เขียนโดย BEFEO | วันที่เผยแพร่เอกสาร 01/01/2513
ผู้เข้าชม 12680 | จำนวนดาวน์โหลด 0
คะแนนสื่อ
บันทึกเรื่องขนบธรรมเนียมของกัมพูชา
BEFEO
ไทย
ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
ดูเอกสารต้นฉบับจาก www.persee.fr
บันทึกเรื่องขนบธรรมเนียมของกัมพูชา (Mémoires sur les coutumes du Cambodge) ผู้เขียนโจวต้ากวานในสมัยราชวงศ์หยวน หรือหงวน (Ts’ao-t’ing) ไม่มีอาชีพเป็นหลักฐาน ชาวเมือง Yong-kia
ฉบับที่ 2 ค.ศ. 1902 หน้า 1-234 สรุปความโดย ดร.เสาวนิต รังสิยานนท์
ชาวเจนละเรียกเมืองของเขาว่า Kan-po-tche ส่วนราชวงศ์จีนขณะนั้นเรียกเจนละว่า Kan-p’ou-tche โจวต้ากวานกล่าวถึงการเดินทางจากจีนสู่เจนละผ่านตังเกี๋ย และ Kouang-tong จัมปา Tchen-p’ou ชายแดนกัมพูชา และ Tch’a-nan (ฉาหนัน) จากนั้นเดินทางทางเรือจนถึงกำปง (Kan-p’ang) ซึ่งอยู่ห่างจากเจนละ 50 ลี้ เมืองนี้กว้าง 7,000 ลี้ ทางเหนือคือจัมปา ทางตะวันตกเฉียงใต้คือสยาม (Sien-lo) ทางใต้คือ P’an-yu ทางตะวันออกคือมหาสมุทร เมื่อก่อนนี้เคยเป็นเมืองที่มีการค้าขายคึกคัก จีนต้องการขยายอาณาจักรจึงส่งคนไปติดต่อกับอาณาจักรนี้ แต่ถูกจับ ต่อมาจีนได้ส่งราชทูตไปที่เมืองนี้อีก โดยมีโจวต้ากวานไปในคณะราชทูตด้วย ใน ค.ศ. 1297 โจวต้ากวานได้สังเกตลักษณะสำคัญของขนบธรรมเนียม และเล่าเรื่องราวของอาณาจักรนี้ไว้ว่า เมืองนี้มีกำแพงล้อมรอบ 50 ลี้ มีประตูเมือง 5 ประตู รอบกำแพงเมืองมีคูน้ำ เหนือประตูเมืองมีเศียรพระพุทธรูป ข้างประตูมีรูปช้างแกะสลักจากหิน กลางเมืองมีหอคอยทองคำ ข้าง ๆ เป็นหอคอยหิน 20 หอ และห้องเล็ก ๆ อีกหลายห้องสร้างด้วยหินทั้งสิ้น ห่างจากหอคอยทองคำไปทางเหนือ 1 ลี้มีหอคอยทองแดง ห่างไปทางเหนืออีก 1 ลี้เป็นที่ประทับของเจ้าผู้ครองนคร และในที่ประทับก็ยังมีหอคอยทองคำ นอกจากนี้ ในเมืองนี้ยังมีบ้านที่สร้างด้วยหินอีกหลายร้อยหลัง และทะเลสาบ 2 แห่ง ในทะเลสาบมีหอคอย ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปทอง และพระนอนหล่อด้วยทองบรอนซ์ ส่วนที่อยู่อาศัย เช่นพระราชวัง สถานที่ราชการ และบ้านขุนนางหันหน้าไปทางทิศตะวันออก พระเจ้าแผ่นดินบรรทมบนหอคอยทองในพระราชวังแต่พระองค์เดียว ที่ประทับของเจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แตกต่างจากของประชาชนทั้งในด้านวัสดุและขนาด ขนาดของบ้านขึ้นอยู่กับตำแหน่งราชการของเจ้าของ ราษฎรอยู่บ้านหลังคามุงจาก ขนาดของบ้านขึ้นอยู่กับฐานะทางเศรษฐกิจของเจ้าของ แต่จะเลียนแบบบ้านของขุนนางไม่ได้ การแต่งกาย ทุกคนตั้งแต่เจ้านาย ทั้งหญิง ชาย มุ่นมวยผม พันท่อนบนด้วยผ้าพืนเดียว เมื่อออกจากบ้านมีผ้าคลุมไหล่ ผ้าที่ใช้มีคุณภาพต่างกัน เจ้านายใช้ผ้าอย่างดี ถึงแม้จะทอผ้ามากแต่ก็ยังซื้อจากสยามและจัมปา ผ้าที่นิยมกันมากและมีราคาแพงมาจากแถบทะเลด้านตะวันตก เจ้านายสวมกระบังหน้าทอง หรือมีมาลัยดอกไม้หอม เช่นดอกมะลิรอบมวยผม สวมสร้อยไข่มุก สร้อยข้อมือ แหวนกำไลเท้าทำด้วยทอง เดินเท้าเปล่า ทาสีแดงที่ฝ่าเท้าและฝ่ามือ เวลาออกจากวังถือดาบทองคำ ราษฎรผู้หญิงทาฝ่ามือและฝ่าเท้าสีแดงเช่นกัน ส่วนผู้ชายไม่ทา ข้าราชการ มีที่ปรึกษา ขุนพล โหรทางดาราศาสตร์ ฯลฯ ข้าราชการชั้นผู้น้อย เจ้านายผู้ชายส่วนมากรับราชการหรือไม่ก็ถวายลูกสาวเป็นบาทบริจาริกา ข้าราชการชั้นสูงมีเครื่องประดับยศทำด้วยทอง มีวอทอง ส่วนชั้นรองลงมาเครื่องประดับยศ และวอทำด้วยเงิน ในด้านศาสนา มีพราหมณ์หรือบัณฑิตเรียกว่า ปันจี้ (Pan-k’i) มีพระสงฆ์หรือ จู้กู (Tch’ou-kou) มีพระในลัทธิเต๋า หรือ ป๊ะ ซือเหวย (Pa-sseu-wei) Pan’k’i แต่งกายแบบคนทั่วไป ห้อยคอด้วยสายสีขาวเป็นสัญลักษณ์ จนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต พระสงฆ์ โกนศีรษะ นุ่งสบงสีเหลืองคล้ายพระไทย อยู่ในวัด และบูชาพระพุทธรูปศากยมุนี ฉันปลาและเนื้อ ศึกษาพระธรรมจากคัมภีร์ใบลาน (แต่โจวต้ากวานไม่รู้จักจึงบรรยายอย่างยืดยาว- ผู้แปล) เป็นที่ปรึกษาของเจ้าเมืองเมื่อมีข้อราชการสำคัญ ไม่มีชีในศาสนาพุทธ พระในลัทธิเต๋า แต่งกายแบบคนทั่วไป บนศีรษะมีผ้าสีแดงหรือขาวเป็นสัญลักษณ์ มีวัดเล็กกว่าวัดในพุทธศาสนา กราบไหว้หินแท่งหนึ่งคล้ายหินในแท่นบูชาแม่ธรณีในจีน ไม่ฉันอาหารในที่สาธารณะ เด็กชาวเมืองนี้ เรียนหนังสือกับพระสงฆ์ เมื่อเติบโตใช้ชีวิตแบบฆราวาส ชาวเมืองผิวดำมาก มีนิสัยคล้ายคนป่าเถื่อนทางใต้ (Man) อยู่ในหมู่บ้านที่ห่างไกล หรือในบ้านที่อยู่เขตชุมชน ทั้งหญิงชายนุ่งผ้าผืนเดียว มุ่นมวยผม และเดินเท้าเปล่าเช่นเดียวกับชายาเจ้าเมือง เจ้าเมืองมีชายา 5 องค์ สำหรับที่ประทับ ส่วนพระองค์ 1 องค์ และอีก 4 องค์ประทับอยู่ในที่ประทับในทิศทั้งสี่ มีสนม กำนัล 3-5 พัน นอกจากนี้มีหญิงรับใช้ในพระราชวังเรียกว่า tch’en-kia-lan ชาวเมืองนี้ทั้งหญิงชายชโลมตัวด้วยเครื่องหอม ทุกคนนับถือศาสนาพุทธ เมื่อผู้หญิงคลอดบุตรวันรุ่งขึ้นก็อุ้มลูกไปอาบน้ำในแม่น้ำ พวกเธอแก่เร็วเพราะแต่งงานและมีบุตรเร็วเกินไป พ่อแม่ที่มีลูกสาวมักปรารถนาให้ลูกมีคู่ ในครอบครัวที่ร่ำรวย เมื่อลูกสาวอายุ 7-9 ขวบจะนิมนต์พระสงฆ์หรือพระในลัทธิเต๋าให้ทำพิธีเบิกพรหมจารี ส่วนครอบครัวที่ยากจนจะทำพิธีนี้เมื่อเด็กมีอายุตั้งแต่ 11 ขวบ ผู้ชายส่วนมากจะแต่งงานกับหญิงที่อยู่กินกันแล้ว ในเมืองนี้มีการซื้อขายทาสเพื่อทำหน้าที่คนรับใช้ในบ้าน บางบ้านมีผู้รับใช้มากกว่า 1 ร้อยคน บางบ้านก็อาจมีเพียง 10-20 คน ทาสคือคนป่าที่อยู่ในภูเขาห่างไกล เมื่อมาอยู่ในเมืองก็ไม่กล้าออกนอกบ้าน คนในเมืองมีภาษาของตนเองต่างหาก ซึ่งชาวจัมปาหรือชาวสยามไม่เข้าใจ ขุนนาง พระสงฆ์ในพุทธศาสนา และพระในลัทธิเต๋าต่างก็มีภาษาของตน ชาวเมืองและผู้คนในหมู่บ้านก็มีภาษาพูดที่ไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกับจีน ส่วนคนป่าเถื่อนนั้นมี 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเข้าใจภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และถูกขายเป็นทาสในเมือง อีกกลุ่มหนึ่งไม่ยอมรับอารยธรรมและไม่เข้าใจภาษาคนเมือง ใช้ชีวิตร่อนเร่อยู่ตามภูเขา ล่าสัตว์ ใช้หินจุดไฟ ฆ่ากันเองบ่อย เพิ่งรู้จักเพาะปลูก และทอผ้า เมื่อไม่นานมานี้ การเขียนหนังสือ เขียนบนหนังกวางหรือหนังสัตว์อื่นที่ย้อมด้วยสีดำ เขียนด้วยฝุ่นสีขาว ตัวหนังสือส่วนใหญ่คล้ายอักษรของ Ouigours มาก และออกเสียงคล้ายกับอักษรของมงโกล มีร้านรับจ้างเขียนหนังสือ เมื่อราษฎรต้องการร้องทุกข์ วันขึ้นปีใหม่ และฤดูกาลต่าง ๆ เดือนที่ 1 ของกัมพูชาตรงกับเดือนที่ 10 ของจีน ในวันขึ้นปีใหม่มีการจุดบั้งไฟและประทัด ทำให้ทั้งเมืองสั่นสะเทือนด้วยแรงระเบิดของบั้งไฟที่สามารถมองเห็นได้ในระยะมากกว่า 100 ลี้ และประทัดที่ใหญ่โต พระเจ้าแผ่นดินเสด็จมาทอดพระเนตรพร้อมกับขุนนาง และทูตานุทูต งานฉลองนี้มีระยะเวลา 15 วัน ที่หน้าพระราชวัง และเสียค่าใช้จ่ายมาก ทุกเดือนจะมีงานฉลอง เช่นเดือนที่ 5 มีงานสรงน้ำพระ เดือนที่ 7 งานเผาข้าวใหม่ เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า เดือนที่ 8 มีงานเต้นรำ ชนหมู ชนช้าง เป็นเวลา 10 วัน ฯลฯ นอกจากนี้ มีการถือฤกษ์ยามตามโหราศาสตร์ และมีปีนักษัตร 12 นักษัตร เช่นเดียวกับจีนแต่เรียกชื่อปีต่างกัน ความยุติธรรม ราษฎรธรรมดาสามัญที่สุดสามารถร้องขอความเป็นธรรมจากกษัตริย์ได้ ผู้ทำผิดมหันต์จะถูกฝังทั้งเป็น ผู้ที่จับขโมยได้มีสิทธิ์ลงโทษขโมยได้ นอกจากนี้มีการหาตัวผู้ทำผิดด้วยการเสี่ยงทายที่เรียกว่า “คำพิพากษาจากสวรรค์” การเจ็บป่วย คนเมืองนี้ป่วยบ่อย เพราะอาบน้ำสระผมบ่อย เมื่อป่วยแล้วมักจะหายเอง คนโรคเรื้อนจำนวนมากอยู่ตามถนนหนทาง พวกเขาบอกว่าโรคนี้ไม่ติดต่อ เมื่อก่อนนี้มีกษัตริย์องค์หนึ่งเป็นโรคนี้ (คือพระเจ้าขี้เรื้อน) Mr. Aymonier กล่าวว่าคือ ยโสวรมัน แต่ก็ไม่เป็นที่รังเกียจ ชาวกัมพูชามักตายด้วยโรคบิด (8-9 คนต่อ 10 คน) เขาขายยากันในตลาด และมีพ่อมดหมอผี การตาย เขาห่อศพด้วยผ้าและเสื่อ มีขบวนแห่ศพและโปรยข้าวตอกไปตลอดทาง เมื่อถึงนอกเมืองก็ทิ้งศพไว้เป็นอาหารของแร้งและสุนัข เพื่อเสี่ยงทาย ลูกชายของผู้ตายไว้ทุกข์ด้วยการโกนผม ส่วนลูกสาวตัดผมที่กระหม่อม ส่วนพระบรมศพของกษัตริย์ฝังไว้ในปราสาท การเกษตร มีการเก็บเกี่ยวปีละ 3-4 ครั้ง ฝนตกปีละ 6 เดือน เวลาน้ำขึ้นต้นข้าวก็สูงขึ้นเช่นกัน ในการเพาะปลูกพืชผักเขาไม่ใช้ปุ๋ยคอก เขารังเกียจว่าสกปรก ชาวจีนที่อยู่ในเมืองนี้ไม่กล้าบอกพวกเขาว่า คนจีนใช้ปุ๋ยคอก (จากคำบอกเล่าต่อมาเข้าใจว่าอาจจะเป็นปุ๋ยที่ได้จากของเสียของมนุษย์ด้วย-ผู้แปล) ลักษณะภูมิประเทศ มีป่าไม้หนาแน่น สัตว์ป่าชุกชุม มีที่ราบกว้างใหญ่ ป่าไม้ให้ผลผลิตแก่เมืองนี้มาก เช่น งาช้าง ขี้ผึ้ง นอแรด ยางไม้ พริกไทย หวาย การค้าขาย ผู้หญิงค้าขายเก่ง ชาวจีนที่มาอยู่ที่นี่ แต่งงานกับหญิงพื้นเมืองเพื่อประโยชน์ทางการค้า ของที่ขายวางบนเสื่อไม่มีร้านเป็นการถาวร ผู้ค้าต้องเช่าที่จากขุนนาง สินค้าจีนที่เป็นที่ต้องการในกัมพูชา คือ ทองคำ เงิน ผ้าไหม ดีบุก เครื่องกระเบื้อง ปรอท กระดาษ กำมะถัน ฯลฯ แต่ห้ามส่งสินค้าออก นอกจากนี้ โจวต้ากวานยังบรรยายพรรณไม้ นกชนิดต่าง ๆ และสัตว์อื่น ๆ พืชผักสวนครัว ปลา และสัตว์เลื้อยคลาน การทำเหล้าจากน้ำผึ้ง จากใบไม้ที่เรียกว่า เพิงหยาซื่อ จากข้าว และจากน้ำตาล การทำเกลือ ชาวกัมพูชาไม่รู้จักการเลี้ยงหนอนไหม ทอแต่ผ้าฝ้าย และซื้อต้นหม่อนและหนอนไหมจากสยาม ชาวสยามทอผ้าไหมทำเครื่องนุ่งห่ม หญิงชาวสยามรู้จักเย็บและซ่อมแซมเสื้อผ้า ชาวกัมพูชาต้องจ้างชาวสยามซ่อมแซมเสื้อผ้าให้ ชาวกัมพูชาใช้เครื่องครัวทำด้วยดินเผา หุงหาอาหารบนก้อนเส้า ใช้กระจ่าที่ทำจากกะลา มะพร้าว กินข้าวด้วยมือ คนร่ำรวยใช้ภาชนะในการรับประทานอาหารที่ทำด้วยทองคำหรือเงิน พวกเขาไปไหนมาไหนด้วยเสลี่ยง หากเดินทางไกลก็ขี่ช้าง ม้า หรือนั่งรถเช่นเดียวกับคนเมืองอื่น และรู้จักต่อเรือ (โจวต้ากวานอธิบายการต่อเรือของชาวกัมพูชาไว้ด้วย) ที่น่าสังเกตคือโจวต้ากวานกล่าวว่า เมื่อก่อนนี้กษัตริย์จัมปาบังคับให้เจนละส่งน้ำดีจากคนไปให้ปีละ 1 ไห แต่ต่อมาได้ยกเลิกไป โจวต้ากวานพูดถึงการอาบน้ำว่า คนเมืองนี้อาบน้ำบ่อย เพราะอากาศร้อนจัด แต่ละครอบครัวมีบ่ออาบน้ำ หรือ 2-3 ครอบครัวอาจจะใช่บ่ออาบน้ำร่วมกัน ชาวจีนมาอยู่ที่กัมพูชามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกลูกเรือ เพราะที่นี้ชีวิตความเป็นอยู่สะดวก หาเมียได้ง่าย ของไม่แพง ค้าขายคล่อง ทหารในทองทัพมีหอกกับโล่ห์ ท่อนบนเปลือยเท้าเปล่า เวลารบกับสยาม ประชาชนทุกคนถูกบังคับให้ร่วมสู้รบ กองทัพกัมพูชาไม่มีทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธี เจ้าผู้ครองนครองค์ใหม่เป็นลูกเขยของกษัตริย์องค์ก่อน เพราะชิงราชสมบัติจากรัชทายาทองค์จริงได้ มีแผ่นเหล็กคาดทับบนตัว จึงออกจากวังไปไหนมาไหนได้สะดวก หากไปในที่ไกลมีขบวน ข้าราชบริพารตามเสด็จ มีขบวนช้าง ม้า เป็นราชองครักษ์ หากเสด็จใกล้ ๆ ก็ประทับเสลี่ยงทอง มีนางกำนัลหาม 4 คน พระองค์เสด็จออกขุนนางเพื่อปรึกษาข้อราชการวันละ 2 ครั้งทุกวัน เวลาเสด็จออกมีดนตรีประโคมและมีการเป่าสังข์
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อดาวน์โหลดเอกสาร เข้าสู่ระบบ *