เขียนโดย Maitre, Cl. E | วันที่เผยแพร่เอกสาร 01/01/2513
ผู้เข้าชม 2509 | จำนวนดาวน์โหลด 0
คะแนนสื่อ
littérature historique du Japon dès origines aux ashikaga, La = วรรณกรรมที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นตั้งแรกเริ่มจนถึงยุคอาชิกากา
Maitre, Cl. E
ไทย
ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
Cl. E. Maitre. (Année 1903).littérature historique du Japon, des origines aux Ashikaga, La. Bulletin de l'Ecole française d'Extrême-Orient. Volume 3 Numéro 3 pp. 564-596
ดูเอกสารต้นฉบับจาก www.persee.fr
วรรณกรรมที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงยุคอาชิกากา La littérature historique du Japon dès origines aux ashikaga โดย Ce. E. MAÎTRE Par. M. Ce. E. MAÎTRE สมาชิกสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพทิศ Membre de l’École française d’Extême-Orient
สรุปความโดย ดร.เสาวนิต รังสิยานนท์
I การถ่ายทอดตำรา
วรรณกรรมที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ตั้งแต่ ค.ศ. 712 เมื่อยาซุมาโร (Yasumaro) เขียน โคจิกิ (Kojiki) นั้นมีมากมายเหลือคณานับ ด้วยประกอบด้วยเรื่องราวต่าง ๆ ทุกด้าน แต่ไม่ได้แบ่งแยกประเภทให้ชัดเจน ยกเว้นวรรณกรรมในศตวรรษที่ 8 และ 9 และริกโกกุชิ (Rikkokushi) ซึ่งอยู่ในความอุปถัมภ์ของโตกุกาวา (Tokugawa) ที่สามารถเทียบได้กับ “24 เรื่อง” (Vingt-quatre Histoires) ของจีน อย่างไรก็ตาม เมื่อจะต้องจัดพิมพ์วรรณกรรมเหล่านี้ก็ต้องมีการแยกประเภท ซึ่งมีอุปสรรคหลายประการเช่น I แหล่งข้อมูลมีไม่เพียงพอ ญี่ปุ่นไม่มีการทำรายการห้องสมุดแห่งชาติ (Bibliothèque impériale) ในขณะที่ประเทศจีนได้ทำไว้อย่างละเอียด แม้ในรายการห้องสมุดของรัฐบาลญี่ปุ่นก็ไม่มีรายละเอียดของเอกสาร รายการหนังสืออ้างอิงที่ดีที่สุดทั้ง Gunsho ichiran ของ Osaki Masayoshi และ Kokusho kaidai ของ Samura Hachirô ก็ไม่ได้ช่วยในการค้นคว้ามาก และข้อมูลที่ให้ไว้ผู้ใช้ก็ต้องตรวจสอบให้ดี ส่วนรายการหนังสืออ้างอิงทางด้านประวัติศาสตร์ก็จะมีแต่ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น และลำดับเหตุการณ์ โดยไม่มีรายละเอียด สำหรับตำราทางด้านนิติศาสตร์นั้นดูเหมือนว่าจะมีการจัดทำรายการที่ดีกว่าเอกสารอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีรายการหนังสืออ้างอิงกระจัดกระจายอยู่ในนิตยสารต่าง ๆ และสามารถใช้เป็นข้อมูลในการศึกษาวรรณกรรมที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นได้ II ในด้านเอกสาร ญี่ปุ่นเพิ่งจะมีการทำบัญชีรายการที่เป็นระบบในต้นศตวรรษที่ 19 เอกสารในต้นศตวรรษที่ 8 จะเริ่มตีพิมพ์ในต้นศตวรรษที่ 17 ยิ่งไปกว่านั้นในสมัยโตกุกาวา (Tokugawa) จะตีพิมพ์ได้แต่เพียงเอกสารที่ไม่พาดพิงถึงอำนาจของโชกุนเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีการศึกษาประวัติศาสตร์ในสมัยโตกุกาวานี้เช่นกัน และการศึกษาเอกสารโบราณอย่างกว้างขวางต่อมาจนถึงสมัยเมจิ (Meiji) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 ถึงศตวรรษที่ 12 เป็นยุคแรกที่วรรณกรรมญี่ปุ่นรุ่งเรืองมาก ด้วยมีขุนนางชั้นสูงที่มีความรู้ในราชสำนักเกียวโต มีมหาวิทยาลัย และผู้หญิงได้รับการศึกษาและเขียนหนังสือ แต่ในกลางศตวรรษที่ 12 ทหารมีอำนาจมาก ราชสำนักไม่มีอิทธิพล การศึกษาไม่ได้รับการเอาใจใส่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัย Ashikaga (1336-1573) พระสงฆ์ในพุทธศาสนาเป็นบุคคลกลุ่มเดียวที่มีความรู้ เอกสารต่าง ๆ จึงสูญหายไปหมด หรือสูญหายไปบางส่วน การดูแลรักษาก็ไม่เพียงพอ จนถึงปลายศตวรรษที่ 16 ก็ยังไม่มีการตีพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ใด ๆ เอกสารที่เขียนด้วยลายมือก็กระจัดกระจายอยู่ตามบ้านขุนนาง และตามวัด ส่วนประชาชนไม่มีโอกาสได้รู้จักเอกสารเหล่านี้เลย และไม่มีใครสนใจ จนถึงสมัย Tokugawa Ieyasu ญี่ปุ่นมีสันติภาพถึง 250 ปี มีการสนับสนุนการศึกษา มีการพิมพ์ มีห้องสมุด และมีการติดต่อกับจีนและประเทศอื่น ขุนนางฝ่ายปกครองสร้างห้องสมุด Momiji-yama ซึ่งมีชื่อเสียงในปี 1614 Ieyasu สั่งให้รวบรวมเอกสารเก่าแก่ที่หาได้ทั่วประเทศ ในปี 1722 Yashimune ก็เสาะหาอีกจนได้เอกสารมากมายในปี 1630 Hayashi Razan สร้างโรงเรียนบนที่ดินที่ได้รับบริจาคจากโชกุน Hidetada ต่อมาโรงเรียน Shôhei gakkâ นี้ มีชื่อเสียงมาก ประมาณปี 1645 Iemitsu สั่งให้ Razan เรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น และ Hayashi Jo บุตรของ Razan ก็ทำต่อจากบิดาจนสำเร็จในปี 1670 งานอีกชิ้นหนึ่งของ Razan และบุตร เขียนสาแหรกของตระกูลและประวัติของครอบครัว ในสมัยกลางคือ Kwanei shoka keifuden และ Arai Hakuseki (1656-1725) เขียน Hankamfu หรือเรื่องของขุนพลญี่ปุ่น และ Dokushi yoran ซึ่งเป็นงานเขียนเกี่ยวกับประวัติ ปรัชญาของการปฏิวัติญี่ปุ่นชิ้นแรก แต่ยุคทองของการรวบรวมเอกสารอยู่ในสมัยของโชกุน Ienari (1787-1837) มีการเขียนเรื่องราวของโชกุนไว้มาก แต่ประชาชนไม่ได้มีโอกาสศึกษางานเหล่านี้ จนกระทั่งถึงยุคที่โชกุนหมดอำนาจ ประชาชนจึงได้เห็นผลงาน ที่พวกโชกุนใช้เวลาทำถึง 250 ปี พวกขุนนางฝ่ายทหารว่าจ้างผู้ที่มีความรู้ ทำงานให้ตั้งแต่สอนหนังสือบุตรธิดาไปจนถึงร่างจดหมายและเขียนชีวประวัติของตน ขุนนางเหล่านี้ยังเก็บรวบรวมเอกสารที่เขียนด้วยลายมือ และสนับสนุนการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ และตระกูล Maeda แห่ง Kanazawa ยังสร้างห้องสมุดสำหรับเก็บเอกสารที่หายาก และขุนนางอื่น ๆ ก็ดูแลการเขียนหนังสือ เช่นเรื่อง Shichô, Tankwaku sôcho Tokugawa ที่มีบทบาทเด่นคือ Mitsu-kuni ได้สร้างสำนักการศึกษาที่บ้านที่ Edo ในปี 1657 และให้ชื่อว่า Shôkòkwan โดยจ้างผู้มีความรู้ และอาลักษณ์จำนวนมากด้วยเงินก้อนใหญ่ เพื่อเขียนประวัติราชวงศ์ (Histoires dynastiques) เป็นประวัติประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่สมัย Jimmu จนถึงสมัยที่ราชวงศ์เหนือและราชวงศ์ใต้มารวมกัน เรียกว่า Go-Komatsu หนังสือเล่มนี้ชื่อ Dai-nihon-shi เขียนเป็นภาษาจีนที่สละสลวย และถือได้ว่าเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นดีเล่มหนึ่ง นอกจากนี้ Mitsukuni ยังจ้างอาลักษณ์อีกกลุ่มหนึ่งเขียนเรื่องงานฉลองและงานพิธีในราชสำนักจักรพรรดิ หรือ “Reigi ruiten” เสร็จในปี 1710 แต่ไม่เคยได้รับการตีพิมพ์ ถึงแม้ขุนนางฝ่ายทหารเหล่านี้ จะรวบรวมเอกสารโบราณที่มีค่า แต่เขาก็ไม่ต้องการให้ประชาชนได้ศึกษา และไม่เคยคิดที่จะพิมพ์เอกสารเหล่านี้ด้วย ซามูไรยากจนและตาบอดคนหนึ่งชื่อ Hanawa Koküchi (1745-1822) มีความคิดว่าการที่รักษาวรรณกรรมที่มีค่าและเผยแพร่นั้นจะต้องตีพิมพ์ เมื่อเขาเป็นผู้มีความรู้เปรื่องปราดและมีชื่อเสียง เขาได้รับการสนับสนุนจากขุนนางฝ่ายปกครองผู้หนึ่ง เขาจึงจัดสัมมนาเพื่อการศึกษา และจัดพิมพ์หนังสือประวัติศาสตร์และกฎหมาย 665 เล่ม ชื่อ “Gunsho ruiju” หลังจากที่ทีมงานของเขาค้นคว้าและศึกษานานถึง 15 ปี หนังสือพิมพ์เสร็จในปี 1819 ในระหว่าง 15 ปีนั้น Hanawa ยังได้รวบรวมผลงานอื่น ๆ อีก 2103 ชิ้น เพื่อทำเป็นหนังสือ 1,000 เล่ม โดยให้ชื่อเรื่องว่า “Zoku gunsho ruiju” เนื่องจากทั้งเงินและเวลามีไม่พอ หนังสือนี้ก็ยังคงเป็นลายมืออยู่จนทุกวันนี้ หนังสือทั้ง 2 เรื่องนี้ มีก่อนสมัย Meiji หนังสือที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของ Hanawa นั้นยังมีอยู่อีกมาก เช่น “Kaki” (เรื่องครอบครัวสมัยเจ้าขุนมูลนาย) มี 178 เล่ม และ “Buke Myômoku shô” (700 เล่ม) นอกจากนี้ Hanawa ยังมีโครงการพิมพ์ตำราประวัติศาสตร์ออกเป็นรายวัน รายเดือน และรายปี เขายังมีงานใหญ่อีกชิ้นหนึ่งที่ไม่เสร็จคือ “Shiryô” (ประวัติศาสตร์ตั้งแต่รัชสมัยของ Uda จนถึงรัชสมัย Go-Ichijô (รวม 150 ปี) แต่ในต้นศตวรรษที่ 20 นี้ก็มีผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของเขาแล้ว ขุนนางในราชสำนักญี่ปุ่นสมัยนั้นเป็นผู้ที่ศึกษาภาษา วัฒนธรรมจีน Mitsukuni ซึ่งเป็นผู้จงรักภักดีต่อกษัตริย์ ก็ยังอยากให้ Dai-nihon-shi เขียนเป็นภาษาจีน แต่ Hanawa มีส่วนร่วมอย่างแข่งขันในการสนับสนุนให้เรียนภาษาญี่ปุ่นทางอ้อม และด้วยอิทธิพลของขุนนางคนอื่น ๆ เช่น Kamo no Mabuchi (1697-1769) ก็มีการจัดตั้งโรงเรียนผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อต่อต้านอิทธิพลภาษาและวัฒนธรรมจีน และเพื่อกลับไปสู่ขนบธรรมเนียมโบราณของญี่ปุ่น และเพื่อจะได้เป็นชินโตแบบเก่า Mabuchi และผู้ร่วมงานเช่น Motoori Norinaga (1730-1810), Hirata Atsutane (1776-1843) ฯลฯ ได้ร่วมมือกันฟื้นฟูหนังสือที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น ด้วยความรู้และความสามารถ และด้วยภูมิปัญญาที่ดีเลิศ จนทำให้ศาสตร์ต่าง ๆ ของญี่ปุ่นเทียบเท่ากับของชาติตะวันตกได้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเขียนตำราประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นได้ เนื่องจากได้รับอิทธิพลทางความคิดจากจีนมาก จึงทำได้แต่ฟื้นฟูตำราเก่าที่เกี่ยวกับศาสนาเท่านั้น สิ่งสำคัญก็คือพวกเขาได้พิมพ์ และให้ความเห็นในเชิงวิจารณ์หนังสือเก่า การศึกษาทางประวัติศาสตร์เริ่มต้นในศตวรรษที่ 17 เมื่อญี่ปุ่นอยู่ในระบอบการปกครองแบบใหม่ เมื่อมีการพัฒนาการศึกษาห้องสมุด และญี่ปุ่นมีการศึกษาแบบยุโรป อีกทั้งเพื่อเชิดชูอดีตอันรุ่งเรือง และมีการตีพิมพ์ประวัติศาสตร์เมื่อ 30 ปีที่แล้ว (ก่อน ค.ศ. 1903-ผู้แปล) ปัจจุบันนี้ (ปี 1903) สมาคมประวัติศาสตร์ Shigakkwai (Société d’histoire Shigakkwai) เป็นผู้ศึกษาและตีพิมพ์นิตยสารเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ (Shigaku zasshi) โดยความร่วมมือของมหาวิทยาลัยโตเกียว III รายชื่อสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ของ collectiors ต่าง ๆ 16 collections เช่น 1) Gunsho ruiju 1,270 หัวเรื่อง 530 เล่ม และในปี 1902 พิมพ์สารบัญหนังสือและดรรชนี (index) ของ Gunsho ruiju และ Zoku gunsho ruiju และชีวประวัติของ Hanawa 2) Zoku gunsho ruiju 2,130 หัวเรื่อง 1,000 เล่ม และรวบรวมต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมืออีก 1,185 เล่ม 3) Tankwaku sôsho 44 หัวเรื่อง 154 เล่ม (ประมาณปี 1847) ฯลฯ
II
ที่มาของการเขียนและประวัติศาสตร์
I ชาวญี่ปุ่นไม่ใช่ชนชาติแรกในถิ่นที่เป็นประเทศญี่ปุ่นในปัจจุบัน เดิมเป็นของชาว Ainu (ปัจจุบันอยู่ที่เกาะฮอกไกโด) ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 ญี่ปุ่นต้องใช้เวลาหลายศตวรรษในการขับไล่ ชาว Ainu ออกจาก Hando เดิมคนในประเทศญี่ปุ่นมีหลายเชื้อชาติ เช่น จีน เกาหลี และยังแต่งงานกับชาว Ainu ที่เกาะฮอกไกโดอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีเชื้อสายมองโกล หรือมาเลย์มองโกล แต่เมื่อเริ่มเขียนประวัติศาสตร์ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าพวกเขาคือชนเผ่าดั้งเดิมของหมู่เกาะ และเมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน พวกเขาก็ค่อนข้างจะลืมว่ายังมีประเทศอื่นและชนชาติอื่นอีก ในความคิดของพวกเขาสังคมมนุษย์ในโลกมีแต่ญี่ปุ่น แล้ววันหนึ่งพระเจ้าก็ลงมายังโลกมนุษย์ และมีเชื้อสายเป็นจักรพรรดิของญี่ปุ่น ดังนั้นญี่ปุ่นจึงเป็นดินแดนแห่งเทพเจ้าด้วย ความเชื่อนี้ปรากฏในหนังสือเทวตำนาน Kojiki และ Nihongi และในศาสนาชินโต II ความเชื่อนี้แสดงว่าชาวญี่ปุ่นเขียนหนังสือไม่ได้ และกว่าจะมีบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็ล่วงมาหลายศตวรรษหลังจากที่เขาตั้งรกรากที่หมู่เกาะนี้แล้ว และจากหลักฐานทางโบราณคดีไม่ปรากฏว่าญี่ปุ่นได้จารึกเรื่องราวใด ๆ จนถึงต้นศตวรรษที่ 5 ญี่ปุ่นจึงได้รับวัฒนธรรมการเขียนจากเกาหลี และ Kudara ในรัชสมัยของ Richû เมื่อ Ajiki, Wani และ Achi ได้นำภาษาเขียนมาใช้ในราชสำนักญี่ปุ่น จดบัญชีสิ่งของและทำจดหมายเหตุ รายงานความเป็นไปของหัวเมืองแก่รัฐบาลกลาง แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดคิดจะบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในสมัยก่อนหน้านี้ ในสมัยจักรพรรดิ Kimmyô (553) มีผู้ทรงคุณวุฒิ 5 สาขาวิชาจาก Kudara (docteur dans les cinq classiques) มาทำงานที่เกี่ยวกับการเขียน และการเขียนในสมัยต่อมาก็กลายเป็นสิ่งที่สืบทอดกันในครอบครัวเท่านั้น จนถึงปลายศตวรรษที่ 6 เมื่อศาสนาพุทธแพร่หลายและประสบความสำเร็จ ขุนนางหลายคนหันมานับถือศาสนาพุทธ พระสงฆ์ ศิลปิน ช่างปั้นหม้อเดินทางมาจาก Kudara มีการสร้างวัดและมีพระจำนวนมาก เมื่อเจ้าชาย Umaycdo ครองราชย์เป็นจักรพรรดิพระนาม Shôtoku Taishi พระองค์เป็นอัครสาวกที่มีศรัทธาแก่กล้าในศาสนาพุทธ พระสงฆ์จากเกาหลีมาเฝ้าพระองค์ และเป็นครูสอนในโรงเรียน จักรพรรดินั้นทรงศึกษาจากครูชาวเกาหลีด้วย โดยศึกษาภาษาจีนและกฎหมาย และทรงแต่งตำราประวัติศาสตร์เล่มแรกของญี่ปุ่นด้วย ด้วยเหตุนี้ภาษาเขียนก็แพร่หลายในวงกว้าง จักรพรรดิญี่ปุ่นองค์ต่อ ๆ มาก็เล่าเรียนศิลปวิทยา และเป็นผู้มีความรู้ Shôtoku ได้แลกเปลี่ยนราชทูตกับจีน และส่งนักศึกษาและพระไปศึกษาในจีนด้วย และนักศึกษาบางคนก็กลับมาเป็นกำลังในการช่วยจักรพรรดิปฏิวัติให้คนญี่ปุ่นมีความรู้และเขียนหนังสือได้ ในปี 660 ราชอาณาจักร Kudara ถูกกองทัพ Shiragi และจีนบดขยี้ ชาวเกาหลีจำนวนมากหลั่งไหลมาตั้งหลักฐานที่ญี่ปุ่น ในจำนวนนี้มีนักปราชญ์ ราชบัณฑิตเป็นจำนวนมาก จักรพรรดิ Tenji จึงให้รับราชการในราชสำนัก โดยให้ Kishitsu Shûshin ดูแลเรื่องการศึกษา และตั้งมหาวิทยาลัย ตั้งแต่นั้นมาผู้ที่จะรับราชการในตำแหน่งสูง จะต้องสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย
III การปฏิรูปการบริหาร โดย Naka no Ôe
ผู้อพยพจาก Kudara ได้นำเอกสารทางประวัติศาสตร์ติดตัวมาด้วย และพระรูปหนึ่งชื่อ Dôken เขียนบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ให้ญี่ปุ่นสมัยจักรพรรดิ Tenji ในปี 1681 จักรพรรดิ Temmu สืบทอดเจตนารมณ์ของ Shôtoku สั่งให้เขียนเรื่องราวต่าง ๆ ของจักรพรรดิองค์ก่อน ๆ และเรื่องราวในสมัยโบราณ แต่งานนี้หยุดชะงักเพราะ Temmu สวรรคต แต่ก่อนสวรรคตสั่งให้ Hieda no Are ขุนนางผู้หนึ่งท่องจำพระนามจักรพรรดิทุกพระองค์ และขนบประเพณีโบราณทุกอย่างไว้จนขึ้นใจ ซึ่งต่อมาได้เป็นที่มาของ Kojiki จักรพรรดินี Gemmyô (707-715) สั่งให้ Futo no ason Yasumaro ให้รวบรวมและเขียนเรื่องราวที่ Hieda no Are ท่องไว้ Yasumaro ทำสำเร็จในปี 712 โดยให้ชื่อผลงานว่า Kojiki ในปี 714 จักรพรรดินี Gemmyô ยังสั่งให้ Ki no ason Kiyobito และ Mayake no omi Fujimaro เขียนประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่เรียกว่า Nihongi ซึ่งเริ่มจากสมัยที่ญี่ปุ่นยังมีความเชื่อใน เทพเจ้า จนกระทั่งถึงปลายศตวรรษที่ 5 และกลางศตวรรษที่ 7 บางส่วนของประวัติศาสตร์เล่มนี้ยังคงอยู่จนถึงศตวรรษที่ 12 ในปี 720 ในรัชสมัยของ Genshô พระองค์ได้สั่งให้ Toneri และ Yasumaro ปรับปรุงและแก้ไข Nihongi และเขียนต่อไปจนถึงการสละราชสมบัติของจักรพรรดิ Jito ในปี 697 โดยคงชื่อ Nihongi ไว้ และชื่อนี้ยังคงเป็นที่รู้จักในปัจจุบัน ต่อมาระหว่างปี 720 และ 878 มีบุคคลผู้หนึ่งได้ถ่าย Nihongi เป็นสัญลักษณ์ Phonétique (ในการออกเสียง) เพื่อสะดวกในการค้นคว้า โดยใช้ชื่อว่า Kana และเป็นที่รู้จักจนถึงศตวรรษที่ 13
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อดาวน์โหลดเอกสาร เข้าสู่ระบบ *