นกระบวนการมีส่วนร่วที่แต่ละคนมีบทบาทหน้าที่ปตกต่างกัน เป็นพื้นที่ในการจัดการชุมชน เกิดการสำรวจทุนชุมชนที่นำมาอยู่ในพื้นที่ของพิธีนี้

           2. ชุมชนเข้มแข็ง มองเห็นความภูมิใจในศักดิ์ศรีของตน มีศักยภาพ มีความเชื่อมั่น มีการระดมทุนได้มากทั้งทุนทางความรู้ ทุนทางเครือข่าย และทุนทางวัฒนธรรม มีการบริหารจัดการที่ดีทั้งพาหนะที่จะนำคนขึ้นมาร่วมพิธีในพื้นที่ ระบบการจัดการไฟจากโซลาเซลล์ที่มีจำนวนจำกัด ระบบการจัดการน้ำดดื่มน้ำใช้ให้เพียงพอต่อผู้มาร่วมงาน สุดท้ายแล้วมองเห็นพื้นที่ที่พร้อมและเหมาะสมในการจัดพิธี

           3. การเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ ที่ได้เรียนรู้วิธีการปลูกข้าว หยอดข้าว เมล็ดพันธุ์ต่างๆ ที่หลากหลาย การฟาดข้าว จนได้เมล็ดข้าวเปลือกในการประกอบพิธีกินข้าวใหม่ในวันนี้ ว่ากว่าจะได้กินข้าวต้องลำบากต้องเหนื่อยยากแค่ไหน ทำให้เห็นคุณค่าและความสำคัญของข้าว

           “เมื่อใดที่ยังมีพันธุ์ข้าวในไร่หมุนเวียน คนกะเหรี่ยงจะไม่สูญหาย มีการแบ่งปัน ขยายพันธุ์ข้าวและพันธุ์พืชในไร่ให้แก่กันและกัน”

           คือเหตุผลว่าทำไมถึงทำบุญกินข้าวใหม่ร่วมกัน นอกจากการรักษาและสืบทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมให้คงอยู่แล้ว พิธีกินข้าวใหม่ยังเป็นการสำรวจเครื่องไม้เครื่องมือในการทำไร่หมุนเวียนว่ายังคงสภาพที่ใช้งานได้ดีหรือไม่ พร้อมไหมในการปลูกข้าวในปีต่อๆไป ถือเป็นภูมิปัญญาอีกอย่างหนึ่ง

           “ข้าวมีจิตวิญญาณมีชีวิต จึงต้องมีการเรียกขวัญข้าว เรามาวันนี้เพื่อฟื้นพันธะสัญญาระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์ เราเป็นตัวแทนของคนที่อยู่กับธรรมชาติที่หล่อเลี้ยงเรา เพื่อจะกลับไปยังธรรมชาติอีกครั้ง”

           ในพิธีกินข้าวใหม่ จะแบ่งกระบวนการเป็น 2 ช่วงเวลาที่สำคัญ ช่วงแรกในคืนที่ชาวบ้านได้เก็บเกี่ยวข้าวใหม่ของแต่ละบ้าน ทั้งหมดในชุมชนจะนำข้าวใหม่และเมล็ดพันธุ์พืชในไร่หมุนเวียนมารวมกันที่ลานพิธีกลาง มีการบอกกล่าวแม่โพสพ และผู้มีพระคุณว่าจะมาขอขมาแม่โพสพในวันรุ่งขึ้น ให้แม่โพสพแต่งกายให้สวยเพื่อเตรียมรับการขอขมา บทบาทสำคัญในพิธีบอกกล่าวนี้จะเป็นของผู้หญิง ให้คุณค่ากับผู้หญิงที่อยู่หลังบ้านโดยการจุดเทียนบอกกล่าว และมีการแสดงของคนในชุมชน ในที่นี่มีทั้งชาวกะเหรี่ยงโผล่ง และชาวมอญ ที่อยู่พื้นที่ใกล้เคียงมาร่วมพิธีด้วย

           เมื่อทำการบอกกล่าวแม่โพสพแล้วในช่วงกลางคืน รุ่งเช้าของอีกวันจะเริ่มทำพิธีขอขมาแม่โพสพ เป็นการขออมาครั้งสุดท้ายของการผลิตในระบบไร่หมุนเวียนก่อนที่แม่โพสพจะขึ้นไปบนสวรรค์ ชาวกะเหรี่ยงโผล่งถือว่าแม่โพสพคือเทวดาผู้หญิงหรือเทวดาของแม่ ที่เสียสละตนเองมาเป็นข้าวที่ต้องผ่านความเจ็บปวดในการเป็นเมล็ดข้าวเปลือกเพื่อให้ได้ข้าว เจ็บปวดจากการโดดเคียวเกี่ยวฉีกเป็นชิ้นๆ เจ็บปวดจากการโดนขัดสี และเจ็บปวดจากการนำไปหุ่ง ต้ม เพื่อให้คนได้กินข้าว สัตว์ได้กินรำ ดังนั้นน้ำนมข้าวจึงเปรียบเสมือนเลือดของแม่โพสพ ในพิธีกินข้าวใหม่นี้ผู้หญิงยังมีบทบาทสำคัญในการขอขมา และมีผู้นำทางจิตวิญญาณของชุมชนเป็นผู้ทำพิธี เมื่อสิ้นสุดการขอขมาแล้ว ผู้ร่วมพิธีทุกคนได้กินข้าวใหม่ด้วยกัน ทั้งผู้อาวุโส ผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และผู้มาเยือน อาหารจะมีทั้งแกงหน่อไม้ แกงหอย แกงเผือก ผักจากไร่หมุนเวียน และข้าวหลามที่เผาเพื่อประกอบพิธีให้แม่โพสพและให้คนได้กินด้วย

 

Share
Facebook Messenger Icon คลิกที่นี่เพื่อสนทนา