สีดำในอาณาเขตของสายตา

 |  ศิลปะ ผัสสะ และสุนทรียภาพ
ผู้เข้าชม : 2170

สีดำในอาณาเขตของสายตา

           สีประจำตัวของฉันเป็นสีดำ ค่ำคืนเป็นสีดำ และฉันมองเห็นได้ดีท่ามกลางสีเหล่านั้น หากคุณมีคำถามว่าทำไมไม่มองดูสิ่งต่าง ๆ ตอนที่ยังสว่าง ฉันตอบคุณได้ว่าในที่โล่งแจ้ง สีดำที่แตกต่างกันมักถูกละเลยเสมอ

           ค่ำนี้ก็เป็นอีกวัน ไฟส้มชัดเจนบนถนนทึมเทา เงาผู้คนปะปนสับสน บางปะกอกคึกคักเสมอ พื้นที่แค่ระยะห้าป้ายรถเมล์ครบครันทั้งวัด ป่าไผ่ โรงเรียน ธนาคาร โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน ห้างสามแห่งและเซเว่นทุกปากซอย เวลาสองทุ่มกว่า นักเรียนซื้อของจากแม่ค้า คนสั่งพวงหรีดให้กับวัดเดินปนกับคนเพิ่งออกจากโรงพยาบาล เหล่าคนทำงานสวมเสื้อต่างสีเดินสวนกัน

           คุณคิดว่า สีดำจะอยู่ที่ตรงไหน ?

           ป้ายรถเมล์เป็นพื้นที่เฉพาะสำหรับฉันเสมอ รถครีมแดง มินิบัสส้ม รถแอร์น้ำเงิน ควันเทาท่อมอเตอร์ไซค์ แผ่นไม้สีน้ำตาลบนรถบรรทุก ทั้งหมดแล่นผ่านพื้นที่สามสะพานลอยไปสู่ขอบเขตใหม่ ด้านหนึ่งคือพระรามสอง อีกด้านคือบางปะแก้ว อีกฝั่งคือประชาอุทิศ และอีกทางคือ พระประแดง

           รถราพาผู้คนวิ่งผ่านไป ท่ามกลางการเคลื่อนไหว สีดำสงบนิ่งอยู่ในที่ของมัน

           คุณอาจมีคำถามว่าสีดำของที่นี่คือสิ่งใด ฉันควรบอกคุณไว้ก่อน สีดำของแต่ละคนต่างกัน สีดำเองก็มีหลายระดับในนั้น และไม่ใช่ทุกคนหรอกนะ ที่จะมองเห็นมัน

           แต่หากคุณมีโชค บางครั้งคุณอาจเห็น สีดำเป็นฝ่ายเข้าหา และบางคราว เกิดการดึงดูดซึ่งกัน

           ค่ำคืนคืบคลานเชื่องช้า สีดำค่อย ๆ เด่นชัด ฉันหยุดนิ่งอยู่ป้ายรถเมล์ เฝ้ามองสีดำในแต่ละพื้นที่ เงาดำรวมกลุ่มบนพื้นสะพานลอย บ้างซุ่มซ่อนอยู่หลังป้ายรถเมล์ที่มีคำเขียนเตือนว่าระวังกระเป๋าหาย คนเขียนคำเตือนนั้นเอง ก็เป็นสีดำนอนหนุนกระเป๋าริมทางเท้า เงาดำเดินหายไปในป่าไผ่ ควันเทาลอยล่อง เศษซากฟอยล์เผา สีดำตัวเล็กตัวน้อยนั่งริมถนน สูดอากาศจากในถุงพลาสติก แม่ค้าผัดกับข้าวด้วยรอยยิ้มสีดำ พูดคุยจ้างวานสีดำให้ทำงานทวงหนี้ สีดำนอนแน่นิ่งหลังไม่ชำระหนี้ และกลายเป็นสีดำที่ฝังคราบลงถาวร ท่ามกลางสีดำที่เคลื่อนไหวและถาวร ทันใดนั้น ฉันเหมือนเห็นดวงดาว...

           ดวงดาวอยู่ท่ามกลางสีดำบนสะพานลอย ดาวสองดวงคือดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองไปในสีดำเดียวกัน สายตาเราพบสบตา ฉันบอกคุณหรือยังว่า หากถูกสีดำมองเห็นเข้า การแสร้งทำเป็นไม่เห็น การยอมรับว่าได้เห็น การหนี การเผชิญหน้า เป็นตัวเลือกที่อาจเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตคุณได้

           เจ้าของสายตานั้นเดินลงจากสะพาน ใกล้เข้ามายังป้ายรถเมล์ ผู้คนมีอยู่มากมาย แต่ฉันรู้ดีว่าสายตานั้นจับจ้องมองใคร ฉันเลือกหนีตอนนี้ หรือจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็ได้

           แต่คุณเข้าใจใช่ไหม ใครเล่าจะปฏิเสธดวงดาวได้

           “พี่เห็นผม” สีดำผู้มีดวงดาวเป็นแววตาคือเด็กชายร่างเล็ก หากได้เรียนคงอยู่ชั้นประถมต้น ฉันพยักหน้า รอเห็นเฉดสีที่เขาเป็น จนเด็กชายเอ่ยปากขอเงิน ฉันจึงเข้าใจ สีดำตัวเล็กเป็นดาวไถสาดแสงแพรวพราว

           หากคุณอยากลองขยายขอบเขตของสายตา ลองเพ่งมองสิ่งของตรงหน้า รับรู้ สัมผัส ถาม และตอบกับตัวเองว่าคุณเห็นสิ่งใด ฉันมองดูเด็กชายตัวน้อยที่เพิ่งขอเงินไป เรานั่งตรงข้ามกัน คั่นกลางด้วยแผ่นเมนูร้านอาหารป้าบนทางเท้าที่แอบขายช่วงดึกหน้าธนาคาร จ่ายค่าคุ้มครองแล้วให้แก่สีดำ เด็กชายบ่นหิว ร้องขอเงินไปซื้อข้าว ฉันจูงมือเด็กชายมาที่ร้าน ซื้อเวลาในการเฝ้ามองกันและกันอีกหน่อย

           ถ้าคุณถามฉันว่ามองเห็นสิ่งใด ฉันตอบได้ว่าสีดำในตัวเด็กชายเข้มข้นทีเดียว

           ข้าวผัดหมูพร้อมน้ำอัดลมสีดำวางอยู่ตรงหน้า เด็กชายใช้ช้อนส้อมเขี่ยคะน้าหอมใหญ่มะเขือเทศ ยกมือคว้าแก้วน้ำแกว่งไปมาราวกับว่าเป็นเครื่องดื่มสีดำชนิดอื่น สีดำบางชนิดซึมซับจากการพบเห็นคนใกล้ตัวมาก่อน ป้าแม่ค้าเดินมาเล่าว่าเด็กชายมีพื้นหลังอย่างไร ครอบครัวทุกคนเร่ขอเงินคนตั้งแต่ตากับยาย พ่อแบมือขอที่ป้ายรถเมล์โรงเรียน แม่ขอทานบนสะพานลอยหน้าห้าง พี่ชายร่อนเร่ขอเงินคนหน้าโรงพยาบาล และเด็กชายก็มักจะปักหลักเอาแถวนี้

           เด็กชายไม่ตอบโต้ป้าแม่ค้าแต่อย่างใด มือเล็กกำแก้วไว้แน่นพร้อมเขวี้ยง สีดำแผ่ขยายจากน้ำดำไปสู่มือนั้นหากคุณให้ฉันลองถามตอบตัวเองว่าเห็นอะไร ฉันเห็นภาพเด็กชายตัวคนเดียว มีแก้วแค่ใบเดียวเพื่อใช้ปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง

           สีดำที่มองเห็นกันและกัน มักมองเห็นดวงดาวข้างในกันและกัน

           เด็กชายตัวเล็กเดินตามฉันไปในซอยตรงข้ามตลาด บ้านของเราทั้งคู่อยู่ซอยเดียวกัน ความคึกคักปากซอยกลืนหายไปในสีดำ สีดำที่เด่นชัดในสายตาเราทั้งสอง โค้งมุมซอยที่วินมอเตอร์ไซค์ให้ข้าวหมาแมว อาบด้วยเลือดของร่างวินมอเตอร์ไซค์ใจบุญคนนั้นเองหลังมีเรื่องกับกลุ่มวัยรุ่นซิ่งรถ ซอกซอยมีบ่อน ยา และตำรวจที่รอรับค่าคุ้มครอง ป้ายประกาศตามหาโจรที่หนีหายหมายถึงตามล่าผู้ร้ายมาลงทัณฑ์ให้สาสม ฟันแต่ละซี่ของสีดำมีราคาที่สีดำอีกระดับพร้อมจ่าย ไฟยังคงสว่างจากเซเว่นที่มีทั้งหน้าปากซอยและในซอย เด็กชายบอกฉันให้หยุดอยู่หน้าร้าน ไฟสว่างเจิดจ้าของเซเว่นส่องให้ฉันเห็นเด็กชายชัดเจนขึ้น ร่างเล็กผอมแห้งเนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าเก่าขาด ผมรองทรงพร้อมรอยไถลึกติดหนังหัว เด็กชายเรียนอยู่ชั้นประถมสามแล้ว เขาล้วงมือคว้าลูกอมฮาร์ทบีทสีชมพูในกระเป๋ากางเกง แต่ชมพูร่วงหล่นที่พื้น เมื่อร่างเล็กก้มเก็บ ชายเสื้อเลิกขึ้น ฉันจึงเห็นม่วงเขียวและน้ำตาลเป็นริ้วรอยอยู่เต็มลำตัวนั้น

           เด็กชายบอกฉัน...บางคราวเด็กดื้อก็ต้องถูกตี แล้วเด็กดีของฉันก็ยื่นลูกอมส่งมาให้ สีดำรวมเราทั้งคู่ไว้ขณะเดินข้างกัน ยิ้มให้กัน ตลอดทางซ้ายขวาของฉันและเด็กชายเป็นตึกของการเคหะฯ เรียงราย ไล่ตามตัวอักษรเรื่อยไปตั้งแต่ A B C D…

           ฉันโบกมือลาและแยกจากไปในตึก D มองจากระเบียงตึก ร่างเล็กกลืนหายไปกับสีดำสนิทกลางค่ำคืน

           คุณคิดว่า สายตาของฉันมองเห็นเด็กชายชัดดีพอหรือยัง ?

           หากต้องการเห็นสิ่งใดให้แจ่มชัด การค้นหาผ่านเว็บไซต์กูเกิ้ลเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการทำให้กระจ่าง ง่ายเพียงปลายนิ้วคลิก ยากในการเลือกอ่านจากข้อมูลนับร้อยพัน ทันทีที่ก้าวเข้าห้องยี่สิบหกตารางวาของการเคหะฯ ฉันเปิดคอมพิวเตอร์ จดจ่อกับหน้าจอสี่เหลี่ยม และพิมพ์คำค้นหาลงไป... เด็กเร่ร่อน

           “เด็กเร่ร่อน ปัญหาสังคมไทยที่ไม่ควรมองข้าม”1

           ฉันเลื่อนอ่านทุกถ้อยคำ มองหาใจความที่ช่วยให้เห็นเด็กชายชัดเจนขึ้น แสงสีแรกปะทะเข้าตา

           “ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 52... เด็กและเยาวชน มีสิทธิในการอยู่รอด และได้รับการพัฒนาด้านร่างกายจิตใจและสติปัญญาตามศักยภาพในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชนเป็นสำคัญ”

           “เด็ก เยาวชน สตรี และบุคคลในครอบครัว มีสิทธิได้รับความคุ้มครองจากรัฐให้ปราศจากการใช้ความรุนแรงและการปฏิบัติอันไม่เป็นธรรม ทั้งมีสิทธิได้รับการฟื้นฟูในกรณีที่มีเหตุดังกล่าว”

           อนาคตของชาติดูสว่างจ้าจนแทบแสบตา แต่ช่วยไม่ได้หรอก หากว่าคุณเคยมองเห็นสีดำแล้ว มืดหม่นจะติดตรึงในใจ ข้อความต่อไป และต่อ ๆ ไปบอกกับฉัน

           “ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กพ.ศ. 2546... เด็กเร่ร่อนหมายความว่า เด็กที่ไม่มีบิดามารดา หรือผู้ปกครองหรือมีแต่ไม่เลี้ยงดู หรือไม่สามารถเลี้ยงดูได้ จนเป็นเหตุให้เด็กต้องเร่ร่อนไปในที่ต่าง ๆ หรือเด็กที่มีพฤติกรรมใช้ชีวิตเร่ร่อนจนอาจจะเกิดอันตรายต่อสวัสดิภาพของตน”

           เด็กชายเร่ร่อนขอเงิน เนื้อตัวมีแต่รอยช้ำ พ่อแม่และพี่ชาย ตายายก็ไม่ต่างกัน

           เด็กเร่ร่อน ป.3 ในบ้านขอทาน ฉันปิดคอมพิวเตอร์ลงแล้วหลับตา บันทึกเด็กชายไว้เช่นนั้น ไม่มีทางอื่นใดนอกจากจดจำ ในมุมมองของสีดำเช่นฉัน หากหวังจะช่วยสีดำให้หลุดพ้นจากสีดำ คงมีเพียงทางเดียวคือสวดมนต์ขอพร

           ก็ถ้าคุณยังเชื่อในความหวังอยู่บ้าง
 

           สีของความหวังเป็นอะไรได้บ้าง ?

           ปลายปี พ.ศ. 2563 ฝันของความหวังที่ฉันเห็นมีสีเหลือง ตาโตกลมใส ปากงอนน่ารัก อัดแน่นด้วยลม ตัวเบาถูกยกขึ้นล่องลอยในหมู่ฝูงชนรวมกัน เพื่อนของฉันคนหนึ่งอยู่ที่นั่นด้วย เธอบอกกับฉัน ไม่เกี่ยวกับการขับไล่ใครหรือร่างกฎหมายฉบับใด แค่ยาซึมเศร้าเธอหมด และโรงพยาบาลก็ปฏิเสธบัตรทอง เธอไม่เข้าใจว่ายารักษาโรคซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่กลายเป็นสิ่งที่เธอต้องดิ้นรนเอาเองได้อย่างไร คำถามนั้นจะดังก้องในหมู่ผู้ชุมนุม เธอเชื่อเช่นนั้น จนกระทั่งความหวังสีเหลืองถูกย้อมทับด้วยสีน้ำเงิน นักเรียนนักศึกษาวิ่งหนี สะดุดขาตัวเองล้มครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงอื้ออึงว่ามันอยู่ตรงนั้น จับมันให้ได้ ดวงตาเธอพร่าเลือนด้วยสารเคมี และนับจากนั้น ความหวังสำหรับเธอก็เป็นสีดำ

           ห้วงฝันของฉันสิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน เมื่อกระเป๋ารถเมล์ตะโกนว่าตลาดบางปะกอก สะดุ้งตัวตื่นเดินลงจากรถ ผู้คนสวมใส่หน้ากาก เยาวชนของชาติอยู่บ้านเพื่อเรียนออนไลน์ ฉันเฝ้ามองหาเด็กชายสีดำที่ป่านนี้ คงเรียนอยู่ชั้นประถมปลาย

           คุณคิดเหมือนฉันไหมว่า สีดำที่เคยสบตากัน มักจะหากันเจอเสมอ

           ท่ามกลางค่ำคืน สีดำแพร่กระจายในอากาศ สีดำของความกลัวและตัวโรค และสีดำที่ดักรอวอนขอ กระทั่งช่วงชิงเงินเพื่อความอยู่รอด ฉันนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมตรงป้ายรถเมล์ จนสีดำหน้าใหม่นั่งประกบซ้ายขวา ของแข็งจี้เข้าที่เอว ฉันสบตากับสีดำนั้นและยืนยันว่าไม่มีเงิน สีดำที่มองเห็นสีดำด้วยกันก็จากไป

           แล้วเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งฉันก็เห็น บนสะพานลอย ซอกแคบมืดดำตรงขอบชานพักเลยจากราวบันได เด็กชายคนเดิมสวมเสื้อกันหนาวสีดำ ฮู้ดปิดคลุมหัว ดวงดาวคู่นั้นจ้องมองถนน

           “พี่ยังมองเห็นผมอยู่” ฉันยืนอยู่ด้านในราวสะพาน ใช้เวลาไม่นานเด็กชายก็ปีนกลับเข้ามา ส่วนสูงของเด็กชายเพิ่มขึ้นจนเกือบจะเท่ากัน ฉันไม่แน่ใจนักว่าสีสันที่ดวงตาเรามองเห็น ใกล้กัน เท่ากัน มากน้อยอย่างไร

           ร้านในช่วงการแพร่ระบาดไม่อนุญาตให้นั่งกินนอกบ้านที่ไหนทั้งนั้น ร้านค้าป้าข้างทางเหลือ แต่โครงกับป้ายคนละครึ่ง เราชนะ เรารักกัน ไฟสว่างจากร้านค้ามีเพียงเซเว่นทุกปากซอย เด็กชายยังคงเป็นดาวไถ ฉันพาดวงดาวเข้าห้าง เด็กชายกระซิบถาม ถ้าขอซื้อไก่เคเอฟซีจะได้ไหม

           ระหว่างรอไก่ทอดพร้อมเหล่าไรเดอร์เดลิเวอรี เด็กชายเสียงแตกหนุ่มแหบห้าว อวดสมาร์ทโฟนหน้าจอแตกร้าวการเรียนออนไลน์ของเด็ก ป.6 ไม่เคยสนุก ค่าอินเทอร์เน็ตยิ่งไม่สนุก สีดำข้างถนนเคยพยายามชิงมือถือไป ยื้อแย่งกันจนเครื่องตกกระแทกพื้น ใบหน้าเด็กชายมอมแมม แม้ปิดไว้ด้วยหน้ากาก แผลเป็นที่ศีรษะด้านซ้ายฝากรอยลึกเด่นชัดพอ ๆ กับรอยไถตรงหัวที่ผมไม่งอกขึ้นอีกเลย

           ฉันมองออกไปนอกร้าน สีดำคุ้นตานั่งอยู่ตรงเก้าอี้หน้าห้องน้ำห้าง ร่างนั้นคือป้าขอทานที่ฉันเห็นบ่อยบนสะพานลอยช่วงก่อนโควิดระบาด เพียงแต่ในวันนี้สีดำถูกย้อมทับด้วยเสื้อเขียว เด็กชายบอกฉันว่าคุณป้า คนนั้นคือแม่ของเขาเอง แม่ทำงานเป็นพนักงานเก็บขยะ พี่ชายเพิ่งได้ทำงานที่เซเว่น ส่วนพ่อก็ทำงานกับแม่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว

           ไก่ทอดมาส่งอย่างดีในกล่องแดง ฉันแยกจากเด็กชายที่ตรงนั้น ความคิดสับสนปนเป เด็กเร่ร่อนในความทรงจำเด็กเร่ร่อน ป.3 ในบ้านขอทาน เปลี่ยนใหม่ไปเป็นใคร ?

           คุณพอจะช่วยฉันจดจำหน่อยได้ไหม ความจำของฉันและคุณอาจจะต่างกัน เด็กชายที่ฉันจำได้ ทุกคนในบ้านเร่ขอเงิน พ่อขอเงินป้ายรถเมล์ แม่ขอที่สะพานลอย พี่ชายอยู่หน้าโรงพยาบาล ตากับยายเป็นขอทาน แต่ครอบครัวของเด็กชายวันนี้มีงานทำ เด็กชายมีสมาร์ทโฟนใช้ ถึงอย่างนั้นเด็กชายก็ยังเร่ขอเงินบนสะพานลอย ฉันเริ่มไม่แน่ใจในการมองเห็น ดูเหมือนว่าสีสันที่เป็นไปไกลเกินขอบเขตของดวงตา

           เด็กเร่ร่อนเกิดจากอะไร ? ผลการค้นหานำฉันกลับไปสู่เอกสารชิ้นเดิม เนื้อความในนั้นบอกว่าเด็กเร่ร่อนเกิดจากปัญหาครอบครัว ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาที่ตัวเด็ก หรือแม้แต่การถูกโรงเรียนลงโทษ ฉันปิดเอกสารนั้น ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตอีกนับร้อยพัน ก็ประมวลสีสันของเด็กชายไม่ได้

           คุณคงจะรู้อยู่แล้วล่ะ ในการทำความเข้าใจชีวิตคนหนึ่งคน กูเกิ้ลไม่ได้ช่วยอะไร

           แต่เราจะพยายามทำความเข้าใจชีวิตใครไปทำไม ฉันก็ตอบตัวเองไม่ได้ ไม่ง่ายเหมือนป้อนคำถามแล้วตามหาคำตอบในอินเทอร์เน็ต ต่อให้ไม่รู้คำตอบ ตื่นมาอีกวัน ขาทั้งสองข้างก็พาฉันเดินเข้าซอกซอยไป จากตึก A B C D ที่ตัวเองรู้จัก ลึกเข้าไปสู่ E F G H

           เวลาบ่ายโมงไม่ได้เหมาะกับสีดำอย่างฉัน แต่แสงสว่างทั่วไปก็ผสมด้วยสีดำ วินมอเตอร์ไซค์หน้าตึกหันไปแทงหวย ผู้คนตั้งวงดื่มเหล้าหน้าโต๊ะยามตั้งแต่หัววัน ร้านไปรษณีย์รับส่งของทั้งขาวและดำ ลึกไปไกลกว่านั้น ตึก I J K L พ้นไปจากภาพที่ฉันรู้จัก ผู้คนในที่สว่าง เดาไม่ออกว่าซ่อนเงาแบบใดไว้ข้างหลัง ฉันเพียงแต่ลองใช้ความเป็นไปได้ของโชคชะตา เดินหาดวงดาวในยามกลางวัน

           และในที่สุด ฉันได้เห็นเด็กชายอีกครั้ง ฉันบอกคุณแล้ว สีดำที่เคยสบตากัน มักจะหากันเจอเสมอ

           “พี่เห็นผมอีกแล้ว”

           ดาวไถไม่เรืองแสงในยามกลางวัน เด็กชายซื้อน้ำอัดลมห้อยถุงในร้านชำที่มีป้ายโครงการเราชนะ เด็กชายที่ฉันไม่รู้แม้แต่ชื่อส่งยิ้มให้เหมือนคุ้นเคยกันมานาน ฉันเดินตามเด็กชายไปเรื่อย เรื่องราวสีดำ เล่าผ่านสายตาของเด็กชาย ทั้งคราบดำถาวรของผู้คนที่กลายเป็นขีดขาวบนพื้นถนน กิจกรรมข้างหลังผ้ากั้นหลังร้านตามสั่งการจองที่จอดรถหน้าตึกด้วยการแขวนป้ายพร้อมห้อยผ้าอนามัยใช้แล้ว เด็กชายชี้ที่จุดเกิดเหตุแล้วยิ้มให้ฉันครอบครัวเขาอยู่ที่ตึกนี้

           บันไดเดินขึ้นสู่ชั้นห้าอันเป็นจุดสูงสุดของตึก ก้าวตามเด็กชายทีละขั้นช้า ๆ ฉันเพิ่งสังเกตว่าตึกของฉันและเด็กชายไม่มีอะไรใกล้เคียงกันเลย ผู้คน ข้าวของ กลิ่นผนัง แสงไฟ แมวจรตามระเบียงตึก เศษก้นบุหรี่ เสลดน้ำลายถ่มถุย เสียงไอค่อกแค่กโควิด-19 ถึงอยู่ในช่วงโรคระบาด แต่ฉันและเด็กชายในตอนนี้ เราทั้งคู่ไม่ได้ใส่หน้ากาก

           ห้องหัวมุมบันไดฝั่งขวาชั้นห้ามีศาลเจ้าหัก ๆ กองอยู่พร้อมโต๊ะ เตียง ตู้ ข้าวของวางล้นกินพื้นที่ทางเดิน เด็กชายไขกุญแจแล้วเดินหายเข้าห้องนั้น พูดคุยกับคนด้านใน สักพักก็กวักมือเรียกให้ฉันเดินเข้าไป

           ข้างในห้องนั้นเป็นสีขาว

           ผนังขาว ข้าวของวางเรียบร้อยตกแต่งอย่างดี หลุดจากมิติความรกวุ่นวายภายนอก หญิงขอทานที่ฉันคุ้นหน้าสวมใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ นั่งให้นมลูกเล็กอายุประมาณไม่เกินขวบ เด็กชายวางเครื่องดื่มที่ซื้อจากร้านชำไว้ข้างผู้เป็นแม่ เธอยิ้มให้ฉัน กล่าวขอบคุณในความใจดีที่เคยพาลูกชายไปเลี้ยงข้าว

           ไม่มีกระจก ฉันจึงไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหน แต่หากถามแล้วตอบตัวเองว่ารู้สึกอะไร ฉันคิดว่ากำลังสับสน

           ลูกเล็กที่เพิ่มขึ้นมา ตาและยายที่หายไป มากไปกว่านั้น คือสีสันในห้องที่ฉันไม่คิดว่าจะได้เห็น กล่องใส่เงินวางอยู่เป็นระเบียบอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง ราวกับกล่องบริจาคตามวัดที่แบ่งแยกประเภทการใช้จ่ายชัดเจน ค่าเทอม ค่ากิน ค่าน้ำ ค่าไฟ เงินในแต่ละกล่องนั้นมีจำนวนไม่น้อยทีเดียว

           ระบบประมวลสีของฉันเปลี่ยนไป อะไรกันที่แปลกจากสิ่งที่เคยเชื่อ เคยรู้สึก ฉันยังตอบตัวเองไม่ได้ แต่คำถามหนึ่งก็เกิดขึ้นในใจ ทั้งที่มีงานทำ มีเงินใช้ แล้วทำไมยังต้องเร่ขอเงินคน

           แม่และลูกชายจ้องมองฉัน ดวงดาวเจิดแสงเสียจนตาพร่า มีงานทำ คนละความหมายกันกับมีเงิน งานเก็บขยะที่ทำทั้งพ่อทั้งแม่รวมกันไม่พอเป็นรายได้เลี้ยงดูเด็กที่เกิดใหม่ด้วยซ้ำ ต่อให้พี่ชายทำงานเซเว่นเพื่อช่วยเหลือก็ไม่พอกินพอใช้ และสำหรับเธอแล้ว การขอเงินคนโดยไม่บังคับขู่เข็ญ วิ่งราวชิงทรัพย์ หรือทำร้ายร่างกาย ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร

           ห้องแห่งนี้มีเพียงสีขาวและดวงดาวเจิดแสง ฉันเองที่เป็นสีดำ

           ที่นี่ไม่มีสิ่งใดใกล้เคียงกับห้องที่ฉันอาศัยอยู่ ร่องรอยความรุนแรงบนเนื้อตัวเด็กชายเกิดจากครูและรุ่นพี่ที่โรงเรียน ห้องยี่สิบหกตารางวาที่นี่อบอุ่น ฉันยิ้มให้กับตัวเองที่กลางห้องนั้น รู้ตัวอีกที แม่และเด็กชายก็ประกบซ้ายขวาพวกเขาถาม แล้วฉันล่ะ ตัวฉันเองเป็นใคร

           ภายใต้เสื้อผ้า รอยแตกตามเนื้อตัวที่ฉันไม่ได้บอก ห้องที่ฉันเลือกกลับไปแค่ตอนดึกดื่น และป้ายรถเมล์ก็เป็นที่ประจำเสมอในยามค่ำคืน ฉันตอบพวกเขาได้เพียงรอยยิ้ม ความรู้สึกแปลกแยกแตกต่างผุดขึ้นมา ไออุ่นความสว่างในห้องสีขาวราวจะปัดเป่าทุกความเลวร้าย แต่พอเสียงไอและเสียงกรีดร้องดังขึ้นข้างนอกนั้่น การมองเห็นของฉันก็เปลี่ยนแปลงไป

           พวกเขาบอก รถพยาบาลรับคนออกไปจากตึกแล้วไม่เคยพากลับมา แขนของทุกคนยังโล่งจากเข็มวัคซีน และโทรศัพท์มือถือยังลงทะเบียนสิทธิคนละครึ่งไม่ได้

           ขาวเจิดจ้าที่ฉาบทาค่อย ๆ ลบเลือนเมื่อสีดำคืบคลานเข้ามา สีดำที่ฉันเคยเห็นกระจัดกระจายเป็นหลายหลากสี สีดำไม่ได้เป็นเพียงแต่ดำ หากเป็นผลรวมจากหลายสีสันที่สาดลงไป สีใดกันเล่าที่ย้อมพวกเรา ไว้ในความมืด หลงเหลือเพียงดวงดาวในตัวเอง

           “พี่เห็นผมชัดพอหรือยัง ?” เด็กชายและแม่ยิ้มให้ฉัน ดวงตาแวววาวราวกระจกสะท้อน เช่นเดียวกับฉันในตอนนี้จับจ้องมองคุณ

           การมอง และการเห็น ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน หากสายตาคุณมองไกลและเห็นได้หลายระดับสีข้างในนั้น โปรดมองถาม และตอบต่อตัวเอง

           สีดำที่คุณเห็นเป็นอย่างไร ?


1  สืบค้นจาก https://www.parliament.go.th/ewtcommittee/ewt/special/download/article/article_20140528151704.pdf


ผู้เขียน

นวศรี ชนมหาตระกูล

นักศึกษาปริญญาเอกและผู้ช่วยวิจัยที่สนใจศึกษาด้านพัฒนาการทางภาษาของทารกและเด็กเล็กวัย 0-2 ปี ควบคู่ไปกับการเขียนเรื่องสั้นและบทความ

แรงบันดาลใจ มุมมอง หรือสิ่งที่ต้องการนำเสนอ

           เรื่องสั้นที่พยายามหาจุดกึ่งกลางระหว่างความเป็นวรรณกรรมและการนำเสนอข้อมูลทางมานุษยวิทยา สรุปออกมาเป็นการใส่ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กเร่ร่อนผ่านตัวอย่างบุคคลที่ได้พูดคุยกันจริง และปรับการนำเสนอให้มีความเป็นวรรณกรรมด้วยการใช้สีเป็นสัญลักษณ์แทนความมืดมัวของสังคมที่แทรกซ้อนซ่อนอยู่หลายระดับชั้น

ความรู้สึกหรือมุมมองในการเขียนหลังจากเข้าร่วมโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการวรรณกรรมสนาม

           ก่อนหน้าที่จะเขียนเรื่องนี้สำเร็จ ได้เคยพยายามเขียนเรื่องนี้ออกมาเป็นเรื่องสั้นที่ไม่ใช่แนวมานุษยวิทยา แต่ยังรู้สึกไม่เติมเต็ม การได้เข้ารับการอบรมในครั้งนี้ทำให้ได้แลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างวิทยากรและผู้เข้าร่วมอบรมทุกคน เป็นประสบการณ์ที่ดี และที่สำคัญ ทำให้ได้ลองเขียนเรื่องสั้นในแนวมานุษยวิทยาเป็นครั้งแรกด้วย


 

ป้ายกำกับ วรรณกรรมสนาม นวศรี ชนมหาตระกูล

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Share