ตามล่าหาจระเข้ตาเดียวที่หายไปในแม่น้ำหมัน

 |  ศิลปะ ผัสสะ และสุนทรียภาพ
ผู้เข้าชม : 3454

ตามล่าหาจระเข้ตาเดียวที่หายไปในแม่น้ำหมัน

           มีแต่คนบ้าที่คิดแบบนี้ ผมเดินลงส้นเท้าออกไปยืนสงบใจนอกบ้าน ไม่มีใครดื้อรั้นเท่าพ่ออีกแล้ว ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนขนาดป่วยนอนซมอยู่หลายเดือน ร่างกายผ่ายผอมขดตัวราวแมวโซอยู่บนเตียง ไม่ยอมกินข้าวกินปลา บ่นว่าปวดท้อง ญาติพี่น้องเอ่ยปากว่าจะพาไปหาหมอในโรงพยาบาลประจำอำเภอแต่พ่อกลับส่ายหัวไม่รับรู้โลกภายนอกใด ๆ ทั้งสิ้น พ่อต้องการเพียงเลือดจระเข้

ผมจึงต้องกลับมาดูแลพ่อซึ่งเป็นคนประหลาด แม่เคยพูดอย่างนั้น ขนาดคนในหมู่บ้านยังไม่มีใครอยากคบกับพ่อเลย อาจเป็นเพราะพ่อเป็นสายลับของทหารบุกรังของคอมมิวนิสต์ในเขตจัดตั้งอำเภอนาแห้วแตกกระเจิง ใครจะชอบขี้หน้าพ่อได้ในเมื่อบรรพบุรุษของคนในแถบนี้ต้องสูญเสียชีวิต ฝังจมอยู่ตามเนินเขาแบบไร้ญาติ

           พ่อเคยหล่นลงไปในหลุมกับดักของพวกทหารป่า ไม้แหลมเจาะทะลุตรงพุงบาดเจ็บสาหัส ร้องโอดโอยระงมป่า เสียงนกแสกขานรับกันเป็นทอด ๆ มีดวงไฟลุกโพลงโชติช่วง พ่ออาการหลอนร้องสุดเสียง มือไขว่คว้าต่อสู้กับผีกระสือกำลังจะเข้ามาตามกลิ่นเลือด พอดีแม่เป็นสหายเข้ามาพบหมายสังหารกลบดินฝั่งร่างนั้น แต่เกิดเปลี่ยนใจไหว้วานให้เพื่อนสหายแบกร่างนำมาวางไว้ชายน้ำหมัน ปล่อยให้เป็นเหยื่อของสิงสาราสัตว์ก็แล้วแต่บุญกรรมนำแต่งเอาเองเถิด

           พ่อรอดชีวิตมาได้ พวกทหารไปพบในยามรุ่งสางพาไปส่งโรงพยาบาล แผลเป็นปูดโปนเต็มตัว พ่อมักเล่าให้ใครต่อใครฟังว่าเป็นวีรกรรมการต่อสู้ด้วยมือเปล่ากับจระเข้ดุออกมาจากถ้ำใต้น้ำไล่ฆ่าคน พ่อต้องใช้วิชาอาคมปราบมัน รอยแผลเป็นเกิดจากรอยฟันแหลมคมของจระเข้ เสียงของพ่อจะเงียบสนิทเมื่อเห็นแม่เดินเข้ามาใกล้ เหมือนสุ้มเสียงถูกดูดมลายกลายเป็นหมอกหนาปกคลุมบ้านริมน้ำของเรา พ่อคงอายที่เล่าจินตนาการเกินจริงในวงเหล้าต่อหน้าแม่ ส่วนแม่สรุปความเพี้ยนของพ่อว่าเป็นเพราะความผิดของแม่เองที่สร้างหลุมพรางครั้งแรก ไม่คิดว่าจะได้ผลชะงัดนัก อาจทำให้ลบความจำของพ่อได้ถึงเพียงนี้ หลังมีประกาศคำสั่งที่ 66/2523 ให้คอมมิวนิสต์ออกจากป่ากลับคืนมาสู่เมืองเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย สมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี แม่ก็ได้พบกับพ่ออีกครั้งในงานล้างพระธาตุศรีสองรัก

           ในงานแม่ต้องหาบน้ำจากลำน้ำหมันที่ไหลคดโค้งรอบวัด เพื่อจะหาบไปยื่นให้ผู้ชายนำไปล้างพระธาตุอีกทอดหนึ่ง ตามกฎที่ยึดมายาวนานผู้หญิงมีสิทธิเข้าไปได้แค่ฐานเจดีย์เท่านั้น งานบุญใหญ่แม่แต่งตัวเต็มยศ เสื้อผ้าทอมือหลังฤดูทำนา เสียงปลากระโดดฮุบเหยื่อ นกกินปลาปากสีแดงตัวน้ำเงินโฉบมากินปลาอีกทอดหนึ่ง แม่ค่อย ๆ ก้มใช้ถังจ้วงตักน้ำใสไหลแรง ก้อนดินชายฝั่งทรุดตัว ร่างของแม่ลื่นไถลตกลงไปในแม่น้ำ เสียงของแม่กรีดร้องให้คนช่วย เสียงตู้มมีคนกระโดดน้ำตามเป็นร่างของพ่อที่ดำผุดว่ายราวกับเป็นจระเข้เข้าไปลากร่างของแม่เข้ามาถึงฝั่งได้อย่างปลอดภัย

           เมื่อหัวใจของแม่ได้แนบชิดกับรอยแผลเป็นของพ่อ มันเต้นผสานกลายเป็นเนื้อเดียวกัน เหมือนเลือดไหลเวียนถ่ายเทเข้าไปร่างของกันและกัน อาการร้อนผ่าวไปทั้งร่างดังมีประกายไฟวิ่งผ่าน หากใครแหงนมองตรงชายน้ำจะเห็นฝูงผีเสื้อบินเป็นวงกลม เสียงปลากระโดดดังจ๋อม ๆ เป็นเพลงเห่กล่อม เนิ่นนานกว่าพ่อจะคลายอ้อมกอดวางร่างแม่ไว้ตรงโคนต้นไม้

           แม่จึงหนีตามไปอยู่กับพ่อในคืนวันเพ็ญ นัดหมายตรงหน้ารั้วพระธาตุ แล้วก้มกราบว่าจะครองรักกัน สิ้นเสียงคำอธิษฐาน ฟ้าคำรามตอบรับ คล้ายเสียงวิญญาณผีผัวเมียที่สร้างตำนานอุทิศร่างเฝ้าพระธาตุเป็นสักขีพยาน

           หลังจากนั้นพ่อต้องไปทำพิธีขอขมาเซ่นผีบ้านผีเรือนในยามบ่าย ด้วยหัวหมู 1 หัวและไก่ 7 ตัว ขนมต้มแดง หมากพลู ดอกไม้ธูปเทียนและผ้าขาวม้า และสไบขาวแล้วต้องเลยไปฝากตัวเป็นลูกผึ้งลูกเทียนกับเจ้าพ่อกวนที่หอน้อยเป็นอันเสร็จพิธี พ่อพาแม่ไปอยู่บ้านตนเองชายน้ำหมัน ทำไร่นาบนเชิงเขา เวลาว่างพ่อจะดำผุดดำว่ายไล่จับปลาไม่เกรงกลัวตำนานจระเข้ใต้เมืองบาดาลแต่อย่างใด

           ผมเกิดในปีที่ปฏิทินโหรทำนายว่าปีนั้นมีนางสงกรานต์ชื่อนางทุงสะเทวี ทรงพาหุรัด ทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราช (ทับทิม) ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จนั่งมาเหนือหลังครุฑเป็นพาหนะเกณฑ์พิรุณศาสตร์ อาทิตย์เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 400 ห่าตกในเขาจักรวาล 160 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 120 ห่า ตกในมหาสมุทร 80 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 40 ห่า

           หรือฝนฟ้าจะท้าทายคำทำนาย แม่ปวดท้องในวันพายุหอบเอาลมฝนมากลบเสียงหวีดร้องของแม่ ต้นไม้ล้มระเนระนาด พ่อพนมมืออธิษฐานขอให้เจ้าพ่อกวนปกปักรักษา แล้วผมก็คลอดด้วยฝีมือของพ่อก่อนที่หมอตำแยจะมาถึง

           ปีต่อมาหลังจากพ่อเลิกเหล้ายาพาผมไปถวายตัวเป็นลูกผึ้งลูกเทียน พ่อก็ได้รับการเสนอชื่อเสี่ยงทายในพิธีคัดเลือกพ่อแสนจันทร์แทนคนเก่าที่ตายไป สืบสานจากโคตรตระกูลเดียวกันเป็นตำแหน่งฝ่ายซ้ายของนางเทียม เริ่มจากเจ้าพ่อกวนทำพิธีในหอหลวง พ่อต้องแต่งชุดนุ่งขาวห่มขาว ปฏิบัติถือศีล 7 วันกับลูกพี่ลูกน้องอีกหลายคน พ่อดีอกดีใจกับตำแหน่งใหม่ที่ได้รับนับเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลและลบรอยร้าวในอดีตเมื่อครั้งสงครามแย่งชิงประชาชน

           พ่อยังสนุกกับงานในตำแหน่งพ่อแสนจันทร์ต้องทำหน้าที่ร่วมประกอบพิธีหลายอย่าง พร้อมเจ้าพ่อกวนและที่สำคัญในพิธีเบิกพระอุปคุต งานบุญผะเหวด งานยิ่งใหญ่ประจำปีของอำเภอ จนพ่อหลงลืมแม่ไป

           ตอนเด็ก ๆ พ่อมักจะสอนให้ผมว่ายน้ำเคียงข้างพ่อไม่ต้องหวั่นเกรงจระเข้ใต้บาดาลแต่อย่างใด พ่อยืนยันถึงคาถาอาคมที่ได้รับการถ่ายทอดจากเจ้าพ่อกวน ผมจึงว่ายน้ำเก่งและร่างกายแข็งแรงกว่าใคร ถึงขนาดเป็นตัวแทนไปแข่งระดับจังหวัดกวาดเหรียญมาคล้องคอ พ่อจะบอกว่าเพราะผมเป็นลูกผึ้งลูกเทียนอยู่ใต้ความคุ้มครองของเจ้าพ่อกวนไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใด

           ในช่วงเรียนประถม พ่อและแม่มักจะเล่าเรื่องความเป็นมาของตัวเองบ่อย ๆ ยามว่างงาน แถมยังบังคับให้เขียนบันทึกเอาไว้กันลืม แม่มักบอกว่าไม่มีใครรู้โคตรเหง้าศักราชนอกจากตัวเราเอง ทำให้ผมเป็นนักเขียนบันทึก ยิ่งตอนที่ครูภาษาไทยให้เขียนเรื่อง “ผีตาโขน” ในวิชาเรียงความ ผมได้คะแนนเต็มทีเดียว

           ผมจำได้ว่าในงานบุญหลวง ครูประจำชั้นต้องเกณฑ์นักเรียนไปเดินแห่ขบวนผีตาโขน เอาคะแนนมาขู่ พ่อจะหากาบมะพร้าวมาแต่งทำเป็นจมูกและเขียนหน้าบนหวดนึ่งข้าว นำเศษผ้าเหลืองของวัดมาต่อ คลุมหัวคลุมหน้าพร้อมกระดึงวัวคาดเอว เสียงดังกรุ๋งกริ๋งเข้าขบวนแห่พระเวสสันดรเข้าเมือง มีเสียงแคนเป่าประกอบพร้อมนางรำ เริ่มต้นขบวนจากสถานีตำรวจเดินตามถนนแก้วอาสาไปร่วมขบวนกับชาวบ้านที่แห่เจ้าพ่อกวนมาจากบ้านเดิ่นตรงประตูวัดโพนชัย หลังจากที่วนรอบโบสถ์ไป 3 รอบแล้วเป็นอันเสร็จพิธี

           หลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไป ตอนผมเรียนมัธยมศึกษาชื่อเสียงของงานแห่ผีตาโขนเริ่มมีชื่อเสียง กลายเป็นงานดังบรรจุในแผนโปรโมทระดับประเทศ ขบวนแห่เริ่มใหญ่โตมีนักท่องเที่ยวแน่นขนัด มีการประกวดหน้ากากผีตาโขนประดิดประดอยด้วยสีสันงดงาม มีชุดเสื้อผ้าทันสมัย ไม่ได้ใช้เศษผ้าเหลืองจากวัดแบบเดิม ชาวต่างชาตินิยมซื้อหน้ากากกลับไปด้วยทำให้ขายดิบขายดี จนทุกบ้านหันมาทำหน้ากากจำหน่ายแทนที่เสร็จพิธีจะนำไปทิ้งในแม่น้ำหมันแบบเดิม แถมยังมีร้านเหล้าเบียร์มีจำหน่ายรายรอบ ยามดึกเพื่อนผมจึงเต้นกันด้วยอาการซวนเซกลิ่นหึ่งไปตาม ๆ กัน

           พ่อกับแม่เริ่มมีปากเสียงกันบ่อย ๆ พ่อเริ่มแอบไปกินเหล้าท้ายหมู่บ้าน ข่าวลือหนาหูว่าพ่อแอบไปคบหากับแม่หม้ายแฟนเก่าสาวโรงงานกลับมาจากสมุทรปราการ พ่อหายหน้าไปเป็นอาทิตย์มักอ้างว่าไปหาใบสะทอนมาคั้นทำน้ำปรุงรสใส่ขวดขาย แม่พาผมไปตามหา ตะโกนเรียกพ่อ เมื่อไปถึงบ้านหลังนั้น พ่อเดินลงมาจากข้างบนบ้านมายืนประจันหน้ากัน

           เสียงของพ่อแผดเสียงราวกับจระเข้ดุร้าย ดวงตาโปนโต ฟาดหางดังโครมคราม ด่าทอแม่ย้อนไปถึงความคิดต่างขั้วการเมืองสมัยเข้าป่า พ่อบ้าคลั่งด้วยฤทธิ์เหล้าขาวบวกกับความอั้นอั้นตันใจ ทำนบฝายกั้นน้ำพังทลาย ผมตะลึง พ่อตบหน้าแม่ ใบหน้าแม่สั่นสะท้านไม่มีน้ำตาจากแม่ให้เห็นสักหยด แม่หันหลังคว้าแขนผมกลับไปบ้าน ผมรับรู้ว่าแม่บีบแขนผมแน่นจนกระดูกแทบหัก

           หลังเลิกงานแห่ผีตาโขนในปีนั้นแม่ก็หายไปไม่ยอมกลับบ้าน พ่อไม่ได้ออกมาตามหาเพราะมัวยุ่งกับพิธีกรรมของพ่อแสนและคงคิดว่าแม่คงกลับมาเอง ผมเปิดไฟรอแม่ตลอดคืนจนสว่างคาตา แม่ก็ไม่ยอมกลับมาผมจึงต้องไปก่อไฟหุงหาอาหารยามเช้า ไม่น่าเชื่อเลยว่าไม่ว่าจะใช้วิธีไหน ไฟก็ไม่ยอมติดเชื้อ ผมได้แต่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น

           พ่อมักจะไปนั่งนิ่งสงบตรงชายน้ำ พูดคุยกับอะไรสักอย่างที่ไร้ตัวตนพร้อมกับปาดน้ำตา และจะลดเสียงลงเมื่อเข้ามาอยู่ในบ้าน ผมกับพ่อพูดกันน้อยคำ พ่อเริ่มผ่ายผอมลงไม่ค่อยกินข้าว เหมือนกับวิญญาณได้ออกจากร่างไป

           หลังจากจบชั้นมัธยมปลายผมต้องหนีพ่อไปเป็นทหารเรือ ผมสอบผ่านเกณฑ์วิชาการและว่ายน้ำอย่างสบาย ต้องละทิ้งหมู่บ้านที่ปกคลุมไปด้วยหมอกและความลึกลับ พ่อพาผมไปไหว้ลาเจ้าพ่อกวนและไปถวายต้นผึ้ง ณ พระธาตุศรีสองรัก

           พ่อกอดผมแน่น ผมไม่ได้ยินเสียงหัวใจของพ่อเต้นเลย แม่คงนำหัวใจของพ่อไปด้วย พ่อยังคงเงียบงันไม่เอ่ยคำพูดใด ๆ สายลมสงบนิ่ง นกหยุดร้องเพลงฉับพลันมีก้อนเมฆเคลื่อนมาบดบังแสงอาทิตย์ชั่วขณะ

           นาน ๆ ผมจะกลับบ้านอาจเป็นเดือนและเป็นปี พร้อมมีข่าวลอยลมผ่านปากชาวบ้านว่าแม่ไปเป็นหมอนวดอยู่เยอรมัน จนกระทั่งได้ข่าวว่าพ่อป่วยหนักผมจึงรีบมาดูใจครั้งสุดท้าย

           ก่อนผมเดินทางมาถึงเกิดพายุฤดูร้อนพัดพาเมฆฝนตกลงมาร่วมสัปดาห์ น้ำท่วมหนัก มีข่าวร้ายว่าจระเข้ตาเดียวในบ่อเลี้ยงของท่านนายกเทศมนตรีหลุดออกไป มันดุร้ายไล่กัดวัวควายที่ลงไปแช่น้ำ ชาวบ้านต่างหวาดผวาต้องระดมคนทั้งอำเภอตามล่าแต่ก็ยังไม่พบไม่รู้ว่าไปกบดานอยู่วังไหนของสายน้ำสีเหลืองข้นหม่น

           พ่อรับฟังข่าวนี้ประกายตาวิบวับรีบสั่งให้ผมไปซื้อเลือดจระเข้มาให้ ผมจำยอมสั่งผ่านระบบออนไลน์จากเอเย่นต์จากฟาร์มในตัวเมืองจังหวัดเลยแบบด่วนพิเศษในราคาหลายพันบาท เมื่อรถตู้นำกล่องโฟมสีขาวมาส่ง ผมเทเลือดสด ๆ ใส่แก้วเติมเหล้าขาวผสมลงไป พ่อลุกขึ้นมาดื่มจนหมดแก้วแล้วแก้วเล่าราวผีปอบตายอดตายโซ พ่อบอกว่าพ่อเป็นจระเข้แล้วทำอาการอ้าปากหาว หลับตาปรือนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงพร้อมทั้งสลัดขาไปมาโบกให้กับอากาศอันว่างเปล่า

           ผมต้องลาพักร้อนมาหลายวันและอยู่ร่วมพิธีแห่บุญผะเหวด คืนนี้พ่อมีอาการกระฉับกระเฉงราวกับได้ฟื้นคืนชีพเมื่อได้ดื่มเลือดของจระเข้ รบเร้าให้พาไปร่วมพิธีเบิกพระอุปคุต ผมคงคัดค้านอะไรไม่ได้ พ่อสวมชุดขาว ผมไปส่งพ่อไปราวตี 3 ณ วัดโพนชัย พิธีเริ่มยามดึกสงัด ไอน้ำหนาวเย็นโชยมาถึงในโบสถ์ คณะพ่อแสนและนางแต่งได้รับมอบหมายจากเจ้าพ่อกวนให้ทำพิธีบวชพราหมณ์

           เมื่อเจ้าอาวาสวัดบวชพราหมณ์ให้แก่เจ้าพ่อแสนจึงกล่าวคำอาราธนาพระอุปคุต จากนั้นพ่อแสนและคณะพร้อมขบวนแห่มีชาวบ้านถือฉัตร ธง ของ้าว มีดดาบยาวและปืน ถือโคมไฟเดินตรงไปยังลำน้ำหมัน จากนั้นพราหมณ์กล่าวคาถาอาราธนาพระอุปคุต

           พ่อผมหรือพ่อแสนจันทร์ยืนพนมมือตรงตลิ่ง กระโดดลงไปในน้ำในจุดที่ลึกที่สุดกระทบได้ถึงสายน้ำอันเยือกเย็นจนร่างไหวสะท้าน คว้าได้ก้อนหินกลมรีอยู่ในกำมือรีบโผล่พ้นเหนือน้ำ พร้อมตะโกนถามพราหมณ์ว่า “ใช่พระอุปคุตไหม” มีเสียงตอบรับว่า “ใช่” ร่างของพ่อแสงจันทร์ต้องสูดลมหายใจเข้าปอดลึกแล้วกระโดดลงไปอีกครั้งควานหาก้อนหินก้อนใหม่ ครั้งนี้เหมือนน้ำ มีแรงกระเพื่อมจนไม่สามารถจะบังคับร่างกายให้ทรงตัว เมื่อกลั้นใจคว้าก้อนหินมาได้เตรียมจะชูเหนือผิวน้ำ

           ฉับพลันร่างพ่อถูกวัตถุคล้ายใบพัดฟาดตัวจนซวนเซ ตัวมันคล้ายเหี้ยขนาดมหึมาว่ายตรงมา อ้าปากมางับร่างของพ่อ การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นเป็นพัลวัน คนบนตลิ่งมองด้วยความตะลึง ผมเห็นพ่อกลายร่างเป็นจระเข้ตัวใหญ่ไม่แพ้กัน ต่างฝ่ายต่างโรมรันฟันตู

           เสียงปืนดังหลายนัดรัวซ้ำจากปลายกระบอกของขบวนพ่อแสน ร่างจระเข้สะดุ้งร้องเสียงหลงแหวกว่ายไปยังเวิ้งฟ้า เลือดข้นสีแดงฉานไหลขุ่นคลัก ก่อนที่ร่างทั้งสองจะจมดิ่งลงสู้ใต้น้ำ จู่ ๆ สายฝนก็เทลงมาอย่างกระหน่ำ ชะล้างเลือดให้จางหายไปกับสายน้ำหมัน

           ผมเผลอยิ้ม มีแต่คนบ้าที่คิดแบบนี้

           ผมเขียนบันทึกหน้าสุดท้ายไว้แบบนั้น


ผู้เขียน

ภาณุพงษ์ คงจันทร์

เคยสนุกกับการสอนสาขาจิตวิทยาในมหาวิทยาลัย ผันตัวเองมาเป็นนักเขียนอิสระเต็มตัว เฝ้ามองความเป็นไปในสังคม รื่นรมย์กับการอ่านและการเขียนต่อไป


แรงบันดาลใจ มุมมอง หรือสิ่งที่ต้องการนำเสนอ

           ทุกเดือนขณะนั่งรถทัวร์ผ่านอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย จะเห็นภาพสองข้างทางปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกราวเมืองลึกลับในหุบเขา ด้วยความกระหายใคร่รู้จึงแวะร่วมงานล้างพระธาตุศรีสองรัก งานเลี้ยงผี และงานเทศกาลแห่ผีตาโขน ทุก ๆ ปีรวม 7 ครั้งต่อเนื่องกัน ฟังเรื่องเล่า ตำนาน นิทานและแนวคิดทางการเมืองสมัยเข้าป่า น้ำตาและเสียงหัวเราะ ล้วนแต่เป็นเรื่องเล่ามหัศจรรย์ คล้ายมีเสียงเรียกร้องให้ตามหาความลี้ลับนั้น

           จึงขอปะติดปะต่อนำเรื่องเล่าเหล่านั้นมาเล่าต่อ เป็นสะพานสะท้อนความเชื่อ วิถีชีวิตผู้คนแห่งยุคสมัย ความรักจะโอบร้อยเราไว้แม้โลกจะหมุนไปไกลแสน


ความรู้สึกหรือมุมมองในการเขียนหลังจากเข้าร่วมโครงการฝึกอบรมวรรณกรรมสนาม

           ได้โคจรมาเจอโค้ชระดับมืออาชีพ ปลุกพลังในการเขียนให้นำเสียงเรียกร้องจากภายใน ถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ แถมยังถกเถียง ขัดเกลา ประหนึ่งปั้นดินโคลนให้กลายเป็นอนุสาวรีย์ ได้เปิดกะโหลกเห็นกระบวนการเรียนรู้ว่า การสร้างงานศิลปะระหว่างความงามของวรรณศิลป์และข้อมูลแนวมานุษยวิทยาจะมาประกอบสร้างรังสรรค์ให้งดงามได้อย่างไรกัน

           ตอนนี้หันกลับไปมองถิ่นกำเนิดที่จากมาไกล ด้วยสาตาที่เปลี่ยนไป ตามหารากเหง้าและตัวตนของเราเอง วางแผนจะเขียนเรื่องสั้นชุดใหม่ในแนวมานุษยวิทยา เริ่มจากการสัมภาษณ์และแสวงหาข้อมูลจากเรื่องเล่าที่ไม่มีในตำราเรียน แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้รายล้อมใกล้ชิดแนบตัวเรา

           นับเป็นความสุขอีกอย่างหนึ่งที่ได้เข้ารับการอบรมฯ เปิดเปลือยให้เห็นตัวตนของเราเอง จึงถือเป็นโชควาสนายิ่งแล้วในชีวิตนี้


 

ป้ายกำกับ วรรณกรรมสนาม ตามล่าหาจระเข้ตาเดียวที่หายไปในแม่น้ำหมัน ภาณุพงษ์ คงจันทร์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Share
Facebook Messenger Icon คลิกที่นี่เพื่อสนทนา