เขียนโดย รศ. เสาวลักษณ์ อนันตศานต์ และ ผศ. สุวรรณา เกรียงไกรเพ็ชร์ | วันที่เผยแพร่เอกสาร 01/01/2513
ผู้เข้าชม 29252 | จำนวนดาวน์โหลด 0
คะแนนสื่อ
คาวี (๔๒-๔๓/๒๕๕๒)
บทละครนอกเรื่องคาวีเป็นบทละครสมัยอยุธยา ต้นเรื่องคาวีน่าจะมาจากพหลาคาวีชาดก ซึ่งมีเนื้อเรื่องดังนี้
ในอดีตกาลมีบุรุษผู้หนึ่งอยู่ในโกศลราฐ บุรุษนั้นเลี้ยงแม่โคไว้ตัวหนึ่งชื่อ พหลา นางพหลามีลูกตัวหนึ่ง เวลาไปหาหญ้ากิน โคแม่ลูกจะไปกับฝูงโคทั้งหลาย แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง นางพหลาปล่อยให้ลูกโคติดตามฝูงโคไป ตนเองเข้าไปในป่า ขณะที่กินหญ้าอยู่ เสือโคร่งตัวหนึ่งเห็นนางพหลาก็จะจับกินเป็นอาหาร นางโคขอให้ เสือไว้ชีวิตเพื่อกลับไปให้ลูกกินนมก่อนแล้วจะกลับมาให้เสือกิน เสือก็ยอม แม่โคกลับไปเร่งให้ลูกกินนม ลูกโคสงสัย ไต่ถามจนได้ความว่าแม่โคจะต้องทำตามสัจจะที่ให้ไว้แก่เสือ ลูกโคเดินร้องไห้ตามแม่โคไปและขอให้เสือไว้ชีวิตแม่โค ให้กินตนแทน เสือเห็นว่าลูกโคมีความกตัญญูต่อแม่ จึงไว้ชีวิตทั้งแม่โคและลูก ในเวลานั้นท้าวสักกเทวราชลงมาจากสวรรค์ สำแดง ธรรมแก่สัตว์ทั้งสาม สัตว์ทั้งสามฟังธรรมแล้วกลับเป็นเทวบุตร เสวยสุขอยู่ในเทวโลก
บทละครนอกเรื่องคาวีบันทึกไว้ในสมุดไทย มีจำนวน ๒๘ เล่ม เนื้อเรื่องคาวีมีอยู่ว่า ลูกเสือกับลูกโคเป็นสหายสนิทกัน เนื่องจากลูกเสือถูกแม่ทิ้งไปจึงไปขออาศัยกินนมของแม่โคประทังชีวิต และสัญญาว่าจะไม่ยอมให้แม่เสือทำอันตรายแม่โค อยู่มาวันหนึ่ง แม่เสือลอบฆ่าแม่โคกินเป็นอาหาร ลูกเสือกับลูกโคโกรธแค้นมาก ได้ช่วยกันฆ่าแม่เสือโดยแกล้งทำเป็นหิวนม แม่เสือไม่รู้เท่าทันลงนอนให้กินนม ลูกเสือกับลูกโคก็ช่วยกันกัดและขวิดแม่เสือตาย จากนั้นก็ออกเดินทางไปด้วยกัน ได้พบพระฤษี พระฤษีประหลาดใจที่เห็นลูกเสือกับลูกโคมาด้วยกัน ผิดวิสัยสัตว์ จึงไต่ถามได้ทราบความแต่หนหลังก็เกิดความเมตตา จึงชุบลูกเสือกับลูกโคเป็นมนุษย์ แล้วตั้งชื่อลูกเสือว่า หลวิชัย ตั้งชื่อลูกโคว่า คาวี และสั่งสอนศิลปศาสตร์ให้ จากนั้นก็ชุบพระขรรค์ให้คนละเล่ม ทำพิธีถอดดวงใจของหลวิชัยกับคาวีใส่ไว้ในพระขรรค์ประจำตัวเพื่อมิให้ใครฆ่าตาย ทั้งสองจึงออกท่องเที่ยวแสวงหาบ้านเมืองอยู่อาศัยต่อไปหลวิชัยกับคาวีเดินทางไปถึงเมืองจันทบุรี เจ้าเมืองชื่อ มคธราช ขณะนั้นมียักษ์มาทำอันตรายชาวเมือง คาวีฆ่ายักษ์ตาย ท้าวมคธราชพอพระทัยมากจึงยกราชธิดาให้และให้ครองเมืองด้วย คาวีกราบทูลว่าตนเป็นน้องไม่ควรแสวงหาลาภยศก่อนพี่ หลวิชัยมีฤทธิ์มีวิชาสามารถปราบยักษ์ได้เช่นเดียวกัน ท้าวมคธราชเห็นด้วยจึงยกราชธิดาให้หลวิชัย และอภิเษกหลวิชัยเป็นอุปราชต่อมา คาวีต้องการออกเดินทางท่องเที่ยวไปตามลำพัง แม้หลวิชัยจะรักและเป็นห่วงน้องเพียงใดก็ไม่อาจขัดได้ หลวิชัยและคาวีจึงอธิษฐานเสี่ยงดอกบัวแลกกันไว้คนละดอก หากดอกบัวของผู้ใดเหี่ยวแห้งไป ก็หมายความว่าเจ้าของดอกบัวเป็นอันตราย อีกคนหนึ่งก็จะไปช่วยได้ทันเวลา
คาวีเดินทางไปถึงเมืองแห่งหนึ่ง นึกประหลาดใจว่าเหตุใดเมืองนี้จึงไม่มีผู้คนอยู่เลยปราสาทราชมนเทียรก็เงียบเชียบ เมื่อเดินต่อไปได้พบกลองใหญ่ใบหนึ่ง ลองตีดูก็ไม่มีเสียง คาวีจึงใช้พระขรรค์แขวะหนังหน้ากลองขาดออก เห็นมีหญิงรุ่นสาวคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในกลองนั้น รูปร่างหน้าตาสวยงามน่ารักและมีผมหอมด้วย นางบอกว่าชื่อ จันท์สุดา เป็นราชธิดาของท้าวพรหมจักร เมืองร้างนั้นเดิมชื่อ จันทรนคร ต่อมามีนกอินทรีมาโฉบผู้คนไปกินหมดไม่เว้นแม้แต่พระบิดาและพระมารดาของนาง แต่พระบิดาได้ซ่อนนางไว้ในกลองใหญ่ จึงรอดชีวิตมาได้อยู่คนเดียว นางจันท์สุดาเล่าแล้วก็ขอให้คาวีช่วยฆ่านกอินทรี คาวีก่อกองไฟขึ้นกลางเมืองเพื่อให้ควันลอยขึ้นไปในอากาศ พญานกอินทรีเห็นควันไฟก็พาบริวารบินมาที่เมือง เมื่อเห็นคาวีเป็นมนุษย์ก็กำเริบใจหมายจะกิน แต่คาวีสามารถฆ่านกอินทรีได้ด้วยพระขรรค์ และได้นางจันท์สุดาเป็นชายา
วันหนึ่ง นางจันท์สุดาสรงน้ำและสระผม แล้วเก็บผมหอมที่ร่วงใส่ผอบลอยน้ำไป ผอบลอยไปถึงเมืองพัทธวิสัยซึ่งมีเจ้าเมืองชื่อ สันนุราช มเหสีชื่อ คันธมาลี แก่ชราแล้วทั้งคู่ ท้าวสันนุราชได้ผอบผมหอมมาแล้วก็คลั่งไคล้ใหลหลง ประกาศให้รางวัลคนที่พาตัวเจ้าของผมมาให้ ยายเฒ่าทัศประสาทซึ่งเคยเป็นข้าของนางจันท์สุดา จึงรับอาสาจะไปพานางมาให้ยายเฒ่าทัศประสาทไปอยู่กับคาวีและนางจันท์สุดา แสร้งทำเป็นปรนนิบัติรับใช้อย่างซื่อสัตย์จนนางจันท์สุดาตายใจ ยายเฒ่าจึงลวงถามว่า เหตุใดคาวีจึงมีพระขรรค์ติดกายอยู่ตลอดเวลาไม่ห่างแม้กระทั่งเวลานอน ในที่สุดนางจันท์สุดาถามความลับของคาวีได้แล้ว ก็เล่าให้ยายเฒ่าฟังว่าดวงใจของคาวีอยู่ในพระขรรค์ ถ้าใครเอาพระขรรค์ไปเผาไฟคาวีก็จะสิ้นชีวิต วันหนึ่ง ยายเฒ่าจึงลวงให้คาวีสรงน้ำแล้วลักพระขรรค์ไปเผาไฟ คาวีเจ็บปวดทรมานด้วยความร้อนจนสิ้นชีวิต
ยายเฒ่าทัศประสาทพานางจันท์สุดาไปถวายท้าวสันนุราช แต่ไม่ว่าจะเกี้ยวพาราสีอย่างไร นางก็ไม่ปลงใจด้วย นางบริภาษว่าท้าวสันนุราชทั้งแก่ชราและหน้าตาน่าเกลียด ท้าวสันนุราชจึงพึ่งหมอเสน่ห์แต่ก็ไม่ได้ผล ในที่สุดจึงใช้วิธีป่าวร้องหาคนดีมีวิชามาช่วยชุบพระองค์ให้กลับเป็นหนุ่มเพื่อเอาชนะใจนางจันท์สุดา ฝ่ายหลวิชัยเห็นดอกบัวของคาวีเหี่ยวแห้งไปก็ตกใจ คิดว่าคาวีต้องมีภัยอันตรายใหญ่หลวง จึงรีบออกติดตามหา และมาพบคาวีนอนสิ้นชีวิตอยู่ หลวิชัยเห็นพระขรรค์ประจำตัวของคาวีอยู่ในกองไฟ ถูกไฟเผาไหม้จนหมองคล้ำ จึงนำพระขรรค์ไปขัดให้หายหมอง คาวีก็ฟื้นคืนชีวิต เมื่อทบทวนเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ก็แน่ใจว่ายายเฒ่าทัศประสาทเป็นตัวการลักนางจันท์สุดาไป จึงออกตามนางไปเมืองพัทธวิสัย
เมื่อมาถึงเมืองพัทธวิสัย หลวิชัยปลอมตัวเป็นฤษี แล้วย่อกายคาวีให้เล็กเท่าตุ๊กตาเอาใส่ย่ามไป พอดีได้ยินเสนาป่าวประกาศหาคนดีมีวิชาชุบคนชราให้กลับเป็นหนุ่ม เพื่อเอาชนะใจนางงาม ก็รับอาสา เสนาจึงพาหลวิชัยเข้าเฝ้าท้าวสันนุราช หลวิชัยประสงค์จะกำจัดท้าวสันนุราช จึงอาสาว่าตนชุบร่างให้คนเฒ่าชรากลับเป็นหนุ่มรูปงามได้ แต่ผู้ชุบตัวต้องนั่งอยู่ที่ปากหลุมไฟ ท้าวสันนุราชก็ยอมเข้าพิธี แต่เมื่อก่อไฟกองใหญ่ขึ้นในหลุมแล้ว ท้าวสันนุราชร้อนจนทนไม่ได้ต้องขอให้เลิก หลวิชัยจึงแสร้งหยิบรูปเนรมิตของคาวีให้ดู ท้าวสันนุราชก็เกิดความอยากชุบตัวขึ้นมาอีก เมื่อได้โอกาส หลวิชัยก็ผลักท้าวสันนุราชตกลงไปในหลุมไฟ แล้วให้คาวีแสดงตัวเป็นท้าวสันนุราชที่ชุบตัวเป็นหนุ่มได้แล้ว พวกเสนาอำมาตย์ไม่สงสัยเพราะไม่รู้จักคาวี ส่วนนางคันธมาลีก็ตื่นเต้นและหลงใหลรูปโฉมของท้าวสันนุราชปลอม มีแต่ยายเฒ่าทัศประสาทคนเดียวที่จำคาวีได้ คาวีหาโอกาสเข้าไปพบนางจันท์สุดาเพื่อบอกความจริง นางจันท์สุดาก็ยินดี ฝ่ายนางคันธมาลีคิดว่านางจันท์สุดายินยอมปลงใจกับพระสวามีของนางที่ชุบตัวใหม่ก็หึงหวงด่าทอกระทบกระเทียบนางจันท์สุดา จนเกิดวิวาทกันขึ้น หลวิชัยอาสาจะชุบนางคันธมาลีให้กลับเป็นสาวเท่าเทียมกัน นางคันธมาลีจึงยอมเข้าพิธีชุบตัวบ้าง แต่นางถูกไฟร้อนจนทนไม่ไหวต้องล้มเลิกพิธี คาวีจึงแสร้งทำเป็นโกรธที่นางไม่ชุบตัวและกล่าวตัดขาดไม่ยอมไปมาหาสู่กับนางอีก
หลวิชัยเห็นว่าเรื่องราวเป็นไปด้วยดีแล้วก็ลาน้องกลับไปบ้านเมือง ฝ่ายยายเฒ่าทัศประสาทคิดว่าคาวีคงแก้แค้นตน จึงทูลให้นางคันธมาลีทราบว่าท้าวสันนุราชองค์ใหม่นี้คือคาวี สวามีของนางจันท์สุดาปลอมตัวมา นางคันธมาลีจึงให้ยายเฒ่าถือหนังสือลับไปถึงไวยทัตผู้เป็นหลาน ให้ยกทัพมาล้อมจับคาวีในวัง แต่ไวยทัตพ่ายแพ้ถูกคาวีจับได้ คาวีจึงสั่งประหารชีวิตนางคันธมาลี ไวยทัต และยายเฒ่าทัศประสาท จากนั้นคาวีก็ครองเมืองพัทธวิสัยกับนางจันท์สุดาสืบไป
บทละครนอกเรื่องคาวีสมัยอยุธยานี้เป็นต้นเค้าของบทละครนอกเรื่องคาวี พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งทรงเลือกเฉพาะตอนที่เห็นว่าเหมาะแก่การเล่นละครมามาปรับปรุง แก้ไขสำนวนกลอนให้ไพเราะขึ้น เรื่องคาวีที่เป็นบทพระราชนิพนธ์เริ่มเรื่องตั้งแต่ท้าวสันนุราชได้ผอบใส่ผมหอมมาจนถึงคาวีฆ่าไวยทัต ดำเนินความตามเรื่องเดิมทั้งหมดสำนวนกลอนในบทพระราชนิพนธ์ที่ไพเราะคมคายมีอยู่หลายตอน เช่น (ประธานฯ รับเพิ่มตัวอย่างบทกลอน)
ยังมีบทละครนอกเรื่องคาวีที่จารึกไว้ในสมุดไทยอีก ๓ เล่ม เนื้อเรื่องกล่าวถึงหลวิชัยกับนางเทพลีลา เรื่องมีอยู่ว่า ท้าวโสพินเป็นยักษ์ เห็นนางเทพลีลาอยู่วิมานต้นไม้กับหลวิชัยและคาวี ก็นึกรักนาง จึงร่ายมนตร์สะกดให้หลับไป ท้าวโสพินสะเดาะเข้าไปถึง ๖ ชั้น เห็นคาวีหลับอยู่ ก็เข้าไปชั้นในสุด ได้พบนางเทพลีลา เห็นนางตกใจก็ปลอบประโลม แล้วอุ้มนางไปถึงเมืองของพระองค์ สั่งให้เสนาเตรียมการอภิเษก โหรคำนวณหาฤกษ์ยามแล้ว ก็ตกใจเพราะทราบว่าท้าวโสพินมีเคราะห์ ท้าวโสพินทำพิธีอภิเษกกับนางเทพลีลา แต่นางไม่ยอมปลงใจด้วย ท้าวโสพินจึงกลับไปปราสาท ฝ่ายนางโสธรมเหสีของท้าวโสพินรู้ข่าวว่าท้าวโสพินไปประพาสป่าแล้วได้นางรูปร่างหน้าตาสวยงาม และรักใคร่ลุ่มหลงมากถึงกับอภิเษกให้เป็นมเหสี จึงแกล้งเข้าไปหานางเทพลีลา ทำเป็นไต่ถามเรื่องราวต่าง ๆ นางเทพลีลาตอบว่านางมีสามีแล้ว ท้าวโสพินไปสะกดลักเอาตัวนางมาแล้วอ้อนวอนนางโสธรขอให้ช่วยนางให้ได้กลับคืนไปหาสามี นางเทพลีลาถูกนางโสธรทั้งด่าทั้งตี ก็ร้องไห้อ้อนวอน จนเสียงของนางได้ยินไปถึงท้าวโสพิน ท้าวโสพินเข้ามาที่ห้องของนางเทพลีลา เห็นมเหสีของพระองค์กับนางกำนัลรุมตีนางเทพลีลาอยู่ก็ต่อว่า นางโสธรจึงด่ากระทบท้าวโสพิน ท้าวโสพินโกรธไล่ทุบตี นางโสธรก็โต้ตอบตัดพ้อท้าวโสพินนางโสธรหนีไปฟ้องพระชนนีของนาง ฝ่ายท้าวโสพินก็แปลงกายเป็นมนุษย์ เข้าไปเกี้ยวนางเทพลีลา ฝ่ายหลวิชัยกับคาวี เมื่อนางเทพลีลาถูกพาตัวไปแล้วก็ปรึกษากัน หลวิชัยให้วานรไปสืบเรื่องราว ได้ความว่านางเทพลีลาตกเป็นนักโทษถูกขังไว้ในสวน นางคับแค้นใจมากก็ผูกคอตาย วารุณซึ่งอยู่บนต้นโศกก็ลงมาช่วยนางไว้ได้
รศ. เสาวลักษณ์ อนันตศานต์
ผศ. ดร.สุวรรณา เกรียงไกรเพ็ชร์
คัดจาก สารานุกรมวรรณคดีไทย จัดทำโดย คณะบรรณาธิการจัดทำ สารานุกรมวรรณคดีไทย ราชบัณฑิตยสถาน
(อยู่ในระหว่างดำเนินการ)
โดยได้รับอนุญาตจาก ผู้เขียน และประธานคณะบรรณาธิการจัดทำสารานุกรมวรรณคดีไทย ให้นำมาประกอบใน
โครงการ หนังสือเก่าชาวสยาม ของ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เท่านั้น
หมายเหตุ เนื่องจากข้อเขียนที่นำมาลงนี้ เป็นลิขสิทธิ์ของราชบัณฑิตยสถาน
และยังไม่ได้พิมพ์ออกเผยแพร่ จึงห้ามคัดลอก ตัดทอน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้ นำไปอ้างอิง
หรือเผยแพร่ต่อ โดยไม่ได้รับอนุญาต