Title | Author | Imprint | Collection | Url | Annotation |
---|---|---|---|---|---|
ฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย | ไม่ระบุ | ไม่ระบุ | ไม่ระบุ | http://www.sac.or.th/databases/ethnic-groups/ethnicGroups | ฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย จัดทำขึ้นโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เพื่อแนะนำกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ตามชื่อที่กลุ่มเรียกตนเองหรือต้องการให้สังคมเรียก พยายามค้นคว้าวิจัยเพื่อให้มีเนื้อหาทันสมัย แสดงให้เห็นพลวัตและอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับบริบทและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในปัจจุบัน โดยมุ่งหมายที่จะสื่อสารกับสาธารณะ ให้บุคคลทั่วไปมีความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางชาติพันธุ์และรู้จักวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์มากขึ้น ฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย แนะนำกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย จัดเรียงตามลำดับอักษรตามชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง ให้ข้อมูลชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง ชื่อเรียกที่คนภายนอกเรียกกลุ่มชาติพันธุ์นั้นๆ ภายในแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ข้อมูลทั่วไป ประชากร ประวัติ/ที่มา วิถีชีวิต ประเพณี/เทศกาล ศาสนา/ความเชื่อ ศิลปะการแสดง ตำนาน และสถานการณ์ปัจจุบัน |
ฐานข้อมูลงานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย | ไม่ระบุ | ไม่ระบุ | ฐานข้อมูลงานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย | : ฐานข้อมูลงานวิจัยทางชาติพันธุ์ในประเทศไทย จัดทำขึ้นโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมให้นักวิชาการรุ่นใหม่สนใจเกี่ยวกับชาติพันธุ์ และมีแหล่งข้อมูลที่สามารถสืบค้นได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ผู้สนใจสามารถเรียกใช้ข้อมูลตามประเด็น และสามารถประมวลเนื้อหาสาระที่เป็นพื้นฐานต่อการพัฒนาประเด็นวิจัยในเชิงลึกต่อไป ฐานข้อมูลงานวิจัยทางชาติพันธุ์ในประเทศไทย รวบรวม สังเคราะงานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทยและประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดเรียงตามชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง มีผลงานทั้งสิ้นประมาณ 1260 รายการ นอกจากนี้ยังมี บทความชาติพันธุ์ ข่าวชาติพันธุ์ ข้อมูลเครือข่ายชาติพันธุ์ และข่าวความเคลื่อนไหวด้านการฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ไว้บริการด้วย |
|
เงาะป่า คนในโลกที่กาลเวลาไม่เคยเคลื่อนไหว | ทีวีบูรพา | ไม่ระบุ | SAC Library-Audio Visual Materials-CDF 000042 | เป็นการบอกเล่าถึงเรื่องราวของเงาะป่า หรือซาไก โดยมีคุณสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ เป็นผู้ดำเนินรายการ และคุณนิวรณ์ เขมาวนิช อดีตทหารพราน ซึ่งเป็นผู้พบเจอเงาะป่า หรือซาไก ที่อาศัยอยู่บนเขตรอยต่อที่เรียกว่า สันไม้ไผ่ มีการบอกเล่าถึงเรื่องราวของการอพยพเพื่อตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยของเงาะป่า การสร้างที่อยู่อาศัย การหาอาหารเพื่อดำรงชีวิต การทำอุปกรณ์ที่เรียกว่า “กระบอกตุด” เพื่อใช้ในการล่าสัตว์ การมีชีวิตแบบแบ่งปัน และพึ่งพาอาศัยกัน และเมื่อแหล่งอาหารที่เคยพักอาศัยหมดลง เงาะป่า หรือซาไก ก็ต้องทิ้งทับเก่า เพื่ออพยพออกเดินทาง แสวงหาแหล่งอาหารเพื่อตั้งทับใหม่ เพื่อสืบต่อวิถีแห่งป่า และดำรงเผ่าพันธุ์สืบต่อไป |
|
Original wisdom : stories of an ancient way of knowing | 2001 | Rochester,Vt. : InnerTraditions, c2001 | SAC Library-Books-GN468.W65 2001 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00073058 | ผู้เขียนได้เข้าไปใช้ชีวิตร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ San’oi ในมาเลเซียเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง ได้เรียนรู้ภาษาของชาว San’oi ร่วมกินดื่ม นอนหลับพักผ่อนกับพวกเขาและได้สังเกตวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ในแต่ละวันขย่างใกล้ชิด จนเกิดความรู้สึกชื่นชมในวิถีชีวิตที่มีความแตกต่างจากสังคมตะวันตก โดยเฉพาะศาสตร์แห่งการรู้แจ้งของ San’oi ทั้งการรับรู้ความเป็นจริง ความรู้สึกนึกคิด ความฝันหรือการรับรู้ว่าตัวเองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ รวมไปถึงศาสตร์แห่งการบำบัดรักษาที่แตกต่างไปจากการแพทย์ทั่วไป มีการเปรียบเทียบกับแนวคิดแบบอารยธรรมตะวันตกซึ่งผู้เขียนมีความเห็นว่า แนวคิดแบบสังคมตะวันตกอาจทำให้เราสูญเสียความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงหรือทำให้ราหลงลืมอะไรบางอย่างไป |
รายงานการวิจัยเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ กรณีกลุ่มซาไกหรือมานิในภาคใต้ : จังหวัดพัทลุง ตรังและสตูล | สิริพร สมบูรณ์บูรณะ | กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), 2558 | SAC Library-Book-DS570.ง7 ส64 2558 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00094807 | : รายงานวิจัยได้เรียบเรียงและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษามานิซาไกในจังหวัดพัทลุง จังหวัดตรัง และจังหวัดสตูล ในปีพ.ศ. 2558 โดยมีขอบเขตของงานวิจัยเป็นการศึกษาภาษาศาสตร์และประวัติศาสตร์สังคมผ่านการเรียกตนเองและการถูกเรียกของมานิซาไก การศึกษาข้อมูลพื้นฐานชุมชน ที่มา และประวัติย่อของชุมชน วิถีชีวิต อัตลักษณ์ต่างๆ ได้แก่ อาชีพ ระบบเครือญาติ สายตระกูล การแต่งกาย ฯลฯ การศึกษาเรื่องความเชื่อ ศาสนา ประเพณีและพิธีกรรม รวมไปถึงการศึกษาสถานการณ์สำคัญและการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันของชนเผ่ามานิ เช่น การเปลี่ยนศาสนา การสูญหายของภาษาดั้งเดิม การอพยพเข้าทำงานในเมือง ปัญหาที่ประสบในปัจจุบัน และความเคลื่อนไหวของเครือข่ายชาติพันธุ์ทั้งในประเทศและข้ามพรมแดนรัฐ |
พฤติกรรมการดูแลสุขภาพมารดาและทารก: กรณีศึกษาชนเผ่าซาไก จังหวัดตรัง | พัชสนันท์ ชูสง | ไม่ระบุ | ภูเก็ต : มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต,2557 | : วิทยานิพนธ์เล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชาว “มานิ” หรือแถบจังหวัดพัทลุง สงขลาจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ซาไก” ส่วนจังหวัดยะลา ปัตตานีและนราธิวาสจะเรียกว่า “ซาแก” มีลักษณะเตี้ย ผิวดำ ผมหยิก มีความสูงเพียง 145-150 ซม. กะโหลกศีรษะกว้าง อพยพมาอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทยและในแหลมมลายู คนไทยทั่วไปเรียกว่า “เงาะป่า” ภาษาซาไกจะอยู่ในตระกูลภาษาคำโดดเช่นเดียวกับภาษามอญหรือเขมร การปฏิบัติเกี่ยวกับการเกิดของมารดาชาวซาไกที่นั้นญาติพี่น้องและสามีจะเตรียมหายาสมุนไพรต่างๆให้พร้อมเพื่อช่วยให้ลูกคลอดง่าย หมอที่ทำคลอดจะเรียกว่า “โต๊ะมีดัน” หรือ “โต๊ะดัน” พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของผู้หญิงซาไกถ้าแต่งงานแล้วประจำเดือนไม่มาแสดงว่าตั้งครรภ์แล้วจะต้องบอกสามีเป็นคนแรก ในการปฏิบัติตัวในการตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีอาการแพ้หรือมีน้อย ซึ่งชนเผ่านี้จะไม่นิยมไปฝากครรภ์กับหมออนามัยแต่จะปรึกษาหมอตำแยประจำเผ่าและเน้นรักษาด้วยยาสมุนไพร |
|
การเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตด้านปัจจัยพื้นฐานอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ : กรณีศึกษ | ฉัตรวรรณ พลเพชร | ไม่ระบุ | วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม.)--มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2557 | : กลุ่มชาติพันธุ์ซาไกเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในผืนป่าทางภาคใต้ของประเทศไทยมาช้านาน วิถีชีวิตของซาไกต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานจากระบบนิเวศของป่ามาตอบสนองต่อความต้องการทั้งด้านที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่มและยารักษาโรค ในอดีตระบบนิเวศของป่ายังคงความอุดมสมบูรณ์ทำให้ซาไกดำรงชีวิตได้อย่างราบรื่น แต่ปัจจุบันระบบนิเวศได้ถูกทำลายจนขาดความสมดุล พื้นที่ป่าเกิดความเสื่อมโทรมส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของซาไก งานวิจัยนี้ศึกษาวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ สังคมวัฒนธรรมของชาวซาไก และศึกษาการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศที่ส่งผลให้ปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตของซาไกเปลี่ยนแปลงไป โดยทำการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ซาไกในเขตพื้นที่ป่าเทือกเขาบรรทัด ตำบลตะโหมด อำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง ซึ่งยังคงดำรงชีวิตด้วยวิถีชีวิตแบบเร่ร่อนภายในป่า โดยทำการศึกษาระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ 2556 ถึงเดือนมกราคม พ.ศ 2557 |
|
การตั้งถิ่นฐานและที่อยู่อาศัยของชาวมันนิ = The Manni ethnic group settlements and habitats | วิสา เสกธีระ | ไม่ระบุ | วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม.)--มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2557 | : ชาวมันนิคือกลุ่มชนพื้นเมืองที่อยู่อาศัยแถบเทือกเขาบรรทัดทางภาคใต้ของประเทศไทยมาเนิ่นนานก่อนกลุ่มคนอื่นๆ ในอดีตชนพื้นเมืองกลุ่มนี้ดำรงชีวิตแบบสังคมหาของป่าล่าสัตว์ (Hunting-Gathering Society) มีวิถีชีวิตเร่ร่อน ไม่มีการตั้งถิ่นฐานแบบถาวร มีเพียงที่พักอาศัยแบบชั่วคราวที่เรียกว่า “ทับ” และ “ลา”เท่านั้น แต่ในปัจจุบันชาวมันนิได้เปลี่ยนมาตั้งรกราก สร้างที่อยู่อาศัยแบบถาวร ทำให้รูปแบบที่พักอาศัยของชาวมันนิเปลี่ยนไปจากเดิม วิทยานิพนธ์เล่มนี้ศึกษาการตั้งถิ่นฐานและที่อยู่อาศัยของชาวมันนิในเชิงสถาปัตยกรรม โดยทำการศึกษาหมู่บ้านชาวมันนิ 4กลุ่มในเขตอำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - กันยายน พ.ศ. 2554 โดยศึกษาตั้งแต่วิวัฒนาการในการตั้งถิ่นฐาน ลักษณะทางกายภาพของการตั้งถิ่นฐาน การใช้พื้นที่ รูปแบบสถาปัตยกรรม และภูมิปัญญาเชิงช่างของชาวมันนิ รวมไปถึงปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลต่อการตั้งถิ่นฐาน |
|
เราควรเรียกเงาะป่าในภาคใต้ของไทยว่าเงาะซาไกหรือ? | บุญเสริม ฤทธาภิรมย์ | ไม่ระบุ | วารสาร รามคำแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ ปีที่ 33 ฉบับที่ 1 (ม.ค.-มิ.ย. 2557) หน้า 71-88 | https://www.tci-thaijo.org/index.php/huru/article/view/25584 | “เงาะซาไก” เป็นชื่อที่คนไทยทั้งส่วนราชการ นักวิชาการ สื่อมวลชน ตลอดจนคนไทยทั่วไปเรียกชนพื้นเมืองซึ่งมีผิวพรรณดำคล้ำปนแดง มีผมหยิกหย็อยเหมือนผลเงาะ ที่อาศัยอยู่ในป่าทางภาคใต้ของประเทศไทย บทความวิจัยนี้ได้สืบสาวประวัติความเป็นมาของชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในป่าและตั้งถิ่นฐานในแหลมมลายูจนพบว่า ชนพื้นเมืองหรือเงาะป่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าทางภาคใต้ของไทยนั้นคือ ชนเผ่านิกริโต Negritoหรือเซมัง Semang จัดเป็นพวกนิกรอยด์ Negroid) ไม่ใช่ชนเผ่าซาไก sakai) หรือเซนอย ชนเผ่าซาไกไม่มีหลงเหลือในประเทศไทยอีกแล้ว พบได้เฉพาะที่ประเทศมาเลเซียเท่านั้น ทั้งสองเผ่ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนหลายประการ ดังนั้น การเรียกชนพื้นเมืองทางภาคใต้ของไทยซึ่งเป็นชนเผ่านิกริโตหรือเซมังว่า “เงาะซาไก” นั้นถือว่าไม่มีความถูกต้องตามหลักวิชาการ |
เงาะภาคใต้ของไทยเป็นเผ่าเซมังไม่ใช่ซาไก | บุญเสริม ฤทธาภิรมย์. | สตูล :วิทยาลัยชุมชนสตูล,2557. | SAC Library-Book-DS570.ง7บ72 2557 | https://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00093859 | นำเสนอเรื่องราวแสดงถึงความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนของชาวไทยที่มีต่อกลุ่มชาติพันธุ์ซาไก ความแตกต่างของกลุ่มชนเผ่าซาไกและเผ่าเซมัง มีความเป็นมา แหล่งที่อยู่ และลักษณะที่คล้ายคลึงกันแต่ไม่ใช่สายตระกูลเดียวกัน มีลักษณะของภาษาที่ต่างกัน สามารถแบ่งลักษณะความแตกต่างของกลุ่มชาติพันธุ์นี้ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเซมัง คือกลุ่มที่อาศัยอยู่บริเวณแหลมมลายูและบริเวณทิวเขาทางภาคใต้ของไทย มีลักษณะผิวดำ ค่อนน้ำตาลไหม้ ตัวไม่สูงมากนัก ริมฝีปากหนา ผมหยิกขมวดเป็นก้นหอย และกลุ่มเผ่าซาไก ที่อพยพมาจากตอนใต้ของจีน ตัวค่อนข้างสูง ผิวคล้ำดำแดงออกเหลือง ผมคดไปมาเป็นลอนแต่ไม่หยิกหรือขมวดกลม อาศัยอยู่ทางตอนล่างของแหลมมลายูประเทศมาเลเซียเท่านั้น |
การศึกษาภาษาและวัฒนธรรมของกลุ่มชนหาของป่าล่าสัตว์ในประเทศไทย เพื่อการพัฒนาโดยใช้ภาษาท้องถิ่นเป็นฐาน: | อิสระ ชูศรี | สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2553 | Elibrary -- สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย | https://elibrary.trf.or.th/project_content.asp?PJID=RDG53H0003 | งานวิจัยเล่มนี้วิจัยเกี่ยวกับ กลุ่ม “มานิ” ในประเทศไทย ซึ่งส่วนมากคนไทยจะเรียกว่า “เงาะป่า” หรือ “ซาไก” เป็นกลุ่มชนพื้นเมืองทางภาคใต้ของประเทศไทย ดำรงชีพโดยการหาของป่า ล่าสัตว์ หาหัวมันป่า กล้วยป่า ผลไม้ป่า จับปลาตามลำธารและล่าสัตว์เล็ก ชนกลุ่มนี้จะสร้างที่อยู่อาศัยแบบชั่วคราวด้วยพืชตระกูลปาล์ม และอพยพถิ่นฐานไปในพื้นที่ที่มีป่าอุดมสมบูรณ์ เงาะป่าหรือซาไกจะเป็นกลุ่มคนที่มีลักษณะผิวคล้ำ ริมฝีปากหนา ตาโต ผมหยิกหยอยและขมวดเป็นก้นหอย กลุ่มที่สองกลุ่ม “มลาบรี” หรือ ตองเหลือง คือคนป่าอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทยโดยจังหวัดแพร่ น่าน ชนกลุ่มนี้ใช้ชีวิตโดยการหาของป่า เช่น ผลไม้ หัวเผือก หน่อไม้ ฯลฯ และพักอาศัยอยู่ในเพิงที่มีแค่หลังคาไว้กันแดดกันฝนที่ทำจากใบไม้ขนาดใหญ่ มีภาษาพูดเป็นของตนเองแต่ไม่เคยปรากฏเป็นตัวอักษร และกลุ่มที่สามกลุ่ม “มอแกล็น” อาศัยอยู่ที่หมู่เกาะสุรินทร์ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับกลุ่มชนอุรักละโว้ย ส่วนภาษาที่ใช้ในการสื่อสารกันภายในพื้นที่มีทั้งภาษาไทย ภาษามอเก็น และภาษาอุรักละโว้ย |
ดนตรีซาไก กรณีศึกษาตำบลนาทอน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล | ทยา เตชะเสน์ | ไม่ระบุ | วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม.)--มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2553 | ดนตรีเป็นผลผลิตของวัฒนธรรมและสังคม การศึกษาเรื่องราวทางดนตรีสามารถสะท้อนให้เห็นลักษณะของกลุ่มคน ความเป็นมาและวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละสังคม วิทยานิพนธ์เล่มนี้ได้ทำการศึกษาดนตรีของกลุ่มชนพื้นเมืองซึ่งผู้เขียนเรียกว่า ชาวซาไก ในเขตตำบลนาทอน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูลตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ 2551 ถึงเดือนมกราคม พ.ศ 2553 โดยทำการศึกษาวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวซาไก และศึกษาด้านดนตรีชาติพันธุ์ตั้งแต่ลักษณะ ทำนอง จังหวะเพลงซาไก ซึ่งมีเพลงร้องจำนวน 4 เพลงคือ เพลงเชียวเชียวกลุง เพลงอาแว เพลงวองเบ๊าะ และเพลงจัมเปซ รวมถึงศึกษาลักษณะทางกายภาพของเครื่องดนตรี ลักษณะและการสร้างเครื่องดนตรีจำนวน 6 ชิ้นคือกลองบัง ซาแกง ยาฮุ บองบง ลาแบ และจองหน่อง วิธีการเล่นเครื่องดนตรี ระบบเสียง ระดับเสียง เนื้อร้องและความหมาย วัตถุประสงค์ในการร้อง ความหมายและบทบาทของดนตรีในสังคมซาไก ด้วยระเบียบวิธีวิจัยทางมานุษยดุริยางควิทยา |
|
ซาไก: การสร้างความเป็นอื่นในบริบทการพัฒนาของรัฐไทย | สุนิตดา ชูสวัสดิ์ | ไม่ระบุ | วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม.)--มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, 2553 | การพัฒนาของรัฐไทยหรือกระบวนการสร้างความทันสมัย (Modernity) นี้ เกิดจากการพัฒนาของรัฐไทยผ่านนโยบายต่าง ๆ และได้สร้างความเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบต่อกลุ่มชาวมันนิหรือซาไก ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีประวัติความเป็นมา วิถีชีวิต ความเป็นอยู่แตกต่างจากคนไทยส่วนใหญ่ในสังคม ความแตกต่างนี้เองทำให้ชาวมันนิถูกสังคมส่วนใหญ่ผลักไสให้กลายเป็น “คนอื่น” หรือเป็น “คนชายขอบ” ทั้งที่ชาวซาไกนั้นมีอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์และมีประเพณีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง วิทยานิพนธ์เล่มนี้ศึกษาอัตลักษณ์ของซาไกก่อนการเข้ามาพัฒนาของรัฐไทยว่ามีวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์อย่างไร และศึกษาอัตลักษณ์ของซาไกภายใต้บริบทการพัฒนาของรัฐไทยว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมอย่างไรบ้าง โดยทำการศึกษาบุคคลภายนอกที่มีความสัมพันธ์กับซาไก และกลุ่มชาติพันธุ์ซาไกในเขตพื้นที่บ้านโหล๊ะหาร ตำบลทุ่งนารี อำเภอป่าบอน จังหวัดพัทลุงตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2552 ถึงเดือนกุมภาพันธุ์ พ.ศ. 2553 | |
กลุ่มชาติพันธุ์มันนิ (ซาไก) : แนวทางการอนุรักษ์ฟื้นฟูสังคมวัฒนธรรมเพื่อเสริมสร้างการอยู่ร่วมกันในสัง | อนงค์ เชาวนะกิจ | ไม่ระบุ | วิทยานิพนธ์ (ปร.ด.)--มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2552 | ในปัจจุบัน วิถีชีวิตของชาวมันนิซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานและมีความเป็นอยู่ที่ผูกพันกับป่าและทรัพยากรธรรมชาติ กำลังประสบปัญหาพื้นป่ามีความเสื่อมโทรมลง ทรัพยากรทางธรรมชาติที่ไม่อุดมสมบูรณ์เช่นเดิม อีกทั้งการพัฒนาของรัฐไทยและวัฒนธรรมสมัยใหม่เข้ามามีผลกระทบกับสังคมวัฒนธรรมของชาวมันนิ วิทยานิพนธ์เล่มนี้ศึกษาประวัติความเป็นมา สังคมวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์มันนิซาไกจากอดีตถึงปัจจุบัน และศึกษาแนวทางการอนุรักษ์ฟื้นฟูสังคมวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์มันนิซาไกเพื่อให้คนในสังคมภาคใต้อยู่ร่วมกันด้วยการยอมรับและเข้าใจความแตกต่าง โดยผู้วิจัยได้ทำการศึกษาชุมชนมันนิซาไกกลุ่มเขาหัวช้าง เขตจังหวัดพัทลุง กลุ่มเหนือคลองตง จังหวัดตรัง และกลุ่มวังสายทอง จังหวัดสตูล รวมทั้งศึกษาแนวทางการอนุรักษ์ฟื้นฟูสังคมวัฒนธรรมที่ศูนย์พัฒนามลาบรี จังหวัดน่าน และชุมชนโอรัง-อัสลี ณ รัฐเปรัค ประเทศมาเลเซีย เพื่อนำมาเป็นข้อเสนอแนะสำหรับองค์กรที่เกี่ยวข้องได้ใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับชาวมันนิ | |
รายงานผลการศึกษาชาวไทย "ซาไก" ใน เอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการวัฒนธรรมศาสตร์ เรื่องหลากหลายชาติพัน | พระครูศรีจริยาภรณ์ (ชรัช อุชุจาโร), เปรมจิต พรหมสาระเมธี, บุษบา กิติจันทโรภาส, ณัฐพร บัวโฉม | กรุงเทพฯ : กระทรวงวัฒนธรรม, 2552 | SAC Library-Books-DS570.ก64 2552 | https://lib.sac.or.th/catalog/BibItem.aspx?BibID=b00064082 | “ซาไก” กลุ่มชาติพันธุ์นิกริโตหลากชื่อที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศไทย ตลอดจนประเทศมาเลเซีย จากรายงานผลการศึกษาซาไกกลุ่มหนึ่งในพื้นที่อำเภอธารโต จังหวัดยะลา ถูกจัดให้มีพื้นที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งแน่นอน ได้รับพระราชทานนามสกุล มีสิทธิถือบัตรประจำตัวประชาชนไทย ประกอบกับการมีโอกาสการเข้าถึงระบบการศึกษา ส่งผลให้ซาไกในพื้นที่ธารโตมีความเปลี่ยนแปลงทางวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ ตลอดจนการแต่งกาย ภาษา ประเพณี และความเชื่อดั้งเดิมกำลังเลือนหายไป |
จากเงาะป่าซาไกมาสู่มหาดเล็กพิเศษ ใน เหตุเกิดในแผ่นดิน ร.๕ | โรม บุนนาค | กรุงเทพฯ : สยามบันทึก, 2550 | SUT General stack -DS582.52 .ร924 2550 | “เงาะ” เป็นคนป่าเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ในจังหวัดทางภาคใต้ของไทย ครั้งในอดีตในปี พ.ศ. 2447 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสจังหวัดพัทลุง มีพระราชประสงค์อยากจะได้ลูกเงาะมาชุบเลี้ยงไว้สักคนหนึ่ง ผู้รั้งราชการเมืองพัทลุงจึงได้รับหน้าที่สนองพระราชประสงค์จัดหาเด็กผู้ชายอายุ 10 ขวบชื่อ “คนัง”กำพร้าพ่อแม่ เมื่อถึงวังมีพิธีทำขวัญคนัง ได้รับการดูแลอย่างดี หัดให้ใช้ช้อนส้อมกินข้าว มีการฝึกสอนให้รู้จักระเบียบต่างๆ ของราชสำนัก คนังเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของทั้งเจ้านาย ข้าราชการ เมื่อคนังอายุเข้า 14 ปีก็ต้องออกจากพระราชวัง ไปทำงานเป็นเวรมหาดเล็ก เมื่ออยู่นอกวังชีวิตของคนังเริ่มตกต่ำลง มีเรื่องผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวพันมากขึ้น จนกระทั่งจบชีวิตลงในวัยหนุ่มกำดัดเท่านั้น | |
ซาไก | สุจี บุญลิ่มเต็ง. | กรุงเทพฯ :สำนักงานอุทยานการเรียนรู้, 2550 | SAC Library-Book-PL4209.1.ส72ซ69 2550 | https://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00054834 | ซาไก หนังสือประเภทนิทานสำหรับเด็กที่สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับลักษณะวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ประเพณี วัฒนธรรมความเชื่อ ผ่านตัวละครเด็กที่มีความสนใจในเรื่องของชนเผ่าซาไก จนนำไปสู่การพบตัวละครสำคัญของเรื่องคือ “ซา” หนุ่มชาวซาไกผู้เป็นเจ้าหน้าที่ศูนย์แสดงวิถีชีวิตของซาไก โดยเล่าถึงรูปร่างลักษณะนิสัย การดำรงชีพของชาวซาไกที่มีต่อพื้นป่า การแต่งกายของซาไกในอดีต ขนมธรรมเนียมประเพณีต่างๆ รวมไปถึงอธิบายขั้นตอนการทำข้าวของเครื่องใช้ในการดำรงชีวิตของชนเผ่า เช่น อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับล่าสัตว์และเป็นอาวุธประจำกายของชนเผ่าซาไกทุกคน มีชื่อเรียกว่า “บอเลา” |
การสื่อสารของกลุ่มซาไกที่ย้ายถิ่นฐานมาสู่ชุมชนเมืองในการปรับตัวและการแสดงอัตลักษณ์แห่งชาติพันธุ์ | เชิญขวัญ ภุชฌงค์ | ไม่ระบุ | วิทยานิพนธ์ (นศ.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549 | นายคมกฤษ ศรีธารโต เป็น “เงาะป่า” หรือ “ซาไก” ที่เคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านซาไก ตำบลบ้านแหร อำเภอธารโต จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ทางราชการไทยได้รวบรวมชาวซาไกที่มีวิถีชีวิตแบบเร่ร่อนมาอยู่อาศัยแบบเป็นหลักแหล่ง จนในช่วงปีพ.ศ. 2544 นายคมกฤษและครอบครัวซาไกได้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและย้ายต่อมาอยู่ที่จังหวัดนครนายก การย้ายถิ่นฐานของนายคมกฤษและครอบครัวจากสังคมชนเผ่ามาสู่สังคมชุมชนเมือง ทำให้ครอบครัวนี้ต้องเผชิญกับการปรับตัวให้เข้ากับสังคมภายนอกมาตลอด ทั้งด้านภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันมากจนเกิดปัญหาด้านการสื่อสาร งานวิจัยนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อศึกษาปัญหาและกระบวนการแก้ไขปัญหาด้านการสื่อสาร รวมทั้งศึกษากระบวนการสื่อสารเพื่อแสดงอัตลักษณ์ความเป็นซาไกระหว่างนายคมกฤษและครอบครัวกับคู่สื่อสารที่ไม่ใช่ชาวซาไก เป็นต้น | |
ณ เวิ้งอ่าวชาวใต้ ชุมชน ภูมิทัศน์และวัฒนธรรม : ภาคใต้ในแง่ภูมิลักษณะและพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ใน ช | สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) | กรุงเทพฯ : สถาบันฯ, 2548 | SAC Library-Book-GN316.ท9ส36 2548 | https://lib.sac.or.th/catalog/BibItem.aspx?BibID=b00048040 | ร่องรอยและรากเหง้าทางวัฒนธรรมของภาคใต้ที่ถูกค้นพบจากหลักฐานการตั้งถิ่นฐานมนุษย์ การสร้างสรรค์ และการใช้งานวัฒนธรรมทางวัตถุบางอย่าง ซึ่งกลายเป็นภูมิปัญญาที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน ข้อมูลหลักฐานการติดต่อการค้าที่ปรากฏในแหล่งโบราณคดีริมฝั่งทั้งสอง ที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของภาคใต้โดยเริ่มตั้งแต่การเป็นชุมชนเมืองท่ารุ่นแรกๆ และเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมชุมชนตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มพุทธศตวรรษที่ 8 จนถึงช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 18 ที่ได้มีการกำหนดให้สมัยประวัติศาสตร์ชาติไทยเริ่มต้นขึ้น จากการรองรับกับพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์และหลักฐานการใช้ภาษาไทยของคนพื้นถิ่นจากตัวอักษรที่พบจากศิลาจารึก |
ชาวเลและซาไก: เจ้าของฝั่งทะเลตะวันตกในคืนวันแห่งความเปลี่ยนแปลง ในรู้จักทักษิณ | อาภรณ์ อุกฤษณ์ | กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, 2548. | SAC Library-Book-DS568.ต9ส733 2547 | : กลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายกลุ่มในภาคใต้ฝั่งตะวันตกของประเทศไทยบริเวณเทือกเขาบรรทัดเขตรอยต่อ3จังหวัด พัทลุง ตรัง สตูล ซึ่งเป็นที่อยู่ของซาไกหรือมันนิ บริเวณหมู่เกาะชายฝั่งทะเล ซึ่งเป็นที่อยู่ของชาวเลหรืออูรักลาโว้ย อาศัยอยู่แถบเกาะสิเหร่ หาดราไวย์ แหลมหลา บ้านเหนือ และบ้านสะปำ จังหวัดภูเก็ต ทั้งมอเก็นตามับและมอเก็นปูเลาในจังหวัดพังงาและภูเก็ต ที่มีลักษณะวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มอันเป็นเอกลักษณ์ การดำรงชีวิต การรวมกลุ่ม สังคม ประเพณีการเกิด การแต่งงาน การตายและความเชื่อ ตลอดจนการดิ้นรนต่อสู้กับนายทุนจากสังคมเมือง ที่เข้าไปมีบทบาทและอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของพวกเขา | |
คนเมืองเรียกเขาว่าซาไก เขาเรียกตนเองว่ามันนิ ในวิถีไทยฉบับ | กิตติ บุษปวนิช | กรุงเทพฯ : บริษัท วรพงศ์ เทคโนโลยีส์ จํากัด, 2548. | SUT General stack - DS569 .ก66 2548 | : “มันนิ” อีกหนึ่งชื่อเรียกขานของกลุ่มชาติพันธุ์ซาไก กระจายอาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ป่าไม้ในเขตภาคใต้ของประเทศไทย ตลอดจนทางเหนือของประเทศมาเลเซียและเกาะสุมาตราในประเทศอินโดนีเซีย แถบเทือกเขาบรรทัดที่ครอบคลุมพื้นที่สามจังหวัด ตรัง พัทลุง และสตูล พบกลุ่มมันนิแต็นแอ็น ที่มีวิถีชีวิตแบบมันนิดั้งเดิม โดยพึ่งพิงกับป่าไม้ ความเป็นอยู่ใกล้เคียงกับมนุษย์ยุคหิน ยังคงอยู่ซึ่งรูปแบบการหาของป่าล่าสัตว์ ใช้อาวุธอย่าง “บอเลา” ที่ทำขึ้นเองเป็นเครื่องมือสำหรับการล่าหาอาหาร มีภูมิปัญญาด้านสมุนไพร นิสัยโดยแท้ของมันนิเป็นคนซื่อ | |
การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐาน ในการดำรงชีวิตของชนเผ่าซาไกในจังหวัดตรัง หลังจากการป | สุวัฒน์ ทองหอม | ไม่ระบุ | ปริญญานิพนธ์ (ศศ.ม.)--มหาวิทยาลัยทักษิณ, 2544 | ในอดีต ชนเผ่าซาไกในจังหวัดตรัง แถบเทือกเขาบรรทัดดำรงชีวิตอยู่ด้วยการหาของป่าและล่าสัตว์มาเป็นอาหาร เพราะพื้นป่าในสมัยนั้นมีความอุดมสมบูรณ์และมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย แต่ปัจจุบัน ภายหลังรัฐบาลไทยประกาศใช้นโยบายใต้ร่มเย็น ฐัฐไทยเข้าไปปฏิบัติการปราบปรามกองกำลังคอมมิวนิสต์ในแถบเทือกเขาบรรทัดเป็นฐาน และมีการตัดถนนเข้าไปใกล้แนวป่าเพื่อลำเลียงกำลังพล ทำให้หลังสิ้นปฏิบัติการ บุคคลภายนอกอพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในพื้นป่ามากขึ้น แหล่งอาหารตามธรรมชาติลดลงและทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรมลง ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชนเผ่าซาไก เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค วิทยานิพนธ์เล่มนี้จึงได้ทำการศึกษาและเก็บข้อมูลประเด็นดังกล่าว เพื่อให้เข้าใจในความเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวทางวัฒนธรรมของชนเผ่าซาไกให้มากยิ่งขึ้น |
|
รายงานขั้นสรุปการขุดค้นที่ถ้ำหมอเขียว จังหวัดกระบี่, ถ้ำซาไก จังหวัดตรังและการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาทา | โครงการวิจัยวัฒนธรรมโหบินเนียนในประเทศไทย | กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, 2543 | ไม่ระบุ | รายงานขั้นสรุปของโครงการวิจัยวัฒนธรรมโหบินเนียนในประเทศไทย เป็นรายงานเล่มที่ 2 เนื้อหาเป็นผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการขุดค้นที่ถ้ำหมอเขียว จังหวัดกระบี่ และถ้ำซาไก จังหวัดตรัง ปีพ.ศ. 2534 และผลการวิเคราะห์ข้อมูลชาติพันธุ์วิทยาทางโบราณคดีของชนกลุ่มน้อยเผ่าซาไกที่จังหวัดตรัง โดยข้อมูลการสรุปได้แบ่งออกเป็น 4 บทตามลักษณะประเภทของข้อมูลที่ได้จากผลการวิเคราะห์ ซึ่งได้แก่ บทที่ 1 สภาพธรณีวิทยา ภูมิศาสตร์และผลการขุดค้นทางโบราณคดี ถ้ำหมอเขียว และถ้ำซาไก บทที่ 2 ผลการวิเคราะห์ตัวอย่างโบราณวัตถุที่ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดีที่ถ้ำหมอเขียว และถ้ำซาไก ประจำปี 2534 บทที่ 3 ผลการวิเคราะห์และตีความข้อความทางโบราณคดีที่ได้จากการขุดค้นถ้ำหมอเขียว และถ้ำซาไกประจำปี 2534 และบทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลชาติพันธุ์วิทยาทางโบราณคดี |
|
ปาฐกถาสุด แสงวิเชียร พ.ศ. 2543 เรื่อง "ชาติพันธุ์วิทยาทางโบราณคดีข้อมูลเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานและพัฒ | สุรินทร์ ภู่ขจร | กรุงเทพฯ : คณะแพทยศาสตร์สิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, 2543 | SAC Library-Book-จุลสาร 01435 | การศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดีเกี่ยวกับเรื่องยุคหินเก่าในประเทศไทย ในเรื่องของการตั้งถิ่นฐาน โดยการพบร่องรอยตามถ้ำต่างๆ เช่น แหล่งโบราณคดีถ้ำซาไกหรือถ้ำลาคนแก่ ในเขตหมู่2 บ้านควนไม้ดำ อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง พัฒนาการของการดำรงชีวิต กลุ่มชาติพันธุ์ ประชากรที่แพร่กระจายเข้ามากลุ่มแรกๆ เครื่องไม้เครื่องมือและอุปกรณ์ล่าสัตว์ที่ค้นพบในประเทศไทย หลักฐานที่แสดงซึ่งชั้นวัฒนธรรมในขั้นต่างๆ ไล่ระดับตั้งแต่วัสดุอุปกรณ์แบบหยาบๆมาจนถึงวัสดุที่มีความทนทานและเกิดจากความคิดที่ซับซ้อนมากขึ้น อันชี้ให้เห็นถึงเรื่องราวและความเป็นมาในยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน | |
: Ethnoarchaeology of Hunter-gatherer group : a case study of pre-neolithic to modern orang asli in | Surin Pookajorn | กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, 2542 | SAC Library-Book- GN855.T45 S97 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00029302 | การศึกษาสำรวจทางโบราณคดีซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อมูลทางชาติพันธุ์วิทยาโบราณคดีจากกลุ่มชาติพันธุ์โอรัง อัสลี ชนเผ่าที่มีลักษณะสังคมแบบเก็บของป่าล่าสัตว์ Hunter-gathererซึ่งอาศัยอยู่ที่ถ้ำซาไก ในจังหวัดตรัง ผลการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์แบบข้ามศาสตร์จากทั้งวัตถุทางโบราณคดื และข้อมูลทางชาติพันธุ์วรรณนาเพื่ออธิบายและสืบสร้างกิจกรรมของมนุษย์ตั้งแต่ก่อนยุคหินใหม่ ช่วง 10,000 ปีมาแล้ว สัมพันธ์กับชาวโอรัง อัสลีในปัจจุบันในมิติของ พื้นที่และเวลา เช่น ผลการวิเคราะห์ดีเอ็นเอ DNA พรรณพืชและซากดึกดำบรรพ์ รูปแบบสังคมเก็บของป่าล่าสัตว์ รวมถึงประเพณี ความเชื่อ เป็นต้น ทำให้พบการก่อรูปวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองดั้งเดิมของภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ |
ตองเหลือง ซาไก และชาวเลกับความกดดันทางวัฒนธรรมที่เลี่ยงไม่ได้ ใน สังคมและวัฒนธรรมในประเทศไทย / ศูนย์ | กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, 2542 | กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, 2542 | SAC Library-Books-GN316.ท9ศ73 | ศึกษาวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต ในกลุ่มผู้คนที่ยังชีพด้วยการหาอาหารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ 3 กลุ่มในประเทศไทยได้แก่ “ตองเหลือง” ในจังหวัดน่าน แพร่, “ซาไก” ในพื้นที่ป่าฝนเมืองร้อนจังหวัดตรัง สตูล พัทลุง ยะลา นราธิวาส และ “ชาวเล” ในพื้นที่ชายฝั่ง หมู่เกาะต่างๆในจังหวัดระนอง พังงา กระบี่ ภูเก็ต กลุ่มสังคมเร่ร่อนเหล่านี้กำลังประสบกับความกดดันทางวัฒนธรรม ทั้งจากการพัฒนาเศรษฐกิจที่ต้องการเพิ่มผลผลิต การถูกบุกรุกโดยเฉพาะที่อยู่อาศัย แหล่งอาหารตามวิถีชีวิตดั้งเดิม ถูกเอารัดเอาเปรียบ ละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์ ดังนั้นทั้งภาครัฐและเอกชนจึงควรตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ และร่วมกันแก้ไขช่วยเหลือ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง ปัญหาสังคมวัฒนธรรมบนพื้นฐานสิทธิที่มนุษย์พึงมี | |
ซาไก นิทานจากธารโต | นงรัตน์ ก่อเกื้อ | ไม่ระบุ | สยามอารยะ ปีที่ 4, ฉบับที่ 50 (เม.ย. 2540), หน้า 70-73 | http://lib.sac.or.th/Catalog/ArticleItem.aspx?JMarcID=j00067626 | การเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตจนถึงปัจจุบันของหัวหน้าหมู่บ้านซาไก ที่ชื่อว่า กล่อม ศรีธานโต โดยการบอกเล่าซึ่งกล่าวถึงวิถีชีวิตของเผ่าซาไกในอดีตที่เคยอาศัยอยู่ในป่าและมีความสุขในการใช้ชีวิตตามแบบฉบับของตน คือดำรงชีวิตหาของป่า ล่าสัตว์ และอพยพเคลื่อนย้ายแหล่งที่อยู่ไปเรื่อยๆ จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้สมาชิกในเผ่าซาไกจำเป็นที่จะต้องมีการติดต่อกับชาวบ้านและโลกภายนอกมากขึ้น การบอกเล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนออกมาจากความรู้สึกกับสิ่งที่เกิดขึ้นในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ |
พฤติกรรมสุขภาพของชาวซาไก : กรณีศึกษาบ้านซาไก หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านแหร อำเภอธารโต จังหวัดยะลา | วีรวัฒน์ สุขวราห์. | กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล,2539. | ไม่ระบุ | ศึกษาพฤติกรรมของประชากรซาไกที่บ้านซาไก หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านแหร อำเภอธารโต จังหวัดยะลา ในการดูแลสุขภาพตามความรู้ดั้งเดิมและการบำบัดรักษาด้วยวิธีการรักษาแผนใหม่ รวมถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของชาวซาไก ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ทั้งสภาพภูมิศาสตร์ สภาพสังคมเศรษฐกิจและวัฒนธรรม รวมถึงได้รับอิทธิพลจากกลุ่มสังคมภายนอก เมื่อรูปแบบวิถีชีวิตในสังคมเร่ร่อนหาอาหารเพื่อยังชีพแบบดั้งเดิมของซาไกเปลี่ยนแปลงไป ความเชื่อเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพแต่เดิมที่มักเชื่อในอำนาจการกระทำของผี ส่งผลต่อวิธีการรักษา เช่น การใช้เวทมนตร์คาถาเสกหมากพลู หรือที่เรียกว่าทำ "ซาโฮส" แต่เมื่อเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลง ซาไกได้รับการจัดสรรที่ดินจากทางการให้เข้ามาตั้งหลักแหล่งถาวร มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการยังชีพด้วยการรับจ้างและถางป่าแลกเปลี่ยนเงิน เมื่อซาไกได้รับอิทธิพลทางสังคมวัฒนธรรมและรูปแบบวิถีชีวิตจากชุมชนไทยพุทธและไทยมุสลิม ก็เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล เพื่อให้เกิดการยอมรับจากกลุ่มสังคมในชุมชนใกล้เคียง รู้จักใช้ยาแผนปัจจุบันควบคู่ไปกับการรักษาด้วยวิธีการดั้งเดิมเมื่อเจ็บป่วย | |
จากชายเขตขันธ์ พัทลุงพารา สู่กรุงเทพมหานคร | อาภาภิรัตน์ วัลลิโภดม | ไม่ระบุ | จุลสารไทยคดีศึกษา. ปีที่ 13, ฉบับที่ 1 (ส.ค. 2539), หน้า 54-59 | http://lib.sac.or.th/Catalog/ArticleItem.aspx?JMarcID=j00067217 | บทความว่าด้วยเรื่องราวของเด็กชายชาวซาไก นามว่า “คนัง” เด็กชายผู้มีโอกาสถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระพุทธเจ้าหลวง ผู้เขียนได้สะท้อนให้เห็นถึงประเด็นความเป็นคนนอกกลุ่ม outgroup และการที่คนป่ายังคงถูกมองว่าห่างไกลความเป็นอารยะ uncivilized ผ่านเรียบเรียงเหตุการณ์ในชีวิตของคนังตั้งแต่เริ่มเข้าวังซึ่งเป็นที่โปรดปรานของผู้คนในวัง จนถึงช่วงบั้นปลายชีวิตที่ตกอับของคนัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เน้นให้เห็นถึงความล้มเหลวในการใช้ชีวิตและการปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่ของคนังตามทัศนะของผู้เขียน |
ชนกลุ่มน้อยเผ่าซาไก : กรณีศึกษาที่จังหวัดตรัง ใน เพราะขอบฟ้ากว้าง : รวมบทความจากคู่มือทัศนศึกษา | โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า | นครนายก : โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, 2538 | SAC Library-Books-AC158.น64 | https://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00018314 | ซาไก ชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทย มาเลเซียและอินโดนีเซีย โดยผู้วิจัยได้ทำการศึกษาในพื้นที่จังหวัดตรัง พบว่าซาไก มีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติ ที่อยู่อาศัย อาหารการกิน การแต่งกาย เครื่องมือเครื่องใช้ อาวุธคู่กาย รวมไปถึงประเพณี ความเชื่อต่างๆ ที่ล้วนสัมพันธ์กับธรรมชาติ เพื่อให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ในป่าเขาได้ เมื่อเวลาผ่านไปสภาพของป่าเขาเสื่อมโทรมลง ย่อมส่งผลให้วิถีชีวิตของพวก ตามมาด้วยปัญหาต่างๆ ทั้งกระทบโดยตรงต่อชนเผ่าซาไกเอง และต่อสังคมโดยส่วนรวมด้วย |
เงาะชนผู้อยู่ป่า : ชาติพันธุ์มนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่ยังเหลืออยู่ | สุวัฒน์ ทองหอม | กรุงเทพฯ : บริษัททันเวลา, 2538. | SAC Library-Book-DS570.ง7ส75 2538 | https://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00043715 | เรื่องราวของชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมที่สันนิษฐานว่าเป็นบรรพบุรุษของชาวไทยทางภาคใต้ในจังหวัดตรัง พัทลุง สตูล ยะลา นราธิวาส ปัตตานี เรื่อยไปจนถึงประเทศมาเลเซีย เกี่ยวกับความเป็นมา วิถีชีวิต ที่อยู่อาศัย อาหาร การแต่งกาย ความเชื่อ ทัศนคติ วัฒนธรรม และประเพณีที่สามารถสร้างสัมพันธ์กับคนกลุ่มอื่น การตั้งชื่อพวกเขาจากกลุ่มคนภายนอกที่ส่วนใหญ่มีความหมายไปในทางเย้ยหยัน เหยียดหยาม และดูถูกดูแคลน เพราะมีความคิดว่าพวกเขาเป็นชนชาติที่ด้อยกว่าตน ซึ่งสะท้อนให้เห็นลักษณะทางกายภาพของพวก อีกทั้งพวกเขายังมีความเชื่อซึ่งสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมที่ตนอาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ พื้นดิน รุ้งกินน้ำ ดวงจันทร์ สัตว์ป่า ฯลฯ ซึ่งมีผลต่อการดำเนินชีวิตที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น |
มันนิ คนจรนอนไพร ใน ชีวิตบนเส้นด้ายของ 13 เผ่าไทย | เงาศิลป์ คงแก้ว | กรุงเทพฯ : สามัคคีสาร, 2537 | SAC Library-Books-DS570.ช65ง75 2537 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00037983 | กลุ่มมันนิที่อำเภอธารโต ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้อาศัยอยู่ที่นิคมสร้างตนเองธารโต โดยการจัดสรรพื้นที่เพื่อใช้ในการเพราะปลูก กลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวที่มีกาสร้างบ้านแบบถาวร มีการเพราะปลูก เด็กๆได้เรียนหนังสือ และสามารถติดต่อกับราชการได้เนื่องจากมีบัตรประชาชน การเป็นคนป่าทำให้มันนิมีความเชี่ยวชาญในการหาสมุนไพร ซึ่งถือว่ามีคุณค่าในเชิงธุรกิจ และยังคงรักษาวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมไว้ด้วยการ อยู่ทับ หาของป่า ล่าสัตว์ กินน้อยใช้น้อย ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติจนเสียสมดุล แต่การดำเดินชีวิตที่เรียบง่ายนี้กลับกายเป็นสิ่งที่คนภายนอกมองว่า คนกลุ่มนี้ยังไม่พัฒนา และถูกกลั่นแกล้งเหมือนตัวตลก ในปัจจุบันมันนิจะแต่งกายเหมือนกับคนทั่วไป แลกมาด้วยของป่าและแรงงาน มีประเพณีที่สำคัญคือ การเกิด การตาย การแต่งงาน ความเชื่อและโชคลาง |
: ชาวเลและซาไก เจ้าของฝั่งทะเลตะวันตก : ในคืนวันแห่งความเปลี่ยนแปลง. | อาภรณ์ อุกฤษณ์. | ไม่ระบุ | วารสารทักษิณคดี. ปีที่ 3, ฉบับที่ 3 (ต.ค. 2536 - ม.ค. 2537), หน้า 89-103 | บทความนี้กล่าวถึง กลุ่มชาติพันธุ์ ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มที่อาศัยอยู่ตามเทือกเขาบรรทัดรอยต่อ ๔ จัดหวัดคือ พัทลุง ตรัง สตูล และยะลา คือ ซาไก หรือ มันนิ และ กลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ตามหมู่เกาะชายฝั่งทะเลอันดามันคือ ชาวเลซึ่งมี ๒ กลุ่มคือ อูรักลาโว้ย และ มอเก็น บทความนี้กล่าวถึงตำนานกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง ๒ ว่ามีความเกี่ยวพันกัน เนื่องจากมีเหตุไฟไหม้ใหญ่ ก็หลบหนีไปคนละทิศละทาง คนที่หนีขึ้นภูเขา คือกลุ่มชาติพันธุ์มันนิ ส่วนกลุ่มที่หนีลงน้ำ ก็เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล จากนั้นจะเป็นเรื่องราวความความเป็นอยู่และวิถีขีวิตของชาวมันนิ กับชาวเล ปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนา |
|
ชาวเลและซาไก เจ้าของฝั่งทะเลตะวันตก : ในคืนวันแห่งความเปลี่ยนแปลง / อาภรณ์ อุกฤษณ์. | อาภรณ์ อุกฤษณ์. | ไม่ระบุ | วารสารทักษิณคดี. ปีที่ 3, ฉบับที่ 3 (ต.ค. 2536 - ม.ค. 2537), หน้า 89-103 | บทความนี้กล่าวถึง กลุ่มชาติพันธุ์ ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มที่อาศัยอยู่ตามเทือกเขาบรรทัดรอยต่อ ๔ จัดหวัดคือ พัทลุง ตรัง สตูล และยะลา คือ ซาไก หรือ มันนิ และ กลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ตามหมู่เกาะชายฝั่งทะเลอันดามันคือ ชาวเลซึ่งมี ๒ กลุ่มคือ อูรักลาโว้ย และ มอเก็น บทความนี้กล่าวถึงตำนานกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง ๒ ว่ามีความเกี่ยวพันกัน เนื่องจากมีเหตุไฟไหม้ใหญ่ ก็หลบหนีไปคนละทิศละทาง คนที่หนีขึ้นภูเขา คือกลุ่มชาติพันธุ์มันนิ ส่วนกลุ่มที่หนีลงน้ำ ก็เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล จากนั้นจะเป็นเรื่องราวความความเป็นอยู่และวิถีขีวิตของชาวมันนิ กับชาวเล ปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนา |
|
เยือนชนเผ่า”ซาไก”และ”ชาวเล” บนเทือกเขาบรรทัด-สันการาคีรีและฝั่งทะเลอันดามัน ใน เสียงภูเขา : สื่อสถาน | สุวิชานนท์ รัตนภิมล | เชียงใหม่ : สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม, 2536 | SAC Library-Book-DS570.5 .ช82 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00029383 | วิถีชีวิตของ‘ซาไก’หรือ’มันนิ’ กลุ่มคนที่อยู่ในป่าลึกบนภูเขาทางภาคใต้ในจังหวัดตรัง พัทลุง สตูล สงขลา นราธิวาส ยะลา และในประเทศมาเลเซีย ไม่ตั้งหมู่บ้านเป็นหลักแหล่ง ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่ใด รู้เพียงแค่อยู่ในป่าลึก และจะออกมารับจ้างชาวบ้านถางป่าถางไร่แลกกับค่าแรงราคาถูก มีเพียงที่บ้านซาไก หมู่ที่3 ตำบลบ้านแหร อำเภอธารโต จังหวัดยะลาที่ทางจังหวัดหยิบยื่นให้เป็นที่อยู่หลักแหล่งของชาวซาไกเพื่ออนุรักษ์ในเชิงท่องเที่ยว ชาวซาไกมีความชำนาญในการใช้ลูกดอกและเชี่ยวชาญในการจำแนกพันธุ์ไม้ป่ามารักษาโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ |
ชนกลุ่มน้อยเผ่าซาไก ในหัวเมืองริมฝั่งอันดามัน | โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า.กองวิชาประวัติศาสตร์ | อัมรินทร์ | SAC Library-Book-DS588.ต9น64 | : อธิบายถึงเนื้อหาเกี่ยวกับชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ตามป่าเขาทางตอนใต้ของประเทศไทยอย่าง “ซาไก” ตั้งแต่จังหวัด ตรัง พัทลุง สตูล ยะลา นราธิวาส จนไปถึงประเทศมาเลเซียและบนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย นอกจากชื่อซาไกแล้วชนเผ่านี้จะมีชื่อเรียกต่างออกไปหลายชื่อ อาทิ เงาะ เงาะป่า ชาวป่า ซาแก เป็นต้น ภายในบทความจะมีการศึกษาถึงเชื้อชาติหรือเผาพันธุ์และประชากรของชาวซาไก ลักษณะโดยทั่วไปของชาวซาไก วิถีชีวิต การดำรงชีวิต ความเชื่อและประเพณีต่าง ๆ และภาษาพูดที่ใช้สื่อสารกันในแต่ละกลุ่ม มีการเรียกชื่อกลุ่มแตกต่างกันตามภาษาที่ใช้ |
|
: การศึกษาระบบเสียงภาษาซาไกแต็นแอ๊น ตำบลปะเหลียน อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง | เสาวณีย์ พากเพียร | ไม่ระบุ | วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม.)--มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2532 | ชาวซาไกซึ่งเป็นชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในป่าทางภาคใต้ของประเทศไทยนั้นมีภาษาพูดเป็นของตนเองแต่ไม่มีภาษาเขียน โดยภาษาซาไกจัดอยู่ในตระกูลออสโตรเอเชียติก (Austroasiatics) ซึ่งเป็นตระกูลภาษาใหญ่ตระกูลหนึ่งในเอเชียอาคเนย์ แต่กลับมีผู้ศึกษาภาษาซาไกในประเทศไทยเพียงคนเดียวเท่านั้น คือ รศ.ไพบูลย์ ดวงจันทร์ ซึ่งได้จำแนกภาษาซาไกออกเป็น 4 กลุ่ม คือ ภาษาซาไกกันซิว ซาไกแต็นแอ๊น ซาไกแตะเด๊ะ และซาไกยะฮาย สำหรับภาษาซาไกแต็นแอ๊นนั้นมีซาไกที่พูดได้อาศัยอยู่แถบจังหวัดสตูล ตรัง พัทลุงโดยมีจำนวนแค่ 100 คนเท่านั้น ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาภาษาซาไกแต็นแอ๊นที่ชาวซาไกอำเภอปะเหลียน จังหวัดตรังใช้พูดกันในปี พ.ศ 2531 - 2532 ตั้งแต่ระบบหน่วยเสียง พยางค์ คำ การเน้นเสียง ทำนองเสียง โดยมีผู้ให้ข้อมูลบอกภาษา (informant) เป็นชาวซาไกแต็นแอ๊นจากบ้านเจ้าพะ หมู่ที่ 4 ตำบลปะเหลียน อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง จำนวน 4 คน | |
ซาไก ใน ถลาง ภูเก็ต และชายฝั่งทะเลอันดามัน | วิสิฎฐ์ มะยะเฉียว | กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2532 | SAC Library-Books- DS589.ภ7ถ46 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00017234 | บทความนี้นำเสนอวิถีชีวิต “พวกคนัง” โดยเรียบเรียงจากข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ชาวป่าในสวนยางพารา บ้านคลองแร่ ตำบลลิพัง อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง ชาวป่ากลุ่มนี้แบ่งเป็นสองพวก คือคนัง (พวกเขาเอง) ส่วนใหญ่จะพูดภาษาไทยใต้ อาศัยในจังหวัดพัทลุง ตรัง สงขลา และสตูล มีความใกล้ชิดกับคนไทยพุทธ อีกจำพวกคือ “ซาไก” อาศัยอยู่ในแถบยะลา ปัตตานี นราธิวาส มีความใกล้ชิดกับคนไทยอิสลาม และใช้ภาษายาวีเป็นสื่อ แม้ชาวป่าทั้งสองกลุ่มจะมีวิถีชีวิตที่คล้ายคลึงกัน แต่ซาไกที่หุบเขาธารโตจะมีชีวิตที่ต่างไปจากชาวป่ากลุ่มอื่นมากกว่าเนื่องจากรับเอาวัฒนธรรมจากสังคมภายนอกเข้ามาใช้พอสมควร |
เสน่ห์ยะลา ถ้ำงามหินอ่อน พระนอนศรีวิชัย ทะเลใหญ่บนภูเขา ชนเผ่าซาไก ใต้สุดสยาม | องค์การบริหารส่วนจังหวัดยะลา สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว | กรุงเทพฯ : วิคตอรี่พาวเวอร์พอยท์, 2530 | SUT General stack DS589.ย6 ส77 | จังหวัดยะลาเป็นเมืองเห่าแก่ที่รวมเชื้อชาติไว้สามกลุ่มคือมุสลิม ไทย และจีน ในหนังสือเล่มนี้แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดยะลา ไม่ว่าจะเป็นโบราณสถาน ภูเขา วัด ถ้ำหรือถ้ำพระนอนที่มีพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่อยู่ภายใน หรือถ้ำคนโท และจังหวัดยังมีกลุ่มชาติพันธุ์ซาไก ที่ถึงแม้จะมีการปรับตัวให้เข้ากับสังคมคนเมืองแต่ก็ยังคงวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์บางอย่างเอาไว้ จังหวัดยะลาจึงเป็นหนึ่งในจังหวัดที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ โบราณสถาน วัฒนธรรมประเพณี และธรรมชาติ | |
ตลกที่แสนเศร้าของซาไก ใน เอกสารทางวิชาการมานุษยวิทยา ศิลปากร ฉบับปฐมฤกษ์. | อาภรณ์ อุกฤษณ์ | กรุงเทพฯ: ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มศก.,2529 | SAC Library-Book-GN4.อ72 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00018196 | เป็นบทความที่บันทึกคำบอกเล่าของ “สหาย” ของผู้เขียนที่ได้เข้าไปใช้ชีวิตช่วงหนึ่งกับซาไกแต็นแอ็น “กลุ่มเฒ่าหนู” ช่วงพ.ศ. 2520-2524 บทความนี้ได้ถ่ายทอดถึงวิถีชีวิตของชาวซาไกด้านต่าง ๆ ผ่านตัวหัวหน้ากลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อและความเกรงกลัวผีสาง การไม่ชอบน้ำ มีการติดต่อกับสังคมภายนอก เช่น การนำหวายและน้ำผึ้งไปแลกสิ่งที่ต้องการ นอกจากนี้ยังรับเอาเทคโนโลยีจากคนนอกเช่น ปืน หรือ“ไอ้เชียง” (มีด) ทั้งนี้ยังนำเสนอข้อมูลใหม่ที่ขัดกับความรับรู้เดิมของผู้เขียนว่าซาไกมีระบบครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียว ในขณะที่เฒ่าหนูคนเดียวมีเมีย 3-4 คน และมีการหย่าร้างและมีคู่ใหม่ได้ตามความเห็นชอบของหัวหน้ากลุ่ม |
สัมผัสซาไก "กันชิว" ใน โบราณคดี ''26 | คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร | คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร | SAC Library-Book-DS567 .ม56 2526 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00014470 | การศึกษาและสัมภาษณ์กลุ่มซาไกกันซิว หรือ ชาวเงาะที่ใช้ภาษากันซิว อยู่ที่บ้านแหร อำเภอธารโต จังหวัดยะลา เกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพของของผู้หญิงและผู้ชาย นิสัยใจคอ การเลือกที่อยู่อาศัย รวมไปถึงลักษณะสังคม ประเพณีและความเชื่อ ชาวเงาะยังมีประเพณีการฝังศพที่เป็นลักษณะแบบก่อนประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ มีประเพณีการแต่งงานโดยการฝากรักกันด้วยการให้ดอกไม้ แต่เนื่องจากเป็นชนกลุ่มน้อยของประเทศ ต้องติดต่อรับเอาวัฒนธรรมจากคนกลุ่มใหญ่ จึงทำให้วัฒนธรรมทางภาษาเปลี่ยนไปจากเดิม เป็นเหตุทำให้ภาษาซาไกอาจสูญไปด้วย และปัญหาที่ตามมาควบคู่ไปกับการเป็นชนกลุ่มน้อยคือ การถูกเอารัดเอาเปรียบที่ยังต้องการความช่วยเหลือ |
พวกเซมัง = The Semang | วนัช พฤกษะศรี | เชียงใหม่ : ศูนย์วิจัยชาวเขากรมประชาสงเคราะห์, [มปป] | SAC Library-Book-จุลสาร 00072 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00046553 | ทำความรู้จักกับชนชาตินิกริโตในเผ่าเซมังจากป่าในแหลมมลายูรวมทั้งตอนใต้ของประเทศไทย ที่ทางวิชาการมานุษยวิทยานั้นลงความเห็นว่าเป็นพวกเจ้าของถิ่นเดิมของเอเชียใต้และมักถูกสับสนกับชนเผ่าซาไก การแบ่งจำพวกของนิกริโตในแหลมมลายูเท่าที่ทราบคือ พวกตองก้า (Tonga) พบเฉพาะในจังหวัดตรัง พัทลุง และสตูล พวกเคนซิว (Kensiu) และพวกคินตั๊ก (Kintak) พบในจังหวัดยะลา และพวกจาฮาย (Jahai) ที่พบในจังหวัดนราธิวาส มีเนื้อหาครอบคลุมถึงประเด็นของถิ่นอาศัย ลักษณะทางกายภาพ การใช้อาวุธ การสร้างที่อยู่ การรับประทานอาหาร และการใช้ภาษา |
ซาไกที่นิคมสร้างตนเองธารโต ใน ทักษิณสารคดี | ประพนธิ์ เรืองณรงค์. | กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2525. | SAC Library-Books-DS588.ต9ป456 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00046553 | การลงพื้นที่ศึกษาซาไกที่นิคมสร้างตนเองธารโต ตำบลบ้านแหร อำเภอธารโต จังหวัดยะลา แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตซาไกจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ไม่ว่าจะเป็นภาษาที่ได้รับอิทธิพลจากไทยและมลายู การแต่งกาย ประเพณีการแต่งงาน การเปลี่ยนมาใช้ปืนลูกซองแทนอาวุธโบราณ หรือกระทั่งสมรรถภาพร่างกายที่มีความต้านทานน้อยลงกว่าบรรพบุรุษมาก แม้ชาวซาไกได้รับการช่วยเหลือทางการศึกษา กับที่ดินสำหรับอยู่อาศัยและทำกิน แต่ก็ยังไม่มีทะเบียนบ้านและบัตรประจำตัว และยังพบปัญหาความเคยชินกับวิถีชีวิตแบบเร่ร่อน นอกจากนี้ยังพบว่าชาวซาไกมีอัตราการเกิดที่น้อยลงมากสวนทางกับอัตราการตาย ทั้งนี้เป็นผลจากสมุนไพรคุมกำเนิดที่ได้ผลดีประกอบกับการเสียชีวิตด้วยโรคภัย |
ซาไก เจ้าแห่งขุนเขาและสมุนไพร | ไพบูลย์ ดวงจันทร์ | กรุงเทพฯ : อนงค์ศิลป์, 2523 | SAC Library - Book-จุลสาร 01116 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00005235 | กลุ่มชนเผ่าซาไกอาศัยอยู่ตามป่าเขา กระจายกันอยู่ในบริเวณตอนใต้ของประเทศไทยแถบจังหวัดสตูล พัทลุง ยะลา นราธิวาส ตลอดจนถึงประเทศมาเลเซียและเกาะสุมาตราในประเทศอินโดนีเซีย เป็นกลุ่มมนุษย์ชาติเก่าแก่ ถูกจัดว่าเป็นกลุ่มคนที่มีลักษณะสังคมแบบเริ่มแรกหรือยุคคนป่า มีลักษณะนิสัยร่าเริง ชอบเสียงดนตรี แต่ในขณะเดียวกันก็เกลียดการถูกดูถูกเหยียดหยาม พวกเขาไม่ชอบอาบน้ำ และอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง เครื่องแต่งกายจะทำขึ้นเองจากสิ่งที่หามาได้ตามธรรมชาติ อาหารการกินเป็นสิ่งที่หาเอาได้จากในป่า มีอาวุธประจำกายคือบอเลาและบิลา มีพิธีกรรมการทำศพที่สอดคล้องกับคนในสมัยหินเก่าตอนปลายและสมัยหินกลาง สังคมไม่ได้ให้ความสำคัญว่าพวกเขาก็เป็นราษฎรไทยที่เท่าเทียม มิหนำซ้ำยังถูกเอารัดเอาเปรียบและรีดเอาผลประโยชน์ขากพวก |
ประวัติและเรื่องน่ารู้ของพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ | สมันตรัฐบุรินทร์, พระยา | พระนคร : โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น, c2506 | SAC Library-Books-DS569.ซ62ส46 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00011651 | พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ เข้ารับราชการเมื่อปีพ.ศ. 2432 เริ่มจากการเป็นล่ามภาษามลายูจนกระทั่งได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ท่านได้ใช้ความชำนาญในภาษาและความเจนจัดด้านวัฒนธรรมมลายู ศึกษาและเผยแพร่งานวิชาการเกี่ยวกับชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในภาคใต้อย่างซาไก และบันทึกถ่ายทอดวิถีชีวิต ประเพณีของชาวมลายูเพื่อเป็นวิทยาทานแก่ผู้ที่สนใจต่อไป |
Taming the wild : aborigines and racial knowledge in colonial Malaya | Sandra Khor Manickam | Honolulu : University of Hawaii Press, 2015 | SAC Library-Books-DS595 .M343 2015 | http://lib.sac.or.th/Catalog/ BibItem.aspx?BibID=b00089276 | หนังสือเล่มนี้ได้แสดงให้เห็นว่า การจัดระเบียบทางสังคม แนวคิดด้านความเป็นชาติและเผ่าพันธุ์ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกออกเป็นสองฝั่งคู่ตรงข้ามระหว่าง “ความเป็นคนมาเลเซีย”และ“ความเป็นชนพื้นเมือง” เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้นำเสนอประวัติความเป็นมาและเบื้องหลังของคำเรียกที่รัฐมาเลย์ใช้กับกลุ่มชนพื้นเมือง อาทิ โอรังอัสลี ซาไก นิกริโต หรือเซนอย และนำเสนอประวัติและพัฒนาการของแนวคิดด้านความเป็นชาติและเผ่าพันธุ์ ซึ่งผลงานของนักมานุษยวิทยาชาวอังกฤษและการล่าอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษได้เข้ามามีอิทธิพลสำคัญต่อการให้ความหมายและการจัดระเบียบสังคมในบริบทของมาเลเซีย |
Malaysia's original people : past, present and future of the Orang Asli | Endicott, Kirk M. | Singapore : NUS Press, 2015 | SAC Library-Books-GN635.M4 M35 2016 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00089909 | กลุ่มโอรังอัสลี (Orang Asli) ในประเทศมาเลเซียเป็นกลุ่มคนแรก ๆ ที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในแถบแหลมมลายู ถูกเรียกว่าเป็นกลุ่มโอรังอัสลี ชนกลุ่มนี้มีวิถีชีวิตโดยการหาของป่า ล่าสัตว์ ตกปลา แลกเปลี่ยนของป่าซึ่งกันและกัน ไม่มีถิ่นที่อยู่ถาวร อพยพเคลื่อนย้ายไปเรื่อย ๆ ปัจจุบันวิถีชีวิตของกลุ่มโอรังอัสลีมีการเปลี่ยนแปลงเพราะนโยบายการพัฒนาของรัฐมาเลย์และวัฒนธรรมสมัยใหม่เข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตและสังคมของพวกเขา หนังสือเล่มนี้จึงได้รวบรวมเรื่องราวตั้งแต่การสำรวจตรวจสอบงานวิจัยทางมานุษยวิทยา ประวัติความเป็นมา วิถีชีวิต ความเชื่อ วัฒนธรรม ประเพณีและภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและสังคมกลุ่มโอรังอัสลีที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต |
Genetic and dental profiles of Orang Asli of Peninsular Malaysia / Edited by Zafarina Zainuddin. | Zafarina Zainuddin. | Pulau Pinang : MPH Distributors, c2012 | SAC Library-Books- GN58.M28 G46 2012 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00089001 | หนังสือล่มนี้เป็นการรวบรวมผลงานการศึกษาด้านพันธุกรรมและทันตกรรมในกลุ่มโอรัง อัสลี การศึกษาทางพันธุกรรม (genetic studies) ครอบคลุมทั้งตัวอย่างดีเอ็นเอฝ่ายบิดาและมารดา ตลอดจนพารามิเตอร์ทางชีวการแพทย์อีกหลากชนิดมาวิเคราะห์ทางพันธุศาสตร์ ส่วนการศึกษาทางทันตกรรม (dental studies) นั้นรวมเทคนิควิธีการแสดงอัตลักษณ์ทางทันตกรรม (dental identification) การวิเคราะห์ลักษณะการบดเคี้ยว (occlusal traits) และความผิดปกติของศีรษะและใบหน้า ทั้งรวบรวมข้อมูลทางประชากรศาสตร์ ชาติพันธุ์วรรณนา ภาษาศาสตร์และประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาโอรัง อัสลี ตั้งแต่คริสต์ทศวรร ษ 1890 จนถึงปัจจุบันอีกด้วย |
Malays and orang Asli: contesting indigeneity in Melayu : the politics, poetics and paradoxes of mal | Maznah Mohamad | Singapore : NUS Press, 2011 | SAC Library-Books-DS523.4.M35M45 2011 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00076260 | บทความนี้พูดถึงกระบวนการจัดวางตำแหน่งให้ชาวโอรังอัสลีกลายเป็นคนชายขอบ (marginalized People) ที่โดนจำกัดสิทธิต่าง ๆ ในขณะที่มีการประกอบสร้างให้ชาวมาเลย์กลายมาเป็นชนพื้นเมือง (indigenous peoples) ผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ ประเทศชาติและมีสิทธิพิเศษมากมาย นโยบายของจักรวรรดิอังกฤษที่มีต่อชาวมาเลย์ ชาวจีน และชาวอินเดียทำให้เกิดการแบ่งแยกกันระหว่างชนชาติเจ้าของประเทศกับชนชาติที่ไม่ใช่เจ้าของ การสร้างภาพให้สังคมมองว่าชาวโอรังอัสลีล้าหลัง และเป็นคู่ตรงข้ามของชนชาติมาเลย์ กระบวนการดังกล่าวนี้ถูกผลิตซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของฝ่ายมาเลย์ที่มีอำนาจในการปกครอง |
Ethnozooarchaeology of the Mani (Orang Asli) of Trang Province, Southern Thailand : a preliminary re | Hitomi Hongo and Prasit Auetrakulvit | Oxford : Oxbow Books ;Oakville,c2011 | SAC Library-Books- CC79.E85E87 2011 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00078116 | กลุ่มสังคมเก็บของป่าล่าสัตว์ มานิ มีถิ่นอาศัยในผืนป่าฝนเขตร้อนทางภาคใต้ของประเทศไทย และตอนเหนือของมาเลเซีย บทความนี้นำเสนอผลการวิเคราะห์กระดูกสัตว์ที่พบระหว่างการสำรวจทางชาติพันธุ์โบราณคดีในถ้ำซาไก จังหวัดตรัง ซากดึกดำบรรพ์ที่พบบริเวณพื้นของถ้ำประมาณมีอายุราว 50-100 ปี ผลการวิเคราะห์พบว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นกลุ่มหลัก ค่างเป็นสัตว์ที่ถูกล่ามากที่สุด รองลงมาคือชะนีและลิงกัง กระรอกชะมด นก ปลาเต่า และจิ้งจก การฆ่าสัตว์ใช้วิธีการตัดศีรษะและเลาะกระดูกซึ่งอาจะเป็นทักษะขั้นแรกเริ่มของของการใช้เครื่องมือโลหะ |
They have not progressed enough’: development's negated identities among two indigenous peoples (ora | Nathan Porath | ไม่ระบุ | Journal of Southeast Asian studies. vol. 41, no. 2 (Jun. 2010), p.267-289 | บทความวิจัยนี้ศึกษากลุ่มโอรังอัสลีหรือกลุ่มชนพื้นเมืองที่มีความแตกต่างกันสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่ม Meniq ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดยะลาทางภาคใต้ของประเทศไทย ส่วนอีกกลุ่มคือกลุ่มโอรังซาไก (Orang Sakai) ที่อาศัยอยู่ในหมู่เกาะริเยา (Riau) ประเทศอินโดนีเซีย โดยศึกษาเปรียบเทียบวาทกรรมการพัฒนาที่ผลิตขึ้นโดยรัฐชาติของแต่ละประเทศและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับกลุ่มคนพื้นเมืองดังกล่าว รวมถึงสำรวจผลกระทบจากวาทกรรมการพัฒนาที่มีต่ออัตลักษณ์ของกลุ่มคนพื้นเมืองเหล่านั้นในฐานะที่วาทกรรมการพัฒนานี้ได้กลายมาเป็นความจริงแท้ของสังคมวัฒนธรรมนั้นไป ผลการศึกษาพบว่า วาทกรรมการพัฒนาได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของกลุ่มคนพื้นเมือง เริ่มต้นจากภาษาที่รัฐชาติใช้ในการนิยามพวกเขา รัฐชาติได้ทำเครื่องหมายให้ชนพื้นเมืองเป็น “บุคคลที่ยังพัฒนาไม่พอ” ชนพื้นเมืองกลายมาเป็น “คนป่า” หรือ “คนที่มีความเจริญน้อย” ต้องรอคอยภาครัฐเข้าไปพัฒนาให้กลายเป็น “คนเมือง” ชนพื้นเมืองถูกให้ความหมายใหม่โดยรัฐเข้าไปลดคุณค่าและไม่ให้ความสำคัญกับความเป็นชาติพันธุ์ของคนกลุ่มนี้เลย |
|
The Orang Asli and the UNDRIP : from rhetoric to recognition | Colin Nicholas, Jenita Engi, Teh Yen Ping | Subang Jaya, Malaysia : Center for Orang Asli Concerns, 2010 | SAC Library-Books-KPG2107.M56N53 2010 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00077094 | ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของปวงชนท้องถิ่นดังเดิม (UNDRIP) เป็นความพยายามขององค์การสหประชาชาติที่มุ่งหวังว่า ปฏิญญานี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยขจัดความเลวร้ายและภัยด้านสิทธิมนุษยชนที่กำลังคุกคามกลุ่มชนพื้นเมืองบนโลกใบนี้ และเป็นเครื่องมือสำคัญในการธำรงรักษา และเข้าไปช่วยเหลือให้พวกเขาต่อสู้กับการถูกแบ่งแยกและถูกละเลย หนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอให้เห็นตั้งแต่ ประวัติความเป็นมาของกลุ่มโอรังอัสลี และพัฒนาการด้านนโยบายของรัฐบาลมาเลเซียที่มีต่อกลุ่มโอรังอัสลีจนกระทั่งการมาถึงของคำปฏิญญา |
Autonomy reconstituted : social and gender implications of resettlement on the Orang Asli of peninsu | Yong, Carol Ooi Lin. | Singapore : ISEAS. : Earthscan, 2009 | SAC Library-Books-HC412.5 .I58 2009 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00093564 | : บทความนี้ศึกษาการย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวโอรังอัสลี 2 กลุ่ม คือกลุ่มเตมวน (Temuan) กับโครงการสร้างเขื่อน Temenggor ในรัฐเปรัค และกลุ่มยาไฮ (Jahai) กับโครงการสร้างเขื่อน Sungai Selangor ในกัวลา กูบู บาห์รู ประเทศมาเลเซีย การศึกษาพบว่าโครงการใหญ่ของภาครัฐ มักอ้างความจำเป็นระดับชาติเพื่อสร้างความยุติธรรมให้กับตนเองในการละเลยเสียงเรียกร้องของชาวบ้านตัวเล็ก ๆ ในที่นื้คือชาวโอรังอัสลี พวกเขาถูกบังคับให้โยกย้ายจากถิ่นฐานบ้านเกิดของบรรพบุรุษ การย้ายถิ่นทำให้ชาวโอรังอัสลีมีสภาพชีวิตที่ย่ำแย่ลง โดยจะสูญเสียสิทธิและความเป็นเจ้าของที่ดินของตัวเองและสูญเสียวิถีชีวิตดั่งเดิม |
Urbanization and indigenous people, development among the Orang Asli, Malaysia in Urbanization and f | Toshihiro Nobuta | Quezon City, Philippines : New Day Publishers, c2009 | SAC Library-Books- HT147.S6U73 2009 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00074206 | บทความนี้นำเสนอความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุผลในการสร้าง ชุมชนโอรัง อัสลี ภายใต้แรงขับเคลื่อนของกระบวนการกลายเป็นเมืองของชุมชนในมาเลเซีย ซึ่งแตกต่างอย่างมากจากกลุ่มชาวมาเลย์ ชาวจีน และชาวอินเดีย ชาวโอรัง อัสลี ส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลประโยชน์จากกระบวนการกลายเป็นเมืองในมาเลเซีย หรืออาจกล่าวได้ว่า โอรัง อัสลีเป็นเหยื่อของกระบวนการกลายเป็นเมือง ผู้นำโอรัง อัสลี กล่าวว่า โอรัง อัสลีอาจจะหายไปภายใน 30 ปี เนื่องจากถูกกลืนกลาย จากกระบวนการลดทอนทางวัฒนธรรมลง (de-culturalization) ทำให้สูญเสียประเพณีวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในภาวะกลุ่มชาติพันธุ์ที่กำลังสูญสลาย |
Living on the periphery : development and the Islamization of the Orang asli | Nobuta, Toshihiro | Kyoto, Japan : Kyoto University Press, 2008 | SAC Library-Books-GN635.M4N63 2008 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00074795 | โอรังอัสลี (Orang asli) เป็นชื่อที่รัฐมาเลเซียบัญญัติขึ้นเพื่อเรียกรวมกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในแหลมมลายู 3 กลุ่มคือ กลุ่มนิกริโตหรือเซมัง กลุ่มซาไกหรือเซนอย และกลุ่มมลายูอัสลี งานวิจัยนี้ได้ทำการศึกษากลุ่ม Temuan ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของมลายูอัสลีโดยทำการศึกษาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1996 ถึงเดือนกันยายน ค.ศ 1998 เพื่อทำความเข้าใจอิทธิพลของนโยบายการพัฒนาโดยรัฐมาเลย์ที่มีต่อกลุ่มโอรังอัสลีและกระบวนการเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม จากเดิมที่มีความเชื่อเรื่องวิญญาณ (Animism) ผูกพันกันด้วยระบบเครือญาติ มานับถือศาสนาอิสลามซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ จนส่งผลกระทบและก่อให้เกิดปัญหาหลายประการในสังคมของชาวโอรังอัสลีปัจจุบัน |
Overwhelming terror : love, fear, peace, and violence among Semai of Malaysia / | Dentan, Robert Knox | Lanham, Md. : Rowman & Littlefield Publishers, c2008 | SAC Library-Books-DS595.2.S3D45 2008 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00072295 | กลุ่มเซไม (Semai) เป็นกลุ่มชาวโอรังอัสลีที่ใหญ่ที่สุดในแหลมมลายู งานศึกษาในอดีตได้อ้างว่าชาวเซไมและชาวโอรังอัสลีเป็นผู้รักความสงบและไม่มีประวัติด้านการสู้รบเกิดขึ้นในสังคมของพวกเขา งานวิจัยนี้ทำการศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมสังคมของกลุ่มเซไม และการเกิดขึ้นของความสงบดังกล่าวผ่านการศึกษาภาคสนามกลุ่มเซไมในช่วงปีค.ศ. 1960 ถึง 1990 ผู้เขียนได้ตั้งสมมุติฐานถึงสาเหตุของความสงบดังกล่าวว่า เกิดจากความหวาดกลัวซึ่งเป็นผลพวงจากการนำชาวเซไมไปเป็นทาสในสมัยก่อน ชาวเซไมไม่ตอบโต้ความรุนแรงด้วยความรุนแรงเพราะไร้เครื่องมือเครื่องใช้ในการสู้รบ จนทำให้สังคมเซไมไม่มีการสู้รบเกิดขึ้นเพราะมองว่าตัวเองไร้หนทางสู้ การถูกกดทับด้วยความสัมพันธ์ทางอำนาจนี้ได้นำมาสู่ปัญหาหลายประการซึ่งควรได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังเพื่อให้กลุ่มเซไมได้พบกับความสงบที่แท้จริง |
Writing on Orang Asli into Malaysian history in New perspectives and research on Malaysian history : | Hussain, Nik Haslinda Nik. | [Kuala Lumpur] : MBRAS, c2007 | SAC Library-Books-DS595.8.N49 2007 | งานศึกษานี้กล่าวถึงกระบวนการจัดการและเรียบเรียงข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ของมาเลเซีย นักประวัติศาสตร์ให้ความสนใจประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงกระทบกับประวัติศาสตร์ของชาวโอรังอัสลีด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อให้เข้าใจในประวัติศาสตร์ที่จริงแท้ของพวกเขามากขึ้น การพูดถึงปัญหา การเปลี่ยนแปลง และพัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรมของชาวโอรังอัสลีต้องถูกพิจารณาภายใต้บริบทของสังคมมาเลเซีย ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในการเข้าไปปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวโอรังอัสลีในเกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา |
|
Why are Aslian-speakers Austronesian in culture? Paper presented at the Preparatory meeting for ICAL | Roger Blench | ไม่ระบุ | Paper presented at the Preparatory meeting for ICAL-3 EFEO, SIEM REAP, 28-29th JUNE 2006 | http://www.rogerblench.info/Language/Austroasiatic/Aslian SR 2006.pdf | กลุ่มคนพูดภาษาอัสเลียน (Aslian) ประกอบไปด้วยกลุ่มชาติพันธุ์เซไม กลุ่มเทเมียร์ กลุ่มยะห์ฮุทและกลุ่มอื่นๆ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในแหลมมลายูมาช้านาน ภาษาอัสเลียนเป็นภาษาในตระกูลออสโตรเอเชียติก (Austro-Asiatic) สายเดียวกับภาษามอญ-เขมร โดยมีภาษาใกล้เคียงกับภาษาอัสเลียนมากที่สุดคือภาษาตระกูลย่อยโมนิค (Monic) และตระกูลย่อยนิโคบาเรส (Nicobarese) แม้จะอยู่กันละคนละตระกูลภาษา แต่กลับมีหลักฐานว่ากลุ่มผู้พูดภาษาอัสเลียนมีวัฒนธรรมบางส่วนแบบกลุ่มผู้พูดภาษาออสโตรนีเซียน (Austronesian) โดยจะเห็นได้จากเครื่องดนตรีที่พบในกลุ่มผู้พูดภาษาอัสเลียนที่เป็นรูปแบบของออสโตรนีเซียนเท่านั้นและไม่ปรากฏให้เห็นในโลกของออสโตรเอเชียติกเลย นอกจากนั้น ในงานวิจัยเล่มนี้ซึ่งได้ทำการวิเคราะห์คำศัพท์ในภาษาอัสเลียนก็ค้นพบว่า ภาษาอัสเลียนได้มีการหยิบยืมคำศัพท์มาจากภาษาออสโตรนีเซียนยุคก่อนอันเป็นผลลัพท์จากการอพยพย้ายถิ่นที่อยู่ของผู้คนในแหลมมลายูที่ส่งผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน |
Reflections on the ‘Disappearing Sakai’: a Tribal Minority in Southern Thailand | Annette Hamilton | ไม่ระบุ | Journal of Southeast Asian studies. vol. 37, no. 2 (Jun. 2006), p. 293-314 | http://lib.sac.or.th/Catalog/ArticleItem.aspx?JMarcID=j00061778 | ภาคใต้ของประเทศไทยมีกลุ่มชนพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าไม้แถบเทือกเขาบรรทัด คนไทยส่วนใหญ่รู้จักชนกลุ่มนี้กันในชื่อ“ซาไก” หรือ “เงาะป่า” ซึ่งเป็นชื่อเรียกที่ได้รับความนิยมแพร่หลาย ปัจจุบันชาวซาไกในประเทศมีจำนวนไม่เกิน 300 คน เมื่อตระหนักว่า กลุ่มชนพื้นเมืองเหล่านี้เป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่สามารถอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน มีชีวิตรอดและสืบทอดเผ่าพันธุ์ติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายพันปี แต่ในปัจจุบัน สิ่งแวดล้อมรอบตัวพวกเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้วิถีความเป็นอยู่ของคนกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบหลายประการ โดยมีสาเหตุสำคัญคือ การพัฒนาของรัฐสมัยใหม่ที่ล้มเหลวและละเลยความสำคัญของพวกเขาที่มีต่อการศึกษาประวัติความเป็นมาของมนุษย์ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นโยบายการพัฒนาของรัฐไทยได้กลืนกลายความเป็นชาติพันธุ์ของพวกเขาหรือบีบให้พวกเขาต้องละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองไปอาศัยอยู่ที่อื่น สิ่งเหล่านี้ทำให้ชาวซาไกได้ “หายไป” |
Names as sites of identity construction, negotiation, and resistance : signifying Orang Asli in Post | Alice M. Nah | Imprint : Leiden ;Boston : Brill, 2006 | SAC Library-Books- DS595.R32 2006 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00073914 | บทความนี้เป็นการสำรวจความซับซ้อนและการเผชิญหน้าระหว่างปฏิบัติการนิยามชื่อ การสร้างอัตลักษณ์ และปฏิบัติการทางอำนาจกับกลุ่มโอรัง อัสลี แสดงให้เห็นชื่อเรียกของกลุ่มในแต่ละพื้นที่ ภายใต้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เกี่ยวข้องต่อคนกลุ่มชาติพันธุ์นี้ การจัดจำแนกทางชาติพันธุ์และเชื้อชาติ ที่ปรับเปลี่ยนไปตามบริบทของรัฐ การให้ชื่อของรัฐบาลที่มีต่อกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิม aborigines people มาสู่คำเรียกในปัจจุบัน (Orang Asli) พรมแดนอันลื่นไหลระหว่างตัวตน คนอื่น การจัดวางตำแหน่งแห่งที่ให้กับกลุ่มคน กลายเป็นเครื่องหมายแสดงอัตลักษณ์ แสดงให้เห็นความแตกต่าง ดังนั้น ชื่อ บทบาทของชื่อจึงเป็นพื้นที่บ่งบอกอัตลักษณ์ให้ปรากฏ ภายใต้ความหมายทางสังคมที่ถูกนิยาม ต่อรอง และต่อต้าน |
Orang Asli women of Malaysia : perceptions, situations & aspirations | Adela S. Baer | Malaysia : Center for Orang Asli Concerns, 2006 | SAC Library-Books-GN635.M4O73 2006 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00075494 | หนังสือเล่มนี้เป็นงานศึกษาเพศหญิงในสังคมชาวโอรังอัสลีที่อาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซีย ในอดีตผู้หญิงในสังคมโอรังอัสลีเคยมีบทบาทหน้าที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเพศชาย แต่เมื่อมาเลเซียได้รับอิสรภาพในปี ค.ศ. 1957 หน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และสื่อมวลชนนำเสนอแนวคิดสังคมชายเป็นใหญ่จนแนวคิดนี้แพร่หลายไปยังชุมชนชาวโอรังอัสลี ทำให้ชีวิตของผู้หญิงชาวโอรังอัสลีในปัจจุบันต้องประสบกับปัญหานานับประการ ที่สะท้อนให้เห็นถึงบทบาท หน้าที่และความสำคัญของผู้หญิงในสังคมชาวโอรังอัสลีที่พวกเธอเป็นทั้งในฐานะมารดา ภรรยา และคนทำงาน |
Orang Asli and their wood art | Datuk Anthony Ratos ; with photographs by H. Berbar. | Singapore : Marshall Cavendish Editions, c2006 | SAC Library-Books- NK9779.A1R38 2006 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00071525 | หนังสือภาพว่าด้วยศิลปะไม้แกะสลักของกลุ่มชาติพันธุ์โอรัง อัสลี เป็นผลงานที่สะท้อน ศิลปะ ประเพณี และความเชื่อ ของกลุ่มชนพื้นเมืองโอรัง อัสลีบนคาบสมุทรมาเลเซีย 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ เนกริโต (Negrito) เซนอย (Senoi) และโปรโต มาเลย์ (Proto Malays) ชาวโอรัง อัสลี เป็นชนพื้นเมืองกลุ่มแรกของมาเลเซีย ผู้พึ่งพาระบนิเวศป่าในชีวิตประจำวันเพื่อความอยู่รอด การล่าสัตว์ด้วยลูกดอก การตกปลาด้วยลอบไม้ไผ่ พร้อมรอยสักใบหน้าจากสีย้อมธรรมชาติ หนังสือแต่ละบทบอกเล่าถึงความเป็นชนพื้นเมืองกลุ่มนี้ตั้งแต่แนะนำข้อมูลประชากร ถิ่นที่อยู่ โลกทัศน์ วิถีการยังชีพ และความเชื่อ และผลงานการแกะสลักไม้ซึ่งมีลักษณะโดดเด่น |
Moken and Semang : 1936-2004 Persistence and Change | Hugo Adolf Bernatzik | Bangkok, Thailand : White Lotus, 2005 | SAC Library-Books- DS528.2.M58B41 2005 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00047739 | ภาคแรก “Mergui and South Siam” ว่าข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางสำรวจสังคมวัฒนธรรมของกลุ่มชนพื้นเมือง 2 กลุ่มคือ กลุ่มมอแกน (Moken) และเซมัง (Semang) ในเมืองมะริด (Mergui) เขตตะนาวศรีของเมียนมาร์ และภาคใต้ของไทยปัจจุบัน เพื่อศึกษากลุ่มที่ยังคงวิถีแบบเก็บของป่าล่าสัตว์ รวมถึงกลุ่มซึ่งมีลักษณะทางวัฒนธรรมเร่ร่อน มีการอพยพเคลื่อนย้ายถิ่น ตลอดจนศึกษากลุ่มที่ถูกเรียกว่า “Indonesian Moi Peoples” เพื่อหาความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับกลุ่ม Melanesians |
Into the mainstream or into the backwater? Malaysian assimilation of Orang Asli in Civilizing the m | Christopher R. Duncan | Ithaca : Cornell University Press, 2004 | SAC Library-Books-GN635.S58C59 2004 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00043134 | บทความนี้แสดงให้เห็นความพยายามและเป้าหมายของรัฐมาเลย์ที่มีต่อชาวโอรังอัสลี และสาเหตุที่ความพยายามนั้นล้มเหลว อธิบายการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของนโยบายการพัฒนาที่รัฐมาเลย์นำมาใช้ รวมไปถึงแนวคิดและวิธีการทำงานของภาครัฐที่ส่งผลต่อชาวโอรังอัสลี การจัดการระบบเศรษฐกิจ การแบ่งแยกที่ดิน และการให้พื้นที่ทางสังคมแก่พวกเขา โดยตั้งแต่ปี 1961 รัฐมาเลย์พยายามที่จะเข้าไปรวบรวมชาวโอรังอัสลีซึ่งเป็นชนพื้นเมืองให้กลายมาเป็นชาวมาเลย์ทั่วไป รัฐพยายามเข้าครอบงำผ่านระบบเศรษฐกิจและนำกฎหมายเข้าไปควบคุมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา มีการก่อตั้งหน่วยงานจัดการดูแลกลุ่มชนพื้นเมือง (JHEOA) |
: An integrated perspective on Orang Asli ethnogenesis in Southeast Asian archaeology : Wilhelm G. | David Bulbeck | Quezon City : University of the Philippines Press, 2004 | SAC Library-Books- DS523.S66 2004 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00073774 | บทความแสดงมุมมองเชิงบูรณาการต่อการทำความเข้าใจกลุ่มชาติพันธุ์โอรัง อัสลี ในคาบสมุทรมาเลเซียจนถึงภาคใต้ของไทย ภายใต้หลักฐานทางโบราณคดีจากการขุดค้นหลุมฝังศพที่พบในบริเวณภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พิจารณาหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี การกระจายตัวทางภาษา Aslian ในมลายา ลักษณะทางภาษาศาสตร์ ลักษณะของคำศัพท์และสัทศาสตร์ ถิ่นกำเนิด ตลอดจนความเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้องทางเชื้อชาติในสมัยโบราณ ว่า กำเนิดของภาษา กระจายตัวในบริเวณนี้ รวมถึง พื้นที่อาณาจักรโบราณ รวมถึงเครื่องปั้นดินเผาที่พบมาแล้ว นอกจากนั้นการเคลื่อนย้ายทางภาษา อธิบายให้เห็นการปรับตัวของภาษาที่เกิดขึ้นใหม่และวิถีชีวิต ที่มีการอพยพย้ายถิ่น กระจายพื้นที่ออกไปในวงกว้าง ปรากฏหลายสมมติฐานแสดงให้เห็นพัฒนาการของแนวคิดว่าด้วยเรื่องภาษาที่มีกลุ่มคนผู้พูดจำนวนน้อย หากกระจายตัวในวงกว้างจนกลายเป็นภาษาที่กำลังสูญหายไป ส่วนในเชิงวัฒนธรรม อันเป็นพลวัต ดังนั้นภาษาที่แยกตัวเป็นกลุ่มย่อยเล็ก ๆ จะอยู่รอดมานานหลายพันปี ประการต่อมา กรณีของชุมชนโอรัง อัสลีที่มีการพูดอย่างกว้างขวาง แสดงต้นกำเนิดในทางภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องได้พบการกระจายตัวที่มีการทับซ้อนกัน ประการสุดท้าย มีสมมติฐานจากการตีความตั้งแต่จากยุคหินใหม่ตอนปลายถึงยุคโลหะ ว่าพบบางส่วนของคาบสมุทร มีกลุ่มที่พูดภาษา Aslian เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายของภาษาออกไป บางพื้นที่ของสาขาของภาษา Aslian ที่ได้สูญหายไป บทความแสดงให้เห็นรูปแบบ ของการ กระจายตัวของภาษาโบราณจากหลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบ นอกจากนั้นยังเห็นสหสัมพันธ์ทางมานุษยวิทยากายภาพจากลักษณะทางสัณฐาน ของฟัน สัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับ ลักษณะทางพันธุกรรมกับกลุ่ม Melayu Malays อีกด้วย บทความ บ่งชี้ถิ่นฐานของ Aslian ว่า proto-Aslian มีรัศมีการกระจายตัว ของสาขาอย่างหลากหลาย เสดง กำเนิด ไปตามชายฝั่งตะวันตก และการปรากฏการครอบครองอาณาจักรตอนกลางโดย proto-Besisiและอาจเป็น proto- MKKJMB (Maniq, Kensiu, Kentaq, Jahai, Mendriq และ Batek) ในแถบชายฝั่ง ภายใต้ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่าง Aslian และ non-Aslianที่มาใหม่ ประเด็นนี้ทำให้เกิดความเข้าใจประวัติศาสตร์อย่างยาวนานของการค้าในภูมิภาค แสดงระดับของความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มทางทะเลมหาสมุทรและภาคพื้นทวีปที่เชื่อมโยงกับการก่อกำเนิดทางชาติพันธุ์ของกลุ่มโอรัง อัสลี |
Looking for money : capitalism and modernity in an Orang Asli village / | Alberto G. Gomes | Subang Jaya, Malaysia :Center for Orang Asli | SAC Library-Books-DS595.2.S3G66 2003 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00049581 | : หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยงานชาติพันธ์วรรณนาทางด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่มโอรัง อัสลี ชนพื้นเมืองของมาเลเซีย ในสายตาและมุมมองของชาวมาเลเซียและชาวต่างชาติมักมองชนกลุ่มนี้ในแง่ของกลุ่มชนเร่ร่อนในผืนป่า พวกล้าหลัง และ ไร้เดียงสา เป็นกลุ่มเก็บของป่าล่าสัตว์ hunting and gathering ขณะที่งานชิ้นนี้ซึ่งศึกษาพวกเซมัง หรือเนกริโต (Negrito) ในกลันตัน (Kelantan) ในช่วงคริสตทศวรรษ 1980 โดยศึกษาปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของ Tapah Semai กับเศรษฐกิจของมาเลเซียภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมปัจจุบัน |
The Orang Asli of west Malaysia: an undate | Nagata, Shuichi | ไม่ระบุ | Moussons no. 4(2001), p.97-112 | http://lib.sac.or.th/Catalog/ArticleItem.aspx?JMarcID=j00060470 | บทความนี้เป็นการรวบรวมข้อมูลงานวิชาการด้านมานุษยวิทยาที่ทำการศึกษาวิจัยกลุ่มโอรังอัสลี ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ทางตะวันตกของประเทศมาเลเซีย โดยงานศึกษาดังกล่าวจะต้องมีปรากฏออกมานับตั้งแต่ปี ค.ศ 1989 ขึ้นไปเท่านั้น เพื่อนำไปใช้ทบทวนองค์ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับชนพื้นเมืองกลุ่มนี้ด้วยข้อมูลงานศึกษาใหม่ ๆ ที่ไม่ล้าหลังจนเกินไปนัก โดยต้นกำเนิดของกลุ่มโอรังอัสลีนั้นเริ่มต้นจากชาวเพเกิน (Pagan) ที่เข้ามาอาศัยกระจัดกระจายกันไปทั่วแหลมมลายูและกลายเป็นกลุ่มตัวอย่างของงานศึกษาวิจัยในยุคศตวรรษที่ 19 จากนั้นได้เกิดการล่าอาณานิคมโดยจักรวรรดิอังกฤษขึ้น จนเวลาล่วงเลยผ่านไปหลายร้อยปี กลุ่มชนดั้งเดิมได้กลายมาเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกรัฐมาเลย์บัญญัติคำเรียกว่า กลุ่มโอรังอัสลี ซึ่งปัจจุบันกำลังประสบกับปัญหาและความเปลี่ยนแปลงนานับประการภายใต้นโยบายการพัฒนาของรัฐ กระบวนการกลายเป็นสมัยใหม่ และความพยายามเข้ามามีส่วนร่วมของบุคคลภายนอกมากขึ้น |
Social Integration and Energy Utilization : An Analysis of the Kubu Suku Terasing of Indonesia and t | Charles Otto Blagden | Ali M. A.Rachman | SAC Library-Books- GN2.M6 1991 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00059347 | บทความเรื่องนี้อยู่ภายใต้แนวคิดทางทฤษฎี Elman R. Service, Leslie A. White เกี่ยวกับวิวัฒนาการทางสังคมของมนุษย์ จากกลุ่ม ชนเผ่า อาณาจักร และรัฐ เชื่อมโยงกับการเพิ่มขึ้นของการบริโภคพลังงาน ภายใต้กลุ่มศึกษาเปรียบเทียบ จากการจัดองค์กรทางสังคมในรูปแบบที่เรียบง่ายที่สุดคือกลุ่ม Kubu Suku Terasing บนเกาะสุมาตรา ของอินโดนีเซีย และTemuan Orang Asli ของมาเลเซีย ผลการศึกษาพบว่าด้วยการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นตามระดับของกลุ่มชนเผ่า ตามวิวัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรมจากสังคมดั้งเดิมไปสู่อารยธรรมโดย กลุ่ม Kubu มีการบริโภคพลังงานสูงกว่ากลุ่ม Temuan แสดงให้เห็นว่า สังคมที่มีการจัดระเบียบในระดับสูงต้องการพลังงานสูงกว่า |
Orang Asli now : the Orang Asli in the Malaysian political world / Roy Davis Linville Jumper | Roy Davis Linville Jumper | Lanham, Md. : University Press of America, c1999 | SAC Library-Books-GN635.M4J83 1999 | กลุ่มชาติพันธุ์โอรัง อัสลีในมาเลเซียตะวันตกนั้น มีกิจกรรมทางการเมืองในฐานะชนกลุ่มน้อย การเคลื่อนไหวทางการเมืองของพวกเขา มีบทบาทไม่น้อยต่อรัฐบาลของมาเลเซียที่ต้องการให้โอรัง อัสลีมีความมั่นคง เช่นเดียวกับคนกลุ่มอื่นของมาเลเซียเช่น มาเลย์ จีน และอินเดีย หนังสือเล่มนี้สำรวจการมีส่วนร่วมทางการเมืองของโอรัง อัสลี นับเป็นงานวิจัยชิ้นแรก ๆ ที่พยายามทำความเข้าใจในมุมมอง ความรู้สึกเกี่ยวกับการเมืองของโอรังอัสลีจากภายในให้ปรากฏอย่างเด่นชัด การวิจัยแสดงให้เห็นแนวโน้มว่า พรรคการเมืองของมาเลเซียมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก แม้ไม่ได้มีความคาดหวังให้กลุ่มโอรัง อัสลีมีบทบาททางการเมืองของมาเลเซีย แต่อย่างน้อยก็สร้างให้ชาวโอรัง อัสลีเข้าไปอยู่ในสำนึกทางการเมืองของมาเลเซียได้บ้าง | |
Some Habitations of the Orang Asli of the Malay Peninsula in The architecture of South-East Asia thr | Charles Otto Blagden | Kuala Lumpur : Oxford University Press, 1998 | SAC Library-Books-NA1511.A73 1998 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00016894 | : สรุปจากเรื่อง Pagan Rates of Malay Peninsula ตั้งแต่ปี ค.ศ.1906 รายงานว่า ช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1890 มีงานศึกษาเกี่ยวกับชนพื้นเมืองโอรัง อัสลีในบริเวณรัฐเปรักของมาเลเซีย ซึ่งถือเป็น ความพยายามในการอธิบายวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบของชนกลุ่มนี้ จากข้อมูลของ Walter William Skeat และ Charles Otto Blagden เกี่ยวกับลักษณะการตั้งถิ่นฐานอาศัยและลักษณะบ้านเรือนของพวกเขาพบว่า Kedah Semang และ Pangan ที่ Ban tun เป็นกลุ่มเร่ร่อนไม่มีถิ่นฐานแน่นอน อาศัยอยู่ตามป่า และเพิงหน้าผาหิน ส่วนกลุ่มที่อาศัยตามเพิงพักที่เป็นต้นไม้ และร่มเงาของกิ่งใบไม้ เป็นประเภทพึ่งพาธรรมชาติ มีลักษณะคล้ายรังนกที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำนั้นได้แก่ Perak Semang และ Pangan ขณะที่กลุ่ม ที่มีเพิงพักร่วมกันคล้าย กระท่อมทรงกลม เป็นครอบครัวเล็กขนาด 1 ถึง 2 ครอบครัว ได้แก่ Semang of Kedah ลักษณะเหมือน long-house นอกจากนั้นยังพบว่า บางครั้ง มีรูปแบบกระท่อมยกพื้นคล้ายคลึงกับพวก Malayan กลุ่มที่มีลักษณะเป็นบ้านและกระท่อมคือ Perak Sakai ที่สร้างตามแบบทรงมาเลย์ ตามแนวไหล่เขา มีหลังคาปกคลุมด้วยใบไม้จำพวกใบปาล์ม และ กลุ่ม Pahang Sakai เป็นกระท่อมตามภูเขาซึ่งมีระดับความสูงค่อนข้างจะมาก รูปแบบสุดท้ายเรียกว่า Orang laut หรือ Sea-Jakun เป็นลักษณะเฉพาะของกลุ่มชนเผ่า Sletar ที่ครอบคลุมพื้นที่จำกัดประมาณ 30 ตารางเมตร เป็นลักษณะอาศัยในเรือเพื่อบรรทุก เก็บอาหาร จากฝั่งและป่า |
Orang Asli and Malays: eguity and native title in Malaysia in Land conflicts in Southeast Asia : ind | Leonard Y. Andaya, | Honolulu : University of Hawai Press, 1998 | SAC Library-Books- HD880.8.L36 | บทความนี้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงด้านความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจสังคม และการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ของชาวโอรัง อัสลี บริเวณช่องแคบมะละกาในยุคสมัยก่อนการยึดครองของตะวันตก ชาวโอรัง อัสลีเป็นกลุ่มชนที่รู้จักกันดีในประวัติศาสตร์ของทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะชื่อเสียงด้านการเป็น “โจรสลัด” ที่คอยปล้นเรือสินค้าที่เข้ามาในช่องแคบมะละกา ความรู้เกี่ยวกับท้องทะเลทำให้พวกเขาเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัฐสุลต่านมะละกามีความเจริญรุ่งเรืองในฐานะเมืองท่าที่เป็นศูนย์กลางการค้าในคาบสมุทรมาเลย์ โจรสลัดโอรัง อัสลีจะรับรองความปลอดภัยให้กับเรือที่เข้ามาค้าขายกับรัฐสุลต่านมะละกาเพื่อแลกเปลี่ยนกับตำแหน่ง สถานะทางสังคมและสิ่งของมีค่าจากต่างถิ่น |
|
Indigenous peoples and the state : politics, land, and ethnicity in the Malayan Peninsula and Borneo | Robert L. Winzeler (editor) | New Haven:Yale University Southeast Asia Studies,1997 | SAC Library-Books- GN635.M4I53 1997 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00034938 | หนังสือรวมบทความจากการประชุมประจำปีสมาคมมานุษยวิทยาอเมริกัน เกี่ยวกับความเป็นชาติพันธุ์และรัฐในบอร์เนียว และมะลายา ให้ความสนใจต่อการศึกษาชาวบอร์ดนี้และโอรัง อัสลี พัฒนาการ ระหว่างกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่ไม่ใช่ชาวมาเลย์ในมาเลเซียตะวันตก รวมถึงกาลิมันตันของอินโดนีเซีย ด้วยรูปแบบวิถีชีวิตทางสังคมแบบเก็บของป่าและล่าสัตว์หรือ การทำไร่หมุนเวียน ส่งผลต่อพื้นที่ป่าฝนเขตร้อนลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว จึงนำมาซึ่งความสนใจทางประวัติศาสตร์ การตั้งถิ่นฐาน ความสัมพันธ์ และการจัดกลุ่ม ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มคนโอรัง อัสลีในพื้นที่ |
Orang Asli amidst ethnic diversity : a case study in aboriginal political development in West Malays | Roy Davis Linville Jumper | ไม่ระบุ | : Knoxville. Ann Arbor : The University of Tennessee, 1996 | วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกทางด้านรัฐศาสตร์ เป็นผลการศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์โอรัง อัสลี ที่มีถิ่นอาศัยอยู่ทางตะวันตกของมาเลเซีย การศึกษาผ่านมิติทางประวัติศาสตร์ 3 ช่วงเวลา ได้แก่ ก่อนอาณานิคม ยุคอาณานิคม และหลังอาณานิคม แสดงให้เห็นว่า กลุ่มชาติพันธุ์โอรัง อัสลี มีพัฒนาการของอัตลักษณ์ร่วมของความเป็นโอรัง อัสลี (a common pan-Orang Asli identity) และจิตสำนึกทางการเมือง (political consciousness) ชาวโอรัง อัสลีกลุ่มชนที่มีถิ่นที่อยู่กระจัดกระจายจึงไม่เป็นไปตามแรงผลักทางการเมือง ด้วยเหตุปัจจัยสำคัญ 2 ประการคือ ที่ดิน และศาสนาอิสลาม เป็นตัวบ่งชี้สำคัญอย่างยิ่งต่อแรงขับเคลื่อนสำคัญเบื้องหลังการรวมตัวทางการเมือง ดังนั้นชาวโอรัง อัสลีจึงเป็นกังวลเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินและอิสรภาพทางศาสนา ผลการศึกษาพวกเขาสามารถต่อรองในการดำรงอยู่กับรัฐมาเลเซียและผู้ปกครองในยุคก่อนอาณานิคม ลักษณะของความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้เป็นที่มมาของสมมติฐานของงานวิจัยชิ้นนี้ว่า โอรัง อัสลีเป็นกลุ่มหนึ่งที่มีอำนาจทางการเมืองในมาเลเซีย | |
Orang Asli amidst ethnic diversity : a case study in aboriginal political development in West Malays | Roy Davis Linville Jumper | Knoxville. Ann Arbor : The University of Tennessee, 1996 | SAC Library-Books- Research- DS595.R32 2006 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00067716 | วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกทางด้านรัฐศาสตร์ เป็นผลการศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์โอรัง อัสลี ที่มีถิ่นอาศัยอยู่ทางตะวันตกของมาเลเซีย การศึกษาผ่านมิติทางประวัติศาสตร์ 3 ช่วงเวลา ได้แก่ ก่อนอาณานิคม ยุคอาณานิคม และหลังอาณานิคม แสดงให้เห็นว่า กลุ่มชาติพันธุ์โอรัง อัสลี มีพัฒนาการของอัตลักษณ์ร่วมของความเป็นโอรัง อัสลี (a common pan-Orang Asli identity) และจิตสำนึกทางการเมือง (political consciousness) ชาวโอรัง อัสลีกลุ่มชนที่มีถิ่นที่อยู่กระจัดกระจายจึงไม่เป็นไปตามแรงผลักทางการเมือง ด้วยเหตุปัจจัยสำคัญ 2 ประการคือ ที่ดิน และศาสนาอิสลาม เป็นตัวบ่งชี้สำคัญอย่างยิ่งต่อแรงขับเคลื่อนสำคัญเบื้องหลังการรวมตัวทางการเมือง ดังนั้นชาวโอรัง อัสลีจึงเป็นกังวลเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินและอิสรภาพทางศาสนา ผลการศึกษาพวกเขาสามารถต่อรองในการดำรงอยู่กับรัฐมาเลเซียและผู้ปกครองในยุคก่อนอาณานิคม ลักษณะของความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้เป็นที่มมาของสมมติฐานของงานวิจัยชิ้นนี้ว่า โอรัง อัสลีเป็นกลุ่มหนึ่งที่มีอำนาจทางการเมืองในมาเลเซีย ทั่วทุกหนแห่ง ดังนั้นชาวโอรัง อัสลีจึงเป็นกังวลเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินและอิสรภาพทางศาสนา ผ่านระยะเวลาที่พวกเขาสามารถต่อรองในการดำรงอยู่กับรัฐมาเลเซียและผู้ปกครองในยุคก่อนอาณานิคม ลักษณะของความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ของพวกเขาแสดงในสมมติฐานของงานวิจัยชิ้นนี้ว่า โอรัง อัสลีเป็นกลุ่มหนึ่งที่มีอำนาจทางการเมืองในมาเลเซีย |
: Violence and the dream people : the Orang Asli in the Malayan emergency, 1948-1960 | John D. Leary | Athens: Ohio University, c1995 | SAC Library-Books-DS595.2.S3L43 1995 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00034231 | ผู้เขียนนำเสนอข้อมูลต่อมุมมองเรื่อง “ภาพลักษณ์ของชาวโอรังอัสลีที่เกลียดความรุนแรงและไม่นิยมความขัดแย้ง” ว่าเป็นมุมมองของนักมานุษยวิทยาที่เข้าไปศึกษาภาคสนาม โดยผู้เขียนได้หยิบยกยุคสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกิดขบวนการกองกำลังคอมมิวนิสต์ขึ้น ซึ่งชาวโอรังอัสลีต้องตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาล ทหารกับกองกำลังคอมมิวนิสต์ที่เข้าไปในแถบพื้นที่ป่าซึ่งชาวโอรังอัสลีได้อาศัยอยู่ ทั้งฝั่งรัฐบาลและฝั่งคอมมิวนิสต์ต่างใช้กำลังเรียกร้องให้ชาวโอรังอัสลีทำตามความประสงค์ของตัวเอง ฝ่ายรัฐบาลได้จัดตั้งกองกำลังทหารที่เต็มไปด้วยชาวโอรังอัสลีเพื่อเข้าไปเข่นฆ่ากองกำลังคอมมิวนิสต์ที่หลบซ่อนอยู่ในป่า และยังมีอีกหลายสถานการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าชาวโอรังอัสลีได้ใช้ความรุนแรงทั้งต่อฝ่ายรัฐบาล คอมมิวนิสต์และชนพื้นเมืองกลุ่มอื่น ๆ |
What it is to be human : hope lies in our ability to bring back to awareness | Robert J. Wolff. | Freeland, WA : Periwinkle Press, 1994 | SAC Library-Books- BD450.W66 1994 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00078080 | ข้อเขียนซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้เขียนเกี่ยวกับกลุ่ม เซนอย กลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมของมาเลเซียที่มักถูกสื่อเรียกว่า “คนในยุคหิน Stone Age people” อาศัยอยู่ห่างไกลจากความศิวิไลซ์ของโลกตะวันตก ผู้เขียนเล่าเรื่องผ่านความคิด ความรู้สึก ประสบการณ์และมุมมองของตนเอง ต่อกลุ่มคนที่เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ด้วยเป็นระยะเวลานาน และมีหลายหัวข้อ อาทิเช่น ความเชื่อ บุคคลในชุมชน ทรัพยากร เพื่อสะท้อนความเป็นมนุษย์ของชนกลุ่มนี้ |
Sakai cave : Trang province-Southern Thailand, report on the field work 1993 | G. Albrecht, H.Berke, D. Burger, S | Silpakorn University, Bangkok 1993 | SAC Library-Books- GN776.32.T4S35 1993 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00046055 | รายงานการศึกษาภาคสนามทางชาติพันธุ์วรรณนาและโบราณคดีที่ถ้ำซาไก จังหวัดตรัง และบริเวณโดยรอบ ตั้งแต่ ปี ค.ศ.1991 และ 1992 เกี่ยวกับวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์มานิ (เซมังเหนือ) ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้ถ้ำซาไก รายงานแสดงให้เห็น รูปแบบการตั้งถิ่นฐานของชุมชน ที่มีลักษณะเป็นเพิงพักขนาดเล็กในพื้นที่ 3 – 4 ตารางเมตร อยู่กันเป็นกลุ่มครอบครัว ประมาณ 17 คน บอกเล่าการสังเกตการณ์รูปการณ์ล่าสัตว์ของกลุ่มมานิ รายงานแสดงให้เห็นว่า ต่อคำถามที่ว่า กลุ่มมานิในภาคใต้ของไทยมีแนวโน้มที่จะดำรงชีพอยู่รอด ดำรงชึพในรูปแบบเก็บของป่าล่าสัตว์ในผืนป่าฝน ลักษณะนิสัยตามธรรมชาติของพวกเขาอยู่ในภาวะทำลาย มีการตัดเผาป่าอย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นซึ่งถือว่า เป็นกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ซึ่งคณะทำงานได้จัดวางแผนแนวทางในการรณรงค์ป้องกันกับหน่วยงานระดับท้องถิ่นของกรมป่าไม้ต่อไป ขณะที่รายงานการขุดค้นทางโบราณคดีที่ถ้ำซาไก ปรากฏลักษณะชั้นดินทางธรณีวิทยาที่มีการเปลี่ยนแปลง แสดงถึงความเก่าแก่ในช่วงยุคหินใหม่ แม้จะมีความพยายามขุดค้นหลุมฝังศพ แต่พบโครงกระดูกน้อยมาก หรือถูกทำลายไปจนไม่ปรากฏร่องรอยหลักฐานชัดเจน |
Same hair, different hearts : Semai identity in a Malay context : an analysis of ideas and practices | Kroes, Gerco | Berkeley : University of California Press, [1993] | SAC Library-Books- DS595.2.S3R67 1993 | ttp://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00049466 | กลุ่มเซไม (Semai) คือ กลุ่มย่อยของเงาะซาไกหรือเซนอยเป็นชนพื้นเมืองมาเลเซียอาศัยอยู่ในแหลมมลายูร่วมกับกลุ่มโอรังอัสลีกลุ่มอื่น ๆ และชาวมาเลย์ทั่วไปเป็นเวลายาวนาน จากเดิมที่มีวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ประเพณีและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่แตกต่างกัน ปัจจุบันชาวเซไมเริ่มถูกกลืนกลายอัตลักษณ์และความเป็นชาติพันธุ์ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมมาเลย์ทั่วไป หนังสือเล่มนี้ได้เปรียบเทียบความเชื่อด้านการแพทย์และการรักษาระหว่างกลุ่มเซไมกับชาวมาเลเซียทั่วไป ศึกษาตั้งแต่คติความเชื่อด้านสุขภาพและโรคภัย ความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณ รวมไปถึงการรักษาความเจ็บป่วยและพิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์ว่าความเชื่อด้านการแพทย์และการรักษาของทั้งสองกลุ่มนี้มีความคล้ายคลึงหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง |
Healing sounds from the Malaysian rainforest : Temiar music and medicine | Roseman, Marina | Berkeley :University of California Press,[1993], c1991. | SAC Library-Books-DS595.2.S3R67 1993 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00055252 | เทเมียร์ (Temiar) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มย่อยของกลุ่มเงาะซาไกหรือเซนอย อาศัยอยู่ทางเหนือสุดของประเทศมาเลเซีย ชาวเทเมียร์มีความผูกพันกับพื้นป่าและใช้ทรัพยากรธรรมชาติในป่าเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตทั้งเป็นที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม อาหารและยารักษาโรค พวกเขามีความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในป่าว่ามีความเกี่ยวข้องกับโรคภัยและอาการเจ็บป่วย ชาวเทเมียร์จึงมีการใช้ดนตรีบำบัดในการรักษาโรคผ่านการขับร้องบทเพลง ซึ่งผู้เขียนได้ศึกษาดนตรีบำบัดในสังคมของชาวเทเมียร์นี้เป็นเวลา 1 ปี (ค.ศ. 1981-1982) เพื่อทำความเข้าใจกระบวนการและบทบาทของดนตรีบำบัดในการรักษาการเจ็บป่วย ระบบความเชื่อและทัศนคติของชาวเทเมียร์ต่อการแพทย์และอาการเจ็บป่วย รวมไปถึงระบบสัญลักษณ์และการให้ความหมายที่สะท้อนให้เห็นผ่านดนตรีบำบัดนี้ |
Semelai culture and resin technology / Rosemary Gianno | Rosemary Gianno | : New Haven : Academy of Arts and Sciences, 1990 | SAC Library-Books-Q11.C85 1990 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00072134 | ผลงานหนังสือปรับปรุงเนื้อหาจากดุษฎีนิพนธ์ที่มหาวิทยาลัยเยลเรื่อง Semelai Resin Technology ของผู้เขียน นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยเท็กซัสที่ สนใจเทคโนโลยีของ Semelai ที่ Tasek Bera รัฐปาหัง ชาวโอรัง อัสลีในมาเลเซีย มีภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับพืชพรรณไม้ที่ให้น้ำยางที่นำมาแปรรูปเป็นเรซิ่นได้ งานชิ้นนี้พยายามทำความเข้าใจเทคโนโลยีและนัยยะทางวัฒนธรรมของยางไม้เรซิ่น ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากจุดยืนทางเศรษฐกิจสังคม การค้าผลผลิตจากป่าที่มีบทบาทสำคัญในการปรับตัวของกลุ่มชนพื้นเมืองในมลายา มาเลเซียตะวันตกจนกลายเป็นสินค้าในตลาด |
The mystique of dreams : a search for utopia through Senoi dream theory | G. William Domhoff | Berkeley : University of California Press, c1985 | SAC Library-Books- BF1078.D58 1985 | http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00059722 | หนังสือเล่มนี้ต้องการวิเคราะห์ทฤษฎีความฝันของเซนอย (Senoi dream theory) ซึ่งเป็นผลงานของ Kilton Stewart ที่อ้างว่าเป็นผลจากการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์เซนอยในประเทศมาเลเซีย ทฤษฎีดังกล่าวได้อธิบายว่า ในสังคมที่ไม่มีลำดับขั้นจะมีการถกเถียงกันเรื่องความฝันอย่างเสรี ผู้ฝันสามารถเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้าและควบคุม เอาชนะความรู้สึกของตนเองในสภาวะฝันแบบรู้ตัว (Lucid Dream) ได้ เพื่อคงสภาพจิตใจให้สงบและอยู่อย่างเป็นสุขในสังคม ทฤษฎีนี้ถูกนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยทางจิตใจที่ต้องเผชิญหน้ากับฝันร้ายด้วยวิธีฝันบำบัด ผู้เขียนได้โต้แย้งและอธิบายประวัติความเป็นมาและลักษณะทางชาติพันธุ์ของกลุ่มเซนอย บุคลิกและลักษณะนิสัยของ Kilton Stewart และได้สรุปว่า แม้ชาวเซนอยจะมีทฤษฎีความฝันแต่พวกเขาไม่ได้ใช้วิธีฝันบำบัดแบบที่ตะวันตกรับรู้และเข้าใจ |
Semai Senoi population structure and genetic microdifferentiation | Alan Gordon Fix | Dissertation for the degree of Doctor of Philosophy (Anthropology) –University of Michigan, 1971 | ไม่ระบุ | ดุษฏีนิพนธ์เล่มนี้เลือกกลุ่มเซไม เซมอย (Semai Semoi) กลุ่มชนเผ่าบนเทือกเขามลายันในมาเลเซีย เป็นกลุ่มประชากร ในการศึกษา ซึ่งมีรูปแบบการดำรงชีวิตในลักษณะทำสวนประกอบการเก็บของป่าล่าสัตว์ (hunting and gathering) กลุ่มเซไมไม่ได้รับอิทธิพลจากการติดต่อกับวัฒนธรรมอื่น ประชากรไม่ได้แยกตัวโดดเดี่ยว จนทำให้กลายเป็นปัญหาในการศึกษา ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษาก่อนหน้าเกี่ยวกับกลุ่มเซไมมักปรากฏการศึกษาเฉพาะกลุ่มตามลำพัง แต่การศึกษานี้ มุ่งสืบค้นความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มท้องถิ่นหมู่บ้านต่าง ๆ ร่วมด้วย ประมาณทั้งหมด 8 ชุมชน บนพื้นที่ 120 ตารางไมล์ รวมปราะชากรมากกว่า 775 คน โดยเก็บข้อมูลภาคสนาม เป็นระยะเวลา 8 เดือน (ตุลาคม 1968 ถึงพฤษภาคม 1969) หมู่บ้านทั้งหมด กระจายไปในสภาพตามธรรมชาติของครอบครัวชาวเซไม มีการศึกษาสายสัมพันธ์ทางเครือญาติ การประกอบสร้างเป็นครอบครัวและชุมชน ข้อมูลประชากรรที่ได้มาจากสถิติ ในปี ค.ศ. 1960 และ1965 จากโรงพยาบาล Gombak Aborigine Hospital เพื่อตรวจสอบและบ่งชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของประชากร การศึกษาพันธุกรรมจากเลือดกรุ๊ปเลือด ABO การศึกษานี้พิจารณาการจัดกลุ่มเขตแดนทางสังคม การตั้งถิ่นฐาน รูปแบบการแต่งงาน รวมไปถึง การแต่งงานในหมู่ญาติ ภายใต้โครงสร้างของเพศและอายุ ความอุดมสมบูรณ์ การตาย สาเหตุของการตาย สัดส่วนทางเพศ และการเติบโตของประชากรในพื้นที่ Satak ประวัติศาสตร์ในอดีตจนถึงปัจจุบัน รูปแบบการอพยพ การศึกษาพบผลของรูปแบบการอพยพต่อการกระจายตัวของรหัสพันธุกรรม (ยีน) ในพื้นที่ Satak โดยมีปัจจัยทั้งสังคมวัฒนธรรม ปัจจัยทางประชากร ปัจจัยทางภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อม บนพื้นฐานสังคมแบบลูกพี่ลูกน้อง ความสัมพันธ์ภายในกลุ่มเครือญาติ ส่งผลต่อการรักษาประชากรในปัจจุบัน ขณะที่ประวัติการตั้งถิ่นฐานแสดงให้เห็นการกระจายการตั้งรกราก อันเนื่องมาจากการทะเลาะเบาะแว้ง โรคระบาด และการสูญเสียที่ดินให้กับชาวมาเลย์ มีแนวโน้มของประชากรเพศชายเพิ่มขึ้น มีการแยกตัวในระยะยาวของการตั้งถิ่นฐานของชาวเซไม สภาพแวดล้อมซึ่งเป็นพื้นที่ภูเขา ที่ราบระหว่างแม่น้ำนำไปสู่การตั้งถิ่นฐาน ก่อตั้งกลุ่มภายในบริเวณแอ่งที่ราบมีความแตกต่างทางวัฒนธรรมแต่ภาษาถิ่น ระยะห่างทางภูมิศาสตร์มีบทบาทต่อการจัดโครงสร้างของการอพยพและการเลือกคู่ครอง ปัจจัยนี้สัมพันธ์กับความแตกต่างทางพันธุกรรม เพราะระยะทางมีนัยยะสำคัญ ซึ่งปรากฏระยะห่างทางพันธุกรรมมากขึ้น ดังปรากฏในโครงสร้างของประชากรที่เปลี่ยนแปลงตามกลุ่มตัวอย่างในท้องถิ่น การแยกตัวไม่มากนักมีต่อการปรับตัวของยีนในกลุ่มประชากรใกล้เคียง |
|
Some senoi semai dietary restrictions : a study of food behavior in a Malayan hill tribe | Robert Knox Dentan | ไม่ระบุ | Dissertation for the degree of Doctor of Philosophy (Anthropology) – Yale University, 1965 | : ดุษฎีนิพนธ์นี้ เป็นการศึกษารูปแบบพฤติกรรมการกินอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มย่อยที่ชื่อว่า เซนอย เซไม Senoi Semai หรือ ซาไกกลาง (central Sakai) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มชนเผ่าแห่งเทือกเขามาลายัน จากข้อมูลการใช้ชีวิตร่วมกับคนกลุ่มนี้เป็นระยะเวลาหนึ่งปีครึ่งของผู้ศึกษา ประเด็นหลักของการศึกษาได้แก่ ภูมิหลัง ลักษณะทั่วไปของพื้นที่ สภาพแลดล้อม ลักษณะทางชีวิวิทยา ลักษณะทางกายภาพของประชากร ผู้คน เศรษฐกิจ การจัดองค์กรทางสังคม กลุ่ม กลุ่มย่อย และการขัดเกลาทางสังคม ทั้งญาติและครอบครัว ถิ่นกำเนิด อัตลักษณ์ คำอธิบายเกี่ยวกับรูปแบบการเลี้ยงดู ความกลัว ความก้าวร้าว ความหลากหลาย ความหิวโหยและ ความกระหาย การจัดการเกี่ยวกับอาหารที่ทำจากพืชและสัตว์ การเกษตรกรรม การอภิปรายปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ความคิดเกี่ยวกับข้อห้าม taboo พิธีกรรมเกี่ยวกับอาหารและแนวคิดที่มีบทบาทสำคัญต่อการศึกษา พฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเพิกเฉยต่ออาหาร รวมไปถึงพิธีกรรมที่ละเลยเกี่ยวกับอาหาร ภายใต้แนวคิดทฤษฎี ritual avoidance ที่ว่าด้วยกิจกรรมทางพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับวัตถุสิ่งของในสถานะวิกฤติ ข้อห้ามของชาวเซไมดูเหมือนจะสอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีนี้ แม้อาจไม่ใช่ทั้งหมดของข้อห้าม แต่ข้อห้ามจะเป็นส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้อง พิจารณาได้ว่าไม่ว่าจะเป็นข้อห้ามหรือ ritual avoidance ก็ตาม จำต้องแยกจากความโง่เขลาและความมั่งคั่ง ยิ่งไปกว่านั้นข้อห้ามดูเหมือนจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้เกิดพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาหารที่เกิดขึ้น |
|
Four ways of being human : an introduction to anthropology | Lisitsky, Gene | New York : Viking Pren, 1963 | SUT General stack อาคารหอสมุดชั้นล่าง- GN400 .L56 | หนังสือเล่มนี้นำเสนอเรื่องราวและวิถีชีวิตของชนเผ่าดั้งเดิม 4 กลุ่มได้แก่ ชนเผ่าเซมัง (Semang) ในป่าฝนร้อนชื้นของแหลมมลายู ชนเผ่าเอสกิโม (Eskimos) ที่อยู่อาศัยท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็นยะเยือกซึ่งรายล้อมไปด้วยน้ำแข็งในแถบอาร์คติก ชนเผ่าเมารี (Maoris) แห่งนิวซีแลนด์ และชนเผ่า Hopi ที่มีความเป็นอยู่ท่ามกลางทะเลทรายแห้งแล้งทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐอริโซน่า หากเราพูดถึงมนุษย์หรือสังคมวัฒนธรรม คนส่วนใหญ่อาจนึกถึงผู้คนในสังคมอุตสาหกรรมที่เพิ่งถือกำเนิดมาได้เพียงไม่กี่ร้อยปี แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีกลุ่มชนเผ่าเหล่านี้ที่มีสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากสังคมสมัยใหม่ กลุ่มคนเหล่านี้อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติรอบตัวเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่ซับซ้อน รูปแบบทางสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของชนเผ่าดั้งเดิมทั้ง 4 กลุ่มดังกล่าวนี้เป็นสิ่งยืนยันว่า ความเป็นมนุษย์นั้นมีได้หลายรูปแบบ การศึกษาเรื่องราวของกลุ่มคนเหล่านี้เองจึงช่วยให้นักมานุษยวิทยาเข้าใจมนุษย์และสังคมได้ดียิ่งขึ้น |
|
Four ways of being human : an introduction to anthropology | Lisitsky, Gene | New York : Viking Pren, 1963 | SUT General stack อาคารหอสมุดชั้นล่าง- GN400 .L56 | หนังสือนำเสนอเรื่องราวของชนเผ่าดั้งเดิม 4 กลุ่มได้แก่ ชนเผ่าเซมัง (Semang) ในป่าฝนร้อนชื้นของแหลมมลายู ชนเผ่าเอสกิโม (Eskimos) ที่อยู่อาศัยบนพื้นที่รายล้อมไปด้วยน้ำแข็งในแถบอาร์คติก ชนเผ่าเมารี (Maoris) แห่งนิวซีแลนด์ และชนเผ่า Hopi ที่อยู่ท่ามกลางทะเลทรายของรัฐอริโซน่า กลุ่มชนเผ่าเหล่านี้ที่มีสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากสังคมสมัยใหม่ อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่ซับซ้อน รูปแบบทางสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของชนเผ่าดั้งเดิมทั้ง 4 กลุ่มนี้เป็นสิ่งยืนยันว่า ความเป็นมนุษย์นั้นมีได้หลายรูปแบบ การศึกษาเรื่องราวของกลุ่มคนเหล่านี้เองจึงช่วยให้นักมานุษยวิทยาเข้าใจมนุษย์และสังคมได้ดียิ่งขึ้น | |
The Negrito of Peninsular Thailand | John H. Brandt | ไม่ระบุ | JSS. VOL.49 (pt.2) 1961. p.123-160 | บทความนี้เป็นการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์นิกริโต (Negrito) ทางภาคใต้ของประเทศไทยตั้งแต่วิวัฒนาการ ลักษณะทางกายภาพ ประชากร วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ภาษา อาวุธ ประเพณีและความเชื่อต่าง ๆ โดยสามารถสรุปได้ว่า กลุ่มชาติพันธุ์นิกริโตเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มสุดท้ายที่หลงเหลือจากการอพยพย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่อาศัยบนพื้นดินและพื้นที่ป่าของกลุ่มชนเผ่าดั้งเดิม ชาวนิกริโตเป็นพวกนิโกรตัวเตี้ยแคระ สันนิษฐานว่าอพยพเข้ามาจากทวีปแอฟริกาเมื่อหลายล้านปีก่อนในสมัยที่ทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกายังเป็นพื้นแผ่นเดียวกัน พวกเขาใช้ภาษาตระกูลออสโตร-เอเชียติก สายเดียวกับภาษามอญ-เขมร เดิมใช้ธนูเป็นอาวุธ ภายหลังยอมรับกระบอกไม้ซางจากพวกซาไกมาใช้เนื่องจากมีการติดต่อใกล้ชิด ในประเทศไทยมีชาวนิกริโตไม่เกิน 300 คนเท่านั้น ชนกลุ่มนี้มีความขี้อายตามธรรมชาติทำให้ปรับตัวเข้ากับสังคมภายนอกได้ค่อนข้างยาก ปัจจุบันชาวนิกริโตในไทยได้รับผลกระทบจากนโยบายการพัฒนาของรัฐไทยและการบุกรุกพื้นที่ของบุคคลภายนอก ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมของชาวนิกริติอย่างมาก |