มนุษย์ต้นไม้แห่งทุ่งสังหาร

 |  ศิลปะ ผัสสะ และสุนทรียภาพ
ผู้เข้าชม : 2774

มนุษย์ต้นไม้แห่งทุ่งสังหาร

1. ทุ่งสวรรค์

           ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ล้มครืนลงต้นแล้วต้นเล่าด้วยคมเขี้ยวมันวาวของเลื่อยยนต์พะยี่ห้อจีน ปีนี้อรุณจะมีอายุครบ 15 แล้วแต่ก็ยังนับว่าเยาว์วัยมากเมื่อเทียบกับบรรดาต้นไม้เหล่านั้นที่ถูกเลื่อยถางตลอดทั้งวัน

           “ต้นไม้ต้องหลีกทางให้ยางมะตอยและคอนกรีต” ลุงบอกอรุณตามสิ่งที่ได้ยินมาจากปากหัวหน้าคนงาน หากไม่ถางป่าทิ้งเสียก่อน พวกเขาก็จะสร้างตึกรามบ้านช่องและถนนหนทางไม่ได้

           เมืองพระสีหนุหรือกำปงโสม บ้านเกิดของอรุณเคยเป็นเมืองพักตากอากาศที่อยู่ใต้ร่มเงาของป่าเขตร้อน คละด้วยแสงแดดบางเบา ลมเย็นเอื่อย ๆ และทะเลอันเงียบสงบ แต่ไม่กี่ปีมานี้ มันกำลังแปรสภาพเป็นป่าคอนกรีต หลังรัฐบาลประกาศเขตเศรษฐกิจพิเศษ เปิดให้นักธุรกิจต่างชาติเข้ามาลงทุนได้อย่างเสรี พร้อมมอบสัมปทานที่ดินให้เช่าได้นานถึง 99 ปี นานยิ่งกว่าชีวิตมนุษย์บางคนเสียอีก

           ระยะแรก เม็ดเงินที่มาพร้อมนักลงทุนจากจีนได้เสกให้ตึกสูงหลายสิบชั้นผุดขึ้นราวดอกเห็ด ครอบครัวอรุณเกิดในตระกูลช่าง พ่อและลุงจึงมีงานทำจนแทบไม่ได้หยุดได้หย่อน พวกเขามักพาอรุณไปตามไซต์ก่อสร้าง เด็กหนุ่มจึงมีโอกาสฝึกปรือฝีมือช่างจากพ่อและลุงตั้งแต่เด็ก ทั้งช่างปูน ช่างอิฐ ยันช่างไม้

           อยู่มาวันหนึ่ง อรุณต้องงัดเอาวิชานี้ไปทำงานหาเลี้ยงชีพและครอบครัวอย่างกะทันหัน เพราะฤทธิ์เหล้าหมักทำให้พ่อเมาค้าง ตกนั่งร้านลงมาตายในไซต์ก่อสร้างแห่งหนึ่ง เขาเข้าทำงานแทนพ่อแทบจะทันทีจากการทาบทามของลุง

           งานก่อสร้างทำเงินให้อรุณมากพอ แม่และยายจึงไม่ต้องหางานอื่น เพียงแค่ดูแลบ้านเรือนและทำนาพอให้มีข้าวกินในแต่ละปีเท่านั้น น้องสาวของอรุณก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนดีๆ และมีตุ๊กตาและเสื้อผ้าที่พี่ชายซื้อให้เป็นของขวัญกองเป็นภูเขาขนาดย่อมภายในบ้าน อรุณไม่ใช่คนเที่ยวเตร่ติดเหล้าติดยา เพราะบทเรียนสุดท้ายที่พ่อทิ้งเอาไว้ยังฝังแน่นในใจเสมอ เขาไม่อยากตายอย่างนั้น อรุณมีเงินเหลือเก็บ ด้วยอัตราเร่งเท่านี้ เขาคงมีบ้านดี ๆ และที่ดินสักผืนภายในเวลาไม่กี่ปี แต่ภาพฝันที่จะได้ลืมตาอ้าปากก็พังครืน เมื่อทุนจีนเริ่มนำเข้าคนงานจีนแทบทั้งชุด แม้กระทั่งงานรับจ้างก่อสร้างรายวันก็แทบไม่เหลือที่ว่างให้คนกัมพูชา ตำแหน่งที่สูงกว่านั้นอย่างโฟร์แมนหรือวิศวกรแทบไม่ต้องพูดถึง อรุณและลุงรองานอยู่นานหลายเดือน แต่ก็ไม่มีวี่แวว

           แต่ละวันที่ผ่านไป หนี้และค่าใช้จ่ายเริ่มสวนทางกับรายได้และเงินในบัญชี ซ้ำร้ายกว่านั้น นับตั้งแต่ทุนจีนเข้ามา ข้าวของเริ่มแพงขึ้นหลายเท่าตัว ราคาที่ดินเล่าก็พุ่งสูงนับร้อยเท่าจนคนท้องถิ่นหมดปัญญาจะเอื้อมถึง ไม่มีเงินซื้อที่ดินใหม่ยังพอทำเนา แต่ที่ดินเก่าแก่ตกทอดจากสมัยบรรพบุรุษก็ถูกเวนคืนจากรัฐ เพื่อเอาไปขายทำกำไรจากนายทุนต่างชาติอีกทอดหนึ่ง

           ที่ดินและที่นาของครอบครัวอรุณมีเอกสารสิทธิ์รับรองตามกฎหมาย แต่เพื่อนบ้านในละแวกเดียวกันไม่โชคดีเหมือนอย่างเขา บ้านเรือนหลังแล้วหลังเล่าถูกรื้อถอน ตึกสูงหลังแล้วหลังเล่างอกขึ้นทดแทนล้อมรอบบ้านของอรุณ มันไม่ใช่ตึกสำนักงานธุรกิจโทรคมนาคมหรือโรงงานสิ่งทออย่างที่โฆษณาในทีวี เป็นได้อย่างดีก็แค่บ่อนคาสิโนหรือศูนย์กลางของแก๊ง คอลเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่

           เพื่อนบ้านเริ่มหายหน้าไปทีละครอบครัว ไม่มีใครทราบว่าจุดหมายปลายทางของพวกเขาคือที่ไหน อรุณเดาว่าคงเป็นแหล่งที่มีงานให้ทำเพื่อแลกเงิน แม้เงินที่ได้จะมีจำนวนเล็กน้อยก็ตาม

           แต่มูลค่าที่ดินที่พุ่งสูงขึ้นก็เป็นโอกาสให้เจ้าของที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์รับรอง พวกทุนจีนเคยส่งนายหน้ามายื่นข้อเสนอก้อนโตถึงชานเรือนของอรุณ ลุงอยากให้ขายแล้วเอาเงินก้อนนั้นทำทุนธุรกิจก่อสร้าง แต่ยายและแม่ไม่เห็นด้วย แม้ไม่มีเงิน แต่มีที่ดิน อย่างน้อยก็พอจะมีข้าวกินไม่อดตาย หลังโต้เถียงกันอย่างหนักตลอดคืน ยายและแม่ก็ได้รับชัยชนะ เมื่อลุงของอรุณหายหน้าไปเหมือนเพื่อนบ้านคนอื่น ๆ ยายบอกว่าเขาคงจะไปหางานทำในเมืองไทย

           วันหนึ่งหลังจากเดินเตร่หางานกลางแดดเปรี้ยงในเมือง อรุณฉีกป้ายไวนิลที่มีตัวอักษรเขมรตัวเล็ก ๆ และอักษรจีนตัวใหญ่ ๆ ว่า ‘เมืองสวรรค์แห่งธุรกิจ’ ใช้แทนร่มบังแดดเดินกลับบ้าน ยังไม่ทันจะก้าวพ้นรั้วบ้าน แม่ก็ด่าขึ้นเสียงดังว่า “สวรรค์บ้าอะไร มีแต่ฝุ่นจากการก่อสร้าง ป่าไม้กลายเป็นป่าคอนกรีต ภูเขาเขียวกลายเป็นภูเขาขยะ ข้าวปลาก็แพง”

           “สวรรค์พรรค์นี้มีแต่นายทุนเท่านั้นที่อยู่ได้ แล้วนายทุนพวกนั้นก็ไม่พูดเขมร” ยายเข้ามาร่วมผสมโรง ก่อนจะคว้าเอาไวนิลแผ่นนั้นจากมืออรุณไปใช้มุงหลังคาเล้าไก่ข้างบ้าน


2. เหมืองแร่

หากมนุษย์สังเคราะห์แสงได้เหมือนต้นไม้ก็คงดี

           อรุณมักอิจฉาต้นไม้บางประเภทที่ต้องการเพียงแสงแดด น้ำ และดิน เพียงเท่านั้นก็มีชีวิตรอด เติบโต และออกดอกออกผลสืบเผ่าพันธุ์ต่อไปได้ แต่โทษฐานที่เกิดมาในเผ่าพันธุ์มนุษย์ อรุณสังเคราะห์แสงไม่ได้ ไม่มีมนุษย์หน้าไหนทำได้ แม้พวกเขาจะต้องทำงานหนักกลางแดดจ้า

           เมื่อไม่มีงาน ไม่มีเงิน และไม่มีกิน อรุณจึงต้องยอมปล่อยให้สายลมแห่งโลกทุนนิยมพัดพาข้ามพรมแดนรัฐชาติไปหาแหล่งแร่ธาตุที่จะช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตของตนและครอบครัว

           แร่ธาตุสำคัญชนิดนั้นมีชื่อเรียกว่า ‘เงิน’

           แหล่งเงินสำคัญไม่ใช่ที่ไหนไกล เพื่อนร่วมหมู่บ้านหลายคนเคยพูดถึงเมืองไทยให้อรุณฟังบ่อย ๆ แต่อรุณจนปัญญาจะหาเงินซื้อตั๋วเครื่องบินหรือรถไฟความเร็วสูงที่สร้างจากเงินหยวน เพราะหากต้องเข้าทำงานอย่างถูกกฎหมาย อรุณจะต้องเจียดเงินไว้จ่ายค่าหนังสือเดินทาง ค่าใบอนุญาตทำงาน ค่าใบรับรองแพทย์ และค่าเดินเรื่องอีกหลายพันบาท เขาจึงนั่งรถบัสโดยสารบุโรทั่ง ราคาถูกที่สุด มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ ในหน้าร้อนปีที่ 18 ของชีวิต พร้อมเสียงของยายที่ยังก้องอยู่ในหัว หากเจอลุงก็บอกให้กลับบ้านบ้าง


3. ทุ่งหญ้า

           อรุณเป็นลูกจ้างในกิจการขายยาและสมุนไพรแห่งหนึ่งย่านท่าพระจันทร์ ทุกวันเขาต้องจัดเรียงยาใส่ซอง เตรียมยาเป็นชุด ๆ ตามสรรพคุณการรักษา ทั้งสมุนไพรแท่งตากแห้ง แบบบดเป็นผง และชนิดแคปซูล การจัดเรียงสมุนไพรเหล่านี้สร้างเงินให้อรุณเดือนละ 9,000 บาท แลกกับที่ซุกหัวนอนฟรี และอาหารฟรีในบางมื้อ บางวันอรุณก็ต้องออกขายหน้าร้านด้วย หากลูกจ้างคนอื่น ๆ หยุดงาน หรือมีลูกค้ามากจนเพื่อนที่ขายหน้าร้านรับมือไม่ทัน

           แม้สมุนไพรพวกนั้นจะเป็นเพียง ‘แท่งไม้’ที่ตายแล้ว แต่ก็ยังสร้างกำไรให้มนุษย์ได้ อรุณส่งเงินกลับบ้านให้แม่และยายทุกเดือนไม่เคยขาด แลกกับการกินอยู่อย่างง่าย ๆ ตื่นเช้าทำงาน เลิกงาน อาบน้ำ นอน ชีวิตแรงงานก็เวียนวนอยู่แค่นี้ วัฏจักรชีวิตแทบไม่ต่างจากพืชที่หมุนตามวงจรของแสงอาทิตย์

           เมื่อชีวิตทำงานเริ่มลงตัว ความเหงาที่เกาะกินหัวใจคนไกลบ้านเริ่มผลักให้อรุณออกจากห้องหับและร้านรวงที่คุ้นเคย เดินลัดเลาะผ่านย่านสมุนไพร พระเครื่อง และรูปบูชาของ ‘ไอ้ไข่’ มุ่งสู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่เปรียบประดุจบ่อน้ำ แล้วอรุณก็ได้ค้นพบสถานที่ที่เขาจะได้มาเยือนทุกเย็นหลังเลิกงานไปตลอดหลายเดือน

           สนามหญ้ากลายเป็นสังเวียนให้อรุณไล่หวดลูกหนังร่วมกับคนอีกร้อยพ่อพันแม่ นานาชาติ นานาชนชั้น ไล่ตั้งแต่นักศึกษาที่ใส่รองเท้าหนังจิงโจ้ปักชื่อตนเอง ราคาคู่ละเฉียดหมื่น ช่างทองผู้เคยเลี่ยมกรอบพระราคาหลักสิบล้านและทำงานให้เซียนพระดัง ๆ มาแล้วนักต่อนัก ข้าราชการและตำรวจที่แม้จะตัดหัวเกรียน แต่ก็ยศสูงไม่น้อย ตลอดจนแรงงานข้ามชาติเหมือนกัน แต่มาจากดินแดนอื่นอย่างลาว พม่า หรือกะเหรี่ยง

           อรุณไม่สนใจหรอกว่าพื้นเพที่แตกต่างหลากหลายเหล่านี้สำคัญอย่างไร เพราะผู้ชายทั้งหัวดำ-หัวหงอก-หัวเกรียนกลุ่มนี้ ล้วนเป็นมนุษย์ผู้ขายแรงงานแลกเงินในมหานครแห่งนี้ทั้งสิ้น บางคนขายแรงกาย บางคนก็ขายแรงสมอง บนผืนหญ้าอรุณจึงไม่เคยยั้งมือ (พูดให้ถูกคือยั้งเท้า) จังหวะเข้าบอล 50-50 อรุณจะเข้าเต็มร้อยเสมอ แม้แข้งขาของเขาจะวิ่นเหวอะด้วยปลายปุ่มรองเท้าสตั๊ดทุกวัน แต่ขาของคู่แข่งจะมีแผลมากกว่าเสมอ

           มีอยู่ครั้งหนึ่ง แผลย้ายจากหน้าแข้งไปปรากฏบนใบหน้าของอรุณ เมื่อเขาใช้ร่างกายเข้าเบียดปะทะกับพ่อค้าขายส่งผ้าโหลในจังหวะที่หนุ่มคนนั้นกำลังง้างเท้ายิงเพื่อทำประตู พ่อค้าผ้าโหลล้มกลิ้งไม่เป็นท่า เมื่อยันตัวขึ้นได้เขาก็วิ่งไล่หวดอรุณแทนลูกฟุตบอล เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจ พ่อค้าผ้าโหลโทรตามพรรคพวกอีกเกือบสิบคนให้มาดักรออรุณข้างสนาม พร้อมไม้หน้าสามและเหล็กที่น่าจะเป็นราวแขวนผ้า

           หากตำรวจยศใหญ่รายหนึ่งไม่ช่วยไกล่เกลี่ย อรุณคงได้กลายเป็นปุ๋ยแทนที่จะเป็นต้นไม้อย่างที่เขามักนึกฝัน

           “มึงกลับบ้านไปเลยไอ้เขมร ไม่งั้นกูจะส่งกลับไปในโลง” นั่นคือคำขู่ทิ้งท้ายจากลุ่มชายฉกรรจ์

           แต่อรุณก็ยังมีชีวิตรอดมาเตะฟุตบอลต่อได้อีกหลายเดือน พ่อค้าผ้าโหลคนนั้นต่างหากที่หายหน้าไปจากสนาม อรุณมาได้ยินทีหลังว่า ศพของเขาถูกพบในถุงปุ๋ยที่ถูกทิ้งกลางดงกล้วยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เพราะค้างหนี้นอกระบบก้อนโต


4. ป่าคอนกรีต

           อรุณไม่ใช่คนที่จะสร้างศัตรูไปทั่ว ในสนามหญ้าเขาอาจเป็นนักฟุตบอลขาโหดก็จริง แต่นอกสนาม อรุณก็มีกลุ่มคนที่พอจะเรียกได้ว่าเพื่อน และหนึ่งในนั้นคือ นักศึกษาปริญญาโท 3-4 คน

           ทุกเช้าขณะกำลังกรอกยาใส่ซองและจัดเรียงให้เข้าชุด อรุณจะเห็นพวกเขาหอบหิ้วตำราภาษาฝรั่งเล่มหนา ๆ หายเข้าห้องสมุดทั้งวัน แล้วค่อยโผล่หน้าออกมาอีกทีตอนเย็นเมื่อถึงเวลาเตะบอล

           หรือคนพวกนี้สังเคราะห์แสงเองได้ เขาเลยไม่ต้องทำงาน อรุณรู้ว่าความคิดนั้นไม่เข้าท่า จึงไม่กล้าเอ่ยปากถาม

           บางครั้งพวกนักศึกษาก็มาเตะบอลทั้งที่ยังไม่สร่าง พวกเขาชอบเข้ามาคุยกับอรุณหลังเสร็จสิ้นการออกกำลังกาย นักศึกษาภาคประวัติศาสตร์คนหนึ่งทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการปกครองยุคเขมรแดง เขาจึงมาตีสนิทกับอรุณเป็นพิเศษ

           อรุณจะปฏิเสธเสียงแข็งทุกครั้งเมื่อพวกเขาชวนไปดื่มบริเวณถนนข้าวสาร แต่เมื่อถูกรบเร้าบ่อยเข้า อรุณก็ทนการคะยั้นคะยอไม่ไหว เผลอตกปากรับคำ และต้องติดสอยห้อยตามกลุ่มนักศึกษาไปจนได้

           อรุณยังคงไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เขาสั่งน้ำเปล่ายี่ห้อเดียวกับเบียร์ที่เพื่อนกิน เพียงเพื่อจะได้พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่แสงไฟวิบวับและจังหวะดนตรีเร้าอารมณ์ไม่สามารถทำให้อรุณสนุกได้เลย เขาเรียกคิดเงินแล้วขอตัวกลับ หญิงสาวหน้าคมราวกับถอดแบบมาจาก ‘ครูพนอ’ ในหนังเรื่องลองของ ถือบิลมาให้อรุณ มันเป็นจังหวะที่หัวใจเขาพองโตมากที่สุดในรอบปี

           เธอเป็นคนพนมเปญ อายุมากกว่าอรุณไม่กี่ปี และทำงานในไทยมาหลายปีแล้ว อรุณงัดทุกกลเม็ดที่ไม่มีในวิชาช่างของบรรพบุรุษมาใช้ขอเฟซบุ๊กของเธอ

           เขาพยายามสานสัมพันธ์กับเธออยู่แรมเดือน ทั้งชวนกินข้าว ดูหนัง และห้อยโหนรถเมล์สาย 516 พากันไปเดินห้างแถวปิ่นเกล้าในช่วงวันหยุด อรุณเริ่มเปลี่ยนจากชุดกีฬาและชุดทำงานมาเป็นกางเกงยีนส์และเสื้อยืดทันสมัยที่ซื้อมาจากตลาดนัด และเขาก็ใส่ชุดตัวเก่งนี้ทุกครั้งที่เดตกับเธอ

           แต่ความสุขก็เหมือนเงินในกระเป๋า มันสร้างภาวะครึ้มใจอยู่ได้ประเดี๋ยวประด๋าว ไม่นานนักก็จากไป

           อรุณหน้าเศร้า ตาแดงก่ำ นั่งทอดอาลัยอยู่ข้างสนามฟุตบอล

           “เขาทิ้งผมแล้ว เขามีผัวมีลูกแล้ว”

           จากวันนั้น อรุณคล้ายจะเสียหลัก ไม่มีอีกแล้วจังหวะเล่นหนักปะทะหนัก ร่างกายคล้ายเบาหวิว หัวใจคล้ายบอบบาง อรุณทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน เขารินเบียร์ขวดแล้วขวดเล่าลงคอ ซดกลืนน้ำสีอำพันเหล่านั้นเพราะหวังว่ามันจะช่วยชะล้างก้อนจุกชนิดหนึ่งในหัวใจ

           โลกไม่อนุญาตให้อรุณเศร้าได้นานนัก การทะลุทะลวงของเชื้อโควิด-19 ทำให้ร้านสมุนไพรต้องปิดชั่วคราว เพราะรัฐบาลไทยสั่งล็อกดาวน์และปิดสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตั้งแต่ตลาด สำนักงานเอกชน สถานที่ราชการ รวมถึงโรงเรียนและมหาวิทยาลัย เถ้าแก่บอกให้อรุณและเพื่อนหยุดงานแบบไม่มีค่าจ้าง เมื่อไม่ต้องทำงาน ชีวิตของอรุณยิ่งเคว้งคว้างหนักกว่าเก่า และครั้งนี้สนามฟุตบอลที่เคยเป็นที่พักและที่เติมพลังงานให้แก่หัวใจ ได้ถูกขึงเชือกล้อมรั้วตามมาตรการรัฐเสียแล้ว

           อรุณยังโชคดีที่รัฐบาลไม่สั่งปิดร้านสะดวกซื้อชื่อดัง ไม่งั้นก็ไม่รู้จะหาซื้อเบียร์มาล้างความเศร้าได้จากที่ไหน เขาหิ้วขวดเบียร์กลับห้องพักวันละครึ่งโหล

           “ศบค. ชุดเล็ก เห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอเมื่อวานตอนช่วงบ่าย กรุงเทพฯ จะถูกยกระดับขึ้นมาเป็น ‘พื้นที่สีแดง’ หรือพื้นที่ควบคุมสูงสุดอีกครั้ง มาตรการที่สำคัญคือ การกำหนดเวลาเปิด-ปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ โดยให้เปิดถึง 21.00 น. แต่เมื่อวานตอนช่วงค่ำ ผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ได้ออกประกาศสั่งปิดผับ บาร์ คาราโอเกะ และอาบ อบ นวดใน 3 เขต ได้แก่ วัฒนา คลองเตย และบางแค เพื่อสอบสวนโรค …”

           หากเสียงผู้ประกาศข่าวสาวทางโทรทัศน์คล้ายบทสวดกล่อมขวัญของอรุณ เบียร์ในแก้วก็เปรียบเสมือนน้ำมนต์ต่อชีวิต แต่ละวันที่ผันผ่าน มีพื้นที่ถูกประกาศเป็น ‘สีแดง’ มากขึ้นทุกที แรก ๆ ข่าวก็ลงว่าเชื้อแพร่มาจากคนรวย นักการเมือง หรือข้าราชการระดับสูงที่เดินทางมาจากต่างประเทศ แต่ช่วงหลังอรุณไม่เห็นคนกลุ่มนั้นบนหน้าข่าวอีกต่อไป เห็นก็แต่ข่าวของแรงงานข้ามชาติที่ถูกตราหน้าว่าเป็น superspreader

           “พี่หยุดอยู่ตรงนั้น เดี๋ยวหนูเอาเบียร์มาวางไว้ให้หน้าร้าน” น้ำเสียงและสายตาของพนักงานประจำร้านสะดวกซื้อเริ่มเปลี่ยนเป็นหวาดกลัว กระทั่งแข็งกระด้างต่ออรุณมากขึ้นทุกที

           อรุณไม่แน่ใจว่า เชื้อโรคมีสัญชาตญาณชนิดพิเศษที่จะช่วยให้มันเกาะกินปอดของคนเชื้อชาติใดมากกว่าชนชาติอื่นหรือไม่ แต่คำว่า ‘สีแดง’ กลับกระตุกต่อมความทรงจำให้คิดถึงบ้าน

           บ้านที่เคยเป็นพื้นที่สีแดงและฐานที่มั่นของคอมมิวนิสต์ และอาจกำลังจะถูกโควิดแผ่ขยายเข้ายึดครองในเวลาอีกไม่นาน


5. ทุ่งทานตะวัน

           ชีวิตช่วงล็อกดาวน์คล้ายต้นไม้ที่เติบโตภายในถ้ำ ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน แสงเดียวที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจของอรุณได้คือ แสงสีฟ้าจากจอมือถือ

           อรุณใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ (เวลาส่วนใหญ่ของเขาก็ว่าง) ไปกับโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊กและติ๊กต็อกที่ได้รับความนิยมขึ้นมาในช่วงล็อกดาวน์ บนโลกเสมือนจริงแห่งนั้น เขาทดลองเพาะปลูกความรักอีกหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่เคยมีครั้งใดสำเร็จ ไม่มีใครเหมือนเธอ ไม่มีใครทำเขาหัวใจฟูได้อย่างนั้นอีก อรุณได้แต่นอนไถมือถือ กอดขวดเบียร์ทุกค่ำคืน เป็นอย่างนี้วนเวียนไม่รู้จบ

           การซาลงของโรคระบาดทำให้รัฐบาลไทยผ่อนคลายมาตรการ อรุณกลับไปทำงานที่ร้านสมุนไพร ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยได้รับการตรวจโรค ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนแม้เพียงเข็มเดียว ไม่เคยได้รับแม้แต่หน้ากากอนามัยฟรี หากเทียบกับฟุตบอล ช่วงเวลานี้คงเปรียบเสมือนการพักครึ่งให้หายเหนื่อย เพื่อรอออกแรงอีกครั้ง ผิดก็แต่ว่า ไม่มีใครรู้เลยว่าโควิดจะอนุญาตให้เราพักนานเท่าไร

           กิจการร้านสมุนไพรขายดีเป็นเทน้ำเทท่า คนแห่มาซื้อฟ้าทะลายโจรและท่อนไม้อื่น ๆ ที่โฆษณาว่าช่วยป้องกันเชื้อไวรัส หรือมิฉะนั้นก็หวังว่า สมุนไพรเหล่านี้จะช่วยบรรเทาอาการและป้องกันไม่ให้เชื้อลงปอด แค่ท่อนไม้แห้ง ๆ ก็ยังดีกว่าวัคซีนน้ำเปล่าที่รัฐบาลจัดหามาให้ แม้เถ้าแก่ร้านยาจะคิดราคาแพงกว่าปกติ แต่จังหวะแบบนี้ คนมีแต่จะควักเงินซื้อ

           ประตูของมหาวิทยาลัยเปิดอีกครั้ง แต่เสาไม้ขึงเชือกฟางล้อมรอบสนามหญ้ายังคงอยู่ พร้อมกับป้ายงดใช้สนาม สังเวียนฟุตบอลจึงถูกโยกมาเตะบนพื้นคอนกรีตของฟุตบาท โดยใช้ขอบถนนเป็นเส้นออก และใช้คนเดินสัญจรเป็นกรรมการที่คอยเป่าสัญญาณว่าเมื่อไรควรหยุดเกมชั่วคราว

           อรุณเหมือนจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเมื่อสวมเสื้อบาร์ซา แมนยู และปารีส เขาจินตนาการว่าตนเป็นเนย์มาร์ ซูเปอร์สตาร์ชาวบราซิลที่เติบโตจากการเล่นฟุตบอลข้างถนน อรุณโชว์ทักษะลีลาสับขาหลอกที่ลอกแบบมาจากยูทูป ยิงถล่มประตูเป็นว่าเล่นในแต่ละวัน จนเขาแอบฝันว่า หากเด็กบราซิลที่สภาพชีวิตแย่กว่าเขามากยังเป็นนักฟุตบอลระดับโลกได้ เขาก็น่าจะคว้าโอกาสนั้นได้ในสักวัน

           วันหนึ่ง เส้นทางแห่งบัลลงดอร์ของอรุณต้องชะงักชั่วคราว เมื่ออาณาบริเวณของมหาวิทยาลัยริมน้ำแห่งนั้นแน่นขนัดไปด้วยคนนับพัน เสียงปราศรัยดังขึ้นตลอดวัน พร้อมป้ายผ้าที่เต็มไปด้วยข้อความสั้นบ้าง ยาวบ้าง อรุณเห็นเพื่อนนักศึกษาของเขาปะปนอยู่กับฝูงชนนั้น จึงเดินแหวกฝูงชนเข้าไปหา

           พูดถึงไม่ได้ก็ไม่ต้องมี

           “เขาไล่นายกฯ น่ะ” เพื่อนตอบคำถามของอรุณ แล้วอธิบายความล้มเหลวในการบริหารจัดการ และการทุจริตขนานใหญ่ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด อรุณฟังศัพท์แสงทางการเมืองเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ยืนฟัง เพราะถึงอย่างไรวันนี้เขาก็ไม่มีพื้นที่ให้เตะฟุตบอล

           ยกเลิก 112

           เสียงนั้นดังกระหึ่มจนอรุณต้องตะโกนถามเพื่อนว่า สิ่งที่เขาพูดกันบนเวทีหมายถึงอะไร

           “หมาเชื่อง ๆ ที่ฝึกมาอย่างดี มันไม่กัดใครหรอก ถ้านายไม่สั่ง” เพื่อนที่เรียนประวัติศาสตร์ตอบ “ถ้าหมากัดคน เจ้าของก็ต้องรับผิดชอบ”

           “แต่ที่บ้านผม คนคนเดียวเป็นทั้งหมาและเจ้าของหมา” อรุณตอบ

           สนามหญ้าเป็นอัมพาตอีกครั้งในช่วงต้นเดือนตุลาคม ป้ายผ้าขาวเปื้อนตัวอักษรสีแดงเลือดปรากฏขึ้นเช่นเคย แต่คราวนี้กลางสนามฟุตบอลมีกรอบรูปขนาดใหญ่ตั้งหันมาเข้าหาหอประชุม เป็นรูปเหลืองซีดเก่า ๆ ของหนุ่มสาวนับร้อยกำลังคลานบนผืนหญ้า มือกุมท้ายทอยในสภาพกึ่งเปลือยกาย มีเจ้าหน้าถืออาวุธสงครามจ่อขมับ

           อรุณทราบจากเพื่อนคนเดิมว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีต ครั้งก่อนเขาเชื่อเรื่องที่เพื่อนเล่า แม้จะฟังไม่เข้าใจหลายส่วน แต่ครั้งนี้เรื่องราวพิลึกเกินกว่าเขาจะเชื่อได้ลง

           “พวกนี้เป็นคอมมิวนิสต์เหรอพี่” อรุณนึกภาพไม่ออกว่าคอมมิวนิสต์จะมีหน้าตาเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาวได้อย่างไร เขาเคยแต่เห็นภาพเขมรแดงที่หน้าตาขึงขังโหดเหี้ยมและถืออาวุธสงครามในแบบเรียนเท่านั้น


5. ทุ่งสวรรค์ (อีกครั้ง)

           แล้วโควิดก็ปะทุขึ้นอีกหลายระลอก ไวรัสตัวจิ๋วก็ไม่ต่างจากปรสิตขนาดใหญ่บางสายพันธุ์ที่เกาะกินสังคมมนุษย์ไม่ยอมปล่อย

           เย็นวันหนึ่งอรุณปรากฏกายข้างสนามหญ้าในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ตัวเก่ง พร้อมหน้ากากอนามัยแบบวิถีชีวิตนิวนอร์มอล เขาไม่มีชุดหรือรองเท้ากีฬามาเปลี่ยน มีเพียงกระดาษทิชชู่เปื่อยยุ่ย และแววตาที่แดงก่ำ

           “มึงอกหักอีกแล้วเหรอ” เพื่อนถามหยอก

           “ผมจะกลับบ้านแล้ว”

           อรุณจากบ้านมาแล้วสองปีกว่า การจะกลับไปหาครอบครัวไม่ใช่เรื่องที่เกินความคาดหมายนัก หากเรื่องที่เขาเล่าจบลงแค่นั้น

           “ยายตายแล้ว” เสียงนั้นสั่นเครือ

           คำตอบนั้นสร้างก้อนจุกในอกของทุกคนที่ได้ฟัง ยายของอรุณผู้ไม่เคยได้รับวัคซีนใด ๆ จากรัฐบาลกัมพูชา ถูกพบเป็นศพในบ้านในเช้าวันหนึ่ง หลังจากเชื้อร้ายรุกเข้าถึงปอดของเธอ แม่ที่ขณะนั้นเป็นลูกจ้างคาสิโนจีนในเขตเมือง ต้องรุดกลับบ้านมาจัดการงานศพ แล้วเธอก็ไม่ได้กลับไปทำงานอีก

           คาสิโนจีนทยอยลอยแพคนงานทิ้ง หลังนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นลูกค้าหลักเดินทางออกนอกแผ่นดินใหญ่ไม่ได้ตามนโยบายซีโร่โควิดของรัฐ ธุรกิจสีเทาเคลื่อนตัวเข้าไปอยู่บนโลกเสมือน บนแพลตฟอร์มดิจิทัล โลกเหล่านั้นไม่ใช้ภาษาเขมร คนกัมพูชาแบบแม่จึงกลายเป็นปัจจัยการผลิตที่ฟุ่มเฟือยและต้องถูกตัดทิ้งอันดับแรก ๆ ในช่วงโควิด

           ยายตาย แม่และน้องสาวเคว้งคว้าง และลุงก็หายไป ผู้ชายคนเดียวของบ้านจึงไม่มีทางเลือกอื่น เงินที่ส่งให้ยายไม่เคยขาดทุกเดือนก็น่าจะมากพอสำหรับเปิดร้านขายอาหารเล็ก ๆ โดยมีแม่และน้องเป็นลูกมือ แล้วเจียดเงินบางส่วนไว้ทำนา พอให้มีข้าวกินได้อีกหลายปี

           อรุณยังเสียดายชีวิตในกรุงเทพฯ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่เขาหลั่งน้ำตา ความตั้งใจแรกเริ่มของอรุณ ก็แค่การกลับไปเยี่ยมบ้านเพียงไม่กี่สัปดาห์ แต่เมื่อเถ้าแก่บอกว่าไม่อยากให้กลับ ถ้ากลับก็ไม่ต้องมาทำงานอีก เขาจึงต้องกลับถาวร

           “ทำไมเอ็งจะกลับมาไม่ได้” เพื่อนคนไทยถาม

           “เถ้าแก่กลัวโรค”

           อรุณบอกลาเพื่อน ๆ ทุกคน ก่อนกลับเขาขอถ่ายรูปหมู่ตรงลานกว้างที่มีรูปปั้นของผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยและอดีตนักเรียนนอกจากฝรั่งเศส พร้อมตึกรูปดินสอเป็นฉากหลัง แสงสุดท้ายพาดผ่านยอดตึก พร้อมน้ำตาของมนุษย์ต้นไม้ที่หล่นร่วงลงบนพื้น

           ผ่านไปนานหลายเดือน โควิดคล้ายจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ได้อย่างกลมกลืน หรือมิฉะนั้นมันก็อันตรธานไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ผู้คนเริ่มออกจากถ้ำคอนกรีตมาใช้ชีวิตปกติ (ใหม่) สถานที่ทำงานทยอยเปิดต้อนรับคนงาน และสนามหญ้าก็เปิดให้มนุษย์วิ่งเหยียบย้ำไล่เตะลูกหนังอีกครั้ง

           แต่ ณ ทุ่งหญ้าแห่งนั้น ไม่มีใครได้พบอรุณอีก

           อรุณกลับบ้านเกิด แต่ไม่ได้เปิดร้านอาหารอย่างที่ตั้งใจ เพราะเงินก้อนนั้นถูกละลายไปกับพนันออนไลน์ด้วยฝีมือของแม่จนไม่เหลือหลอ มิหนำซ้ำ ทั้งบ้านและที่นาก็ถูกขายเพื่อจ่ายหนี้ก้อนโต อรุณจึงต้องทำงานเป็นยามเฝ้าคาสิโนที่เป็นเจ้าหนี้ของแม่

           อรุณร้องไห้ทุกครั้งเมื่อคิดถึงชีวิตในกรุงเทพฯ อยู่ที่นี่รายได้ไม่ดี และไม่มีทุ่งหญ้าที่เขารัก แต่ชีวิตก็ยังพอทนเพราะที่บ้านยังมีคนที่เฝ้ารอให้เขากลับทุกเช้าหลังออกกะ อรุณมักฝันถึงทุ่งหญ้าที่เขาจะได้โลดแล่นอย่างไม่ต้องพะว้าพะวงเรื่องอื่นใดในชีวิต แต่ต้องฝืนทำเป็นยิ้มและดัดเสียงให้สดใสเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่และน้องสาว

           แต่แล้ววันหนึ่ง อรุณก็ถูกพบห้อยต่องแต่งอยู่กับขื่อในห้องนอน อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ตกจากที่สูงลงมาตายเหมือนอย่างพ่อ บทเรียนนั้นยังฝังใจแม้ในห้วงสุดท้ายของชีวิต

           ต้นไม้ล้มครืนลงต้นแล้วต้นเล่า ปีนี้อรุณคงจะมีอายุครบ 20

           ณ ทุ่งแห่งการสังหาร ต้นไม้บางต้นล้มลง บางต้นก็มีชีวิตต่อไป


ผู้เขียน

ปิยนันท์ จินา


 

ป้ายกำกับ วรรณกรรมสนาม มนุษย์ต้นไม้แห่งทุ่งสังหาร ปิยนันท์ จินา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Share