เขียนโดย Durand, E. | วันที่เผยแพร่เอกสาร 01/01/2513
ผู้เข้าชม 3531 | จำนวนดาวน์โหลด 0
คะแนนสื่อ
Notes sur une crémation chez les Chams = ประเพณีการเผาศพของชนเผ่าจาม
Durand, E.
ไทย
ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
E.M. Durand . (Année 1903).Notes sur une crémation chez les Chams. Bulletin de l'Ecole française d'Extrême-Orient Volume 3 Numéro 3 pp. 447-459
ดูเอกสารต้นฉบับจาก www.persee.fr
ประเพณีการเผาศพของชนเผ่าจาม (Notes sur une crémation chez les Chams) โดย สาธุคุณ E.M. DURAND มิชันนารี Missionnaire apostolique
สรุปความโดย ดร.เสาวนิต รังสิยานนท์
พิธีเผาศพของจัมปาเป็นพิธีที่ใหญ่โตและกินเวลานาน ส่วนคนจนก็ทำพิธีอย่างง่าย ๆ และ ย่นย่อ ถ้าหากจนมาก ๆ หรือมีความจำเป็นต้องทำพิธีอย่างเร่งรีบ ก็จะฝังศพไว้ก่อนชั่วคราว แล้วเอาก้อนหินเรียงรายไว้โดยรอบ แล้วไม่เคยขุดขึ้นมาเผา ในบทความนี้ กล่าวถึงพิธีเผาศพของ Čei Kai เศรษฐีในหมู่บ้าน Palei Lizot (ann. Tri-Ðức) ในหุบเขา Phanri เมื่อเขาตายลงวิญญาณมีการสวดศพตามประเพณี แล้ววิญญาณของเขาก็ถูกหลอมละลายด้วยแสงอาทิตย์ ส่วนศพของเขาเก็บไว้ใน kayang patar (โรงเรือนที่มีฝาและหลังคามิดชิดทำด้วยใบปาล์มอินเดียเย็บเป็นตับ) ศพหันศีรษะไปทางทิศตะวันออกปกคลุมด้วยเครื่องรางของขลังและผ้ายันต์สีเหลืองจารึกด้วยอักขระจาม ศพนอนบนเสื่อใบปาล์มอินเดีย 9 ผืน เท่ากับเวลาที่อยู่ในท้องแม่ เสื่อทั้ง 9 ผืนนี้วางบนทรายเนื้อละเอียด เสื่อกกอีกผืนหนึ่งใช้รัดตั้งแต่ข้อเท้าถึงคอ บนเสื่อวางเสื้อผ้าชุดที่ดีที่สุดของผู้ตาย ข้างศพวางของใช้ของผู้ตาย เช่นชุดชา กลักยาสูบ กลักหมาก กล่องบุหรี่ ทำด้วยเงินกาไหล่ทอง และที่ขาดไม่ได้คือ เต้าปูนเล็ก ๆ สวยงามมากตกทอดมาจากกษัตริย์จาม ศพจะถูกเก็บไว้ใน kayang patar เป็นเวลา 18 คืน ทางขวาของ kayang patar เป็นโรงพิธีและที่พักผ่อนของผู้มาช่วยงาน หน้าโรงพิธีมีก้อนเส้า 3 ก้อน ใช้เป็นเตาหุงหาชั่วคราว บริเวณนี้ทั้งหมดล้อมรอบด้วยเสื่อทำจากใบปาล์มอินเดีย ตลอดเวลาที่ตั้งศพ มีญาติมิตรวนเวียนกันมาไม่ขาดสาย และหุงหาอาหารเลี้ยงกันตลอดเวลา เมื่อถึงวันเผา ก็มีงานเลี้ยงมือมโหฬาร เริ่มด้วยการวางอาหารเซ่นศพที่ปลายเท้า แล้วถวายภัตตาหารพระในที่ตั้งศพนั้นเอง แล้วจึงจัดอาหารเลี้ยงแขกให้ที่พักผ่อนของผู้มาช่วยงาน หากผู้ตายอยู่ในวรรณพราหมณ์ที่ร่ำรวย ก็จะเลี้ยงอาหาร 7 มื้อตามวาระต่าง ๆ อาหาร 6 มื้อแรกเรียกว่า padhi และมื้อสุดท้ายคือ patrip ประมาณ 10 นาฬิกา ถึงเวลาจัดขบวนศพ โดยพระผู้ทำพิธี (Basaih) อยู่หัวขบวน 4 รูป ต่อมาเป็นพระผู้ช่วยอีก 4 รูป ทำหน้าที่แบกคานหามโลงศพ ปิดท้ายขบวนด้วย ragei (ช่างตีเหล็ก) เมื่อถึงเวลาเคลื่อนขบวนลูก ๆ ญาติที่ใกล้ชิดและคนรับใช้เคารพศพ 3 ครั้งด้วยการนอนแผ่ลงกับพื้น คนเฝ้าบ้านผู้ตายปิดประตูบ้านทันทีอย่างแน่นหนา และขังตัวเองอยู่ในบ้านร้างของผู้ตาย โดยไม่ออกมาข้างนอกเลย ก่อนพิธีเผาศพจะเสร็จสิ้น แล้วรื้อที่เลี้ยงแขกหลังจากเอาเสื่อล้อมผู้ตายแล้วเพื่อไม่ให้เห็นทางเข้าบ้าน ช่างตีเหล็กพรางทางด้วยขี้เถ้า และหินเพื่อไม่ให้วิญญาณกลับบ้าน ตลอดเวลานี้บรรเลงดนตรี และเคลื่อนขบวน ขบวนประกอบด้วย ธง ผ้าผืนยาว ร่มคันใหญ่ หอกเพลิงแบบญวน แล้วนำศพวนรอบกองไฟที่ดับแล้ว โลงศพมีหลังคาปูด้วยผ้า ประดับด้วยกระดาษทอง ใต้เท้าศพมีผ้าสีเหลืองประดับด้วยรูป kapila (ถวายที่พาวิญญาณคนตายไป) สีแดงและดำ ทางด้านศีรษะของศพมีรูปนกทำด้วยกระดาษสีทองเพื่อคนตายจะได้ดูเพลินจนจำทางไม่ได้ นักดนตรีเล่นดนตรีนำขบวน จากนั้นผู้ที่อยู่ในขบวนตั้งแต่พระจนถึงช่างตีเหล็กต่างทำหน้าที่ของตนตลอดเวลาที่เคลื่อนขบวน เพื่อไม่ให้วิญญาณผู้ตายกลับบ้าน เมื่อถึงที่เผาเศพ พระรูปแรกเดินไปที่กองฟืนเพื่อใช้เผาศพ โดยมีพระอีก 4 รูปเป็นผู้ช่วยทำพิธีวางฟืนเผาศพ ต่อจากนั้นพระรูปอื่น ทายาท พร้อมด้วยญาติ และบริวารของผู้ตายวางฟืน โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก แล้วพระทำพิธีเซ่นศพด้วยอาหารเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งผู้เขียนได้บรรยายไว้อย่างละเอียด เมื่อจะเผา เขาวางคานหามศพบนกองฟืน ลูกชายคนหัวปีของผู้ตายเป็นผู้วางฟืนสี่ท่อนรอบศีรษะ และเท้าของผู้ตาย เมื่อดึงผ้าห่อศพโยงลงไปในกองฟืนแล้วจึงจุดไฟเผา สิ่งของมีค่าของผู้ตายจะเอามารมควันไฟก่อนมอบให้ทายาท แล้วครอบครัวเคารพศพเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อศพโดนไฟ พระแยกศีรษะออกจากลำตัวศพ แล้วล้างน้ำ และโยนกลับเข้าไปในเปลวไฟ หลังจากเผาศพแล้ว พระและครอบครัวของผู้ตายโปรยข้าวไปในไฟ 3 ครั้ง ตามด้วยน้ำ 3 ถ้วย เพื่อส่งวิญญาณ แล้วพระชำระร่างกายในแม่น้ำ โดยไม่เปลื้องผ้า ทายาทผู้ตายถวายภัตตาหารพระและเลี้ยงแขก โดยเริ่มจากของหวานและปิดท้ายด้วยของคาว ต่อจากนั้นพระทำพิธีส่งวิญญาณเป็นครั้งสุดท้าย
พิธีเก็บกระดูก
พระผู้ทำพิธีเอากระดูกกะโหลกศีรษะ 9 ชิ้นวางบนใบตอง แล้วล้างน้ำที่ใช้ในพิธี แล้วใส่ในกล่องโลหะ (klong) กระดูกส่วนอื่นล้างแล้วใช้ไม้คีบวางบนใบตอง โดยเรียงเป็นแถว ๆ ละ 3 ชิ้น หลังจากลากเส้นเพื่อแสดงสัญลักษณ์บางอย่างแล้ว ก็หยิบกระดูกทีละชิ้นทำท่าให้ศีลให้พร แล้วใส่ในโกศทอง ทำเช่นนี้เรื่อยไปจนหมด ต่อมาเอาน้ำมนต์เทใส่ลงโกศ แล้วให้สะเด็ดน้ำ ปิดโกศด้วยผ้าเนื้อละเอียดพรมด้วยน้ำมนต์ วางไว้กลางวงที่ลากเส้นเป็นสัญลักษณ์ และมีข้าวสุก ข้าวสาร และหมากพลู
พิธีเซ่นไหว้วิญญาณ
เขาใช้หมอนสี่เหลี่ยมจัตุรัสหุ้มด้วยผ้าแดงใส่ในกล่องเครื่องเขิน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของบรรพบุรุษ ด้านหน้ามีใบตองประดับด้วยดอกไม้ตูมบนยอด แล้ววางโกศกระดูกไว้ด้านหน้าเพื่อผู้ตายจะได้อยู่กับบรรพบุรุษ ด้านล่างของแท่นบูชานี้ มีเครื่องเซ่นเช่น ผลไม้ ของหวาน ไก่ต้ม และมะเขือ 1 ถ้วย ข้าว พลูจีบ และเหล้า ผู้ทำพิธีในฐานะตัวแทนวิญญาณของผู้ตายและบรรพบุรุษจะเป็นผู้กินเครื่องเซ่น หลังจากนั้นพระผู้ทำพิธีปิดโกศกระดูก สวดมนต์ พระอีกองค์หนึ่งทำหน้าที่พี่ชายถือโกศกระดูก เข้าขบวนแห่ไปในป่า เพื่อไปโปรยเถ้าที่อยู่ในเชิงตะกอน พร้อมกับทำพิธีศาสนา เพื่อไม่ให้ผีร้ายตามวิญญาณไป พระผู้ทำหน้าที่พี่ชายเอาเถ้าที่เหลือมอบให้ลูกสาวของผู้ตาย ซึ่งจะเป็นผู้รับมรดก พร้อมกับอวยพรให้มั่งคั่งด้วยการเอาเม็ดข้าวใส่ในโกศกระดูก เมื่อเสร็จพิธีแล้วลูกสาวผู้ตายกลับหมู่บ้านคนเดียว ส่วนพระก็แยกย้ายกันไป แต่พระองค์หนึ่งจะแยกไปแต่ลำพังเพื่อโปรยกระดูก ชิ้นเล็ก ๆ ที่เผาไม่หมดในป่าลึก ระหว่างทางพระทั้งหมดจะนุ่งผ้ากลับด้าน เกล้ามวยไว้ที่ท้ายทอย โพกผ้าเช่นเคย เพื่อให้ดูเหมือนชาวบ้านธรรมดา แล้วไปที่บ้านผู้ตาย ก่อนจะเข้าบ้านก็แสร้งทำเป็นสนทนาด้วยเรื่องต่าง ๆ โดยหลีกเลี่ยงการเอ่ยชื่อผู้ตาย เมื่อเจ้าของบ้านเลี้ยงดูพะด้วยน้ำชา เหล้าองุ่น และหมากพลูแล้ว ก็ขังตัวเองอยู่ในบ้านเป็นเวลา 1 วันเพื่อทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ พอเช้าตรู่พระก็จะมาเยือนและถามคำถามที่มีเงื่อนงำ และตั้งแต่วันที่สาม นับจากวันเผาศพแล้ว โกศกระดูกก็จะอยู่ในห้องพระตลอดปี หลังจากนั้นจะทำพิธีเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อนำโกศไปฝังที่สุสานของครอบครัว บนหลุมมีหินหนึ่งก้อน และปลูกต้นไม้ชนิดหนึ่งคล้ายเชอรีหรือต้นแอปเปิ้ลเพื่อให้ร่มเงา และมีต้นจำปาเพื่อให้มีกลิ่นหอม
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อดาวน์โหลดเอกสาร เข้าสู่ระบบ *