2023-11-06 11:30:32
ผู้เข้าชม : 1212

กะแย เดิมตั้งถิ่นฐานอยู่ในรัฐคะยา มีการอพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยจากสถานการณ์การสู้รบในเมียนมา ปัจจุบันตั้งถิ่นฐานในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นกลุ่มคนที่มีความเชื่อเกี่ยวกับโลกของพระเจ้าและโลกของมนุษย์ผ่านพิธีกรรม "อิลู" หรือ ปอยต้นที ด้านวิถีการดำรงชีพส่วนใหญ่ทำไร่หมุนเวียน นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มคนที่มีองค์ความรู้ในการดูแลตนเองและรักษาโรคด้วยสมุนไพร

  • ข้อมูลพื้นฐาน
  • ประวัติศาสตร์
  • การตั้งถิ่นฐานและกระจายตัว
  • วิถีชีวิตและวัฒนธรรม
  • งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
  • อ้างอิง

ชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ : กะแย
ชื่อเรียกตนเอง : กะแย, กะยา
ชื่อที่ผู้อื่นเรียก : ยางแดง, กะหยิ่นนี, คะเรนนี, กะเหรี่ยงแดง
ตระกูลภาษา : จีน-ธิเบต
ตระกูลภาษาย่อย : ทิเบต-พม่า
ภาษาพูด : -
ภาษาเขียน : ไม่มีตัวอักษรที่ใช้เขียน

กลุ่มชาติพันธุ์กะแย หรือที่รู้จักในประเทศไทยว่ากะเหรี่ยงแดงนั้น มีชื่อเรียกในภาษาตนเองคือ “กะแย” หมายถึงคน หรือมนุษย์ บางครั้งออกเสียงว่ากะแยลี นอกจากนี้ยังเรียกตัวเองว่า บเว อาจออกเสียงเป็น แบร บวอย หรือปะแย ได้ด้วยช่นกัน ขณะที่คนนอกวัฒนธรรมในพื้นที่ภาคเหนือมักรู้จักในชื่อยางแดง อย่างไรก็ตามเนื่องจากชาวกะแยสัมพนธ์กับชาวเมียนมาในรัฐคะยา ทำให้ในสังคมเมียนมาร์ และเอกสารจากต่างประเทสรู้จักพวกเขาในชื่อ กะยา กะหยินนี หรือคะเรนนี อย่างไรก็ตามระยะหลังคนรุ่นใหม่รณรงค์ให้ใช้ชื่อเรียก “กะแย” มากขึ้น เนื่องจากต้องการสื่อสารให้คนนอกวัฒนธรรมเข้าใจวิถีวัฒนธรรมและตัวตนของชาวกะแย

กะเหรี่ยงแดงหรือ หรือกะแยนั้น นักวิชาการอนุมานว่าได้เริ่มอพยพเคลื่อนย้ายจากประเทศพม่าเข้ามาสู่ประเทศไทยหลังยุคล่าอาณานิคม และมีความเข้มข้นของการเคลื่อนย้ายเมื่อเกิดสถานการณ์สู้รบในประเทศพม่าหลังการปลอดปล่อยพม่าจากการเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษ ซึ่งเกิดสงครามกลางเมืองและการต่อรองของกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยเพื่อการแยกตัวเป็นอิสระ ขณะที่หลักฐานตำนานพื้นบ้านของโยนกนั้นระบุว่า ผู้ครองแค้วนคะยาก่อนเข้ามาของอังกฤษนั้น อยู่ภายใต้อาณัติของโยนกผู้อาศัยอยู่ในดินแดนนี้มีหน้าที่จ่ายค่าที่ดินรายปีให้กับเจ้านครเชียงใหม่ โดยมีสนธิสัญญาระหว่างกันว่าตราบใดที่แม่น้ำสาละวินไม่แห้ง เขาความไม่ตรง ถ้ำหลวงไม่ยุบ นครเชียงใหม่กับเมืองยางแดงเป็นพันธมิตรไม่รุกรานกัน หลักฐานดังกล่าวชี้ชัดว่า ดินแดนแถบนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวกะแยมาเนิ่นนาน ก่อนที่คนไตจะเข้ามารุกไลจนชาวกะแยถอยร่นขึนไปทางเหนือ ออกไปบริเวณชายขอบของเมืองแม่ฮ่องสอนและเคลื่อนย้ายเข้าไปในประเทศพม่าที่สุด อย่างไรก็ตามการเคลื่อนย้ายในพื้นที่ชายแดนก่อนการขีดเส้นแบ่งรัฐชาตินั้นเป็นเรื่องปรกติ เนื่องการเป็นการเคลื่อนย้ายเพื่อหาพื้นที่ทำกิน ชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่รอยต่อจึงเคลื่อย้ายไปมาระหว่างรัฐอย่างเสรี ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นพื้นที่หลักที่มีชาวกะแยอาศัยอยู่ ในพื้นที่อำเภอเมือง กระจัดกระจายไปสิบสี่ชุมชน จากคำบอกเล่าพวกเขาอาศัยอยู่ในบริเวณนี้มาสามชั่วอายุคน หากแต่เคลื่อนย้ายไปมาตามไหล่เขาเพื่อหาที่ทำกิน ก่อนเริ่มตั้งหมู่บ้านถาวรเมื่อราวห้าสิบปีที่ผ่านมา

อิลู หรือปอต้นที ถือเป็นพิธีกรรมสำคัญอันแสดงออกถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกะแยไว้อย่างสมบูรณ์ ทั้งกระบวนการประกอบพิธีกรรมที่ชุมชนร่วมไม้ร่วมมือกัน การแบ่งสรรบทบาทหน้าที่ระหว่างชาย หญิงในพิธีกรรม การประดิษตกแต่งอิลูอันศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของการเชื่อมโยงระหว่างโลกของพระเจ้ากับโลกของมนุษย์ การเสี่ยงทายชะตาหมู่บ้าน และเสี่ยงทายชะตาประจำปีของผู้ชายในชุมชนด้วยกระดูกไก่ตามความเชื่อวิญญาณณิยม การประกอบอาหารและเครื่องดื่มตามความเชื่อเพื่อถวายแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ การแต่งกายตามอัตลักษณ์ทาวัฒนธรรมและการเต้นรำเพื่อถวายแก่พระเจ้าตามความเชื่อ

กะเหรี่ยง ถือเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย ราจาห์ (2008. อ้างใน วิชาติ บูรณะประเสริฐสุข. 2555) วิเคราะห์จากเรื่องเล่า ตำนานและข้อมูลจากหลายส่วนว่าแต่เดิมนั้นชาวกะเหรี่ยงน่าจะตั้งถิ่นฐานอยู่ในมองโกเลียเมื่อ 2,617 ปีก่อนคริสตกาล ต่อมาได้ย้ายมาแถบตะวันออกของเตอร์กิสถานราว 2,013 ปีก่อนคริสตกาล และเคลื่อนย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่ทิเบต ราว 1,864 ปีก่อนคริสตกาล อพยพมายังมณฑลยูนนานของจีนราว 1,385 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนจะเคลื่อนย้ายเข้ามายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในเขตภาคตะวันออกของประเทศพม่า ภาคเหนือและตลอดแนวฝั่งตะวันตกของประเทศไทย โดยเข้ามาหลายระลอกด้วยกัน กลุ่มแรกเดินทางมาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ราว 1,125 ปีก่อนคริสตกาล มีกลุ่มเดินทางมาสมทบอีกในช่วง 759 ปีก่อนคริสตกาล (วิชาติ บูรณะประเสริฐสุข. 2555: 1-2)

ในส่วนของกะเหรี่ยงในประเทศไทยนั้น นักวิชาการสันนิษฐานว่าล้วนแล้วแต่อพยพมาจากประเทศพม่าทั้งสิ้นโดยกลุ่มแรก ๆ ที่อพยพเข้ามาคือ กลุ่มโพล่งหรือโป และปกาเกอะญอหรือกะเหรี่ยงสกอ ส่วนกลุ่มของ ตองสู กะยาห์ กะยันและกะยอ เป็นกลุ่มที่อพยพมาใหม่หลายระลอกด้วยกันนับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นช่วงที่ราชอาณาจักรไทยและพม่าทำสงครามกัน ในระหว่างช่วงปลายกรุงศรีอยุธยาถึงช่วงต้นกรุงรัตโกสินทร์ โดยนักวิชาการแยกกะเหรี่ยงออกเป็นสี่กลุ่ม ได้แก่ หนึ่ง กะเหรี่ยงสกอ (Sgaw) สอง กะเหรี่ยงโป (Pwo) สาม กะเหรี่ยงแบร หรือบเว (Bwe) สี่ ตองสูหรือปะโอ (Taungthu/Pa-o) ในประเทศไทยนั้นพบกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงกระจายที่เป็นชนพื้นเมืองท้องถิ่นดั้งเดิมที่อยู่อาศัยในดินแดนนี้มาหลายร้อยปีซึ่งปัจจุบันตัวตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันตกนั้นมีสองกลุ่มย่อยคือ กลุ่มกะเหรี่ยงสกอร์และกลุ่มกะเหรี่ยงโป ส่วนกลุ่มย่อยอื่น ๆ นั้นเคลื่อนย้ายเข้ามาในช่วงหลัง (วิชาติ บูรณะประเสริฐสุข. 2555: 2-4) มีหลายตำนานเล่าสืบต่อกันมาคล้ายคลึงกันว่า กะเหรี่ยงทั้งสี่กลุ่มนั้นเป็นพี่น้องกัน หากแต่เคยมีความขัดเคืองใจกันบางอย่างทำให้แยกย้ายเดินทางตั้งถิ่นฐานห่างกัน เมื่อผ่านมามาหลายชั่วอายุคนนั้นภาษาปรับเปลี่ยน ผสมกลมกลืนกับชาติพันธุ์อื่น ทำให้ปัจจุบันใช้ภาพูดกันคนละภาษา หากแต่มีบางคำที่คล้ายคลึงกัน โดยภาษาพูดของกะเหรี่ยงทั้งสี่กลุ่มนั้น นักภาษาศาสตร์จัดให้อยู่ในกลุ่มภาษาตระกูลจีน –ทิเบต (Sino-Tibetan) หากแต่มีการแตกลุ่มย่อยทางภาษาศาสตร์มาอีกสี่กลุ่มได้แก่ Titeto-Burman, Mon-Lhmer, Karen, Tai (บัณฑิต ไกรวิจิตร 2549:46)

กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในประเทศพม่านั้นมีรัฐของตนเองสองรัฐคือ รัฐกะเหรี่ยง (Kayin State) ซึ่งส่วนประชากรใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงขาว (ปกาเกอะญอ) และรัฐคะยา (Kayah State) ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กะแยหรือที่รู้จักในภาษาไทยในชื่อกะเหรี่ยงแดง แต่ทั้งสองรัฐนั้นก็มีกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงกลุ่มอื่นอาศัยอยู่ร่วมกัน รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในรัฐเดียวกัน ทั้งสองรัฐต่างถือว่าตนเองเป็นรัฐอิสระมีระบบปกครองตนเองแต่โบราณก่อนยุคอาณานิคม และเมื่อเข้าสู่ช่วงอาณานิคมนั้นอังกฤษใช้แนวนโยบายแบ่งแยกปกครองให้อิสระแก่รัฐชาติพันธุ์พอสมควร ทำให้ทั้งสองรัฐไม่ได้ขึ้นตรงต่อการปกครองกับรัฐบาลทหารพม่า ดังนั้นเมื่อพม่าได้รับอิสรภาพรัฐชาติพันธุ์หลายรัฐจึงเกิดการต่อสู่เพื่อแบ่งแยกการปกครองตนเองโดยใช้ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ผนวกกับสัญญาปางโหลงเพื่อพยายามแบ่งแยกรัฐอิสระ ความขัดแย้งระหว่างรัฐอิสระกับรัฐบาลทหารพม่าจึงทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อรัฐบาลใช้แนวนโยบายตัดสี่เพื่อปราบปรามอำนาจของรัฐชาติพันธุ์ในเขตภูเขา (ดุลยภาค ปรีชาปรัชช 2562)

กะแย กะเหรี่ยงแบร หรือ บเว (Bwe) หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักในชื่อของกะเหรี่ยงแดงนั้น เป็นอีกกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งซึ่งอยู่ในกลุ่มกะเหรี่ยง (Karen) หากแต่มีความแตกต่างด้านภาษาและวัฒนธรรมบางประการกับกลุ่มกะเหรี่ยงสกอ (Sgaw) ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือของประเทศไทย ชาวกะแยเคลื่อนย้ายเข้าสู่ประเทศไทยนับตั้งแต่ช่วงก่อนยุคอาณานิคม โดยเดินทางโยกย้ายหมู่บ้านข้ามไปมาระหว่างรัฐก่อนการกำหนดเขตเส้นแบ่งรัฐชาติ โดยมีเรื่องเล่าจากผู้อาวุโสบ้านห้วยโป่งอ่อนว่า เมืองแม่ฮ่องสอนคือแผ่นดินดั้งเดิมที่บรรพบุรุษชาวคะแยซี (กะเหรี่ยงแดง) ได้บุกเบิกที่ดินทำกินในรูปแบบไร่หมุนเวียนสืบต่อกันมา โดยมี “สะถึเผ่” เป็นต้นตระกูล ก่อนที่พวกไตจะอพยพลงมาและรุกไล่ให้ชนชาวกะเหรี่ยงแดงถอยร่นออกไปบริเวณชายขอบของเมืองแม่ฮ่องสอนและเคลื่อนย้ายเข้าไปในประเทศพม่าที่สุด ส่วนกลุ่มที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันนั้นเป็นลูกหลานชาวกะเหรี่ยงแดงที่ตกหล่นจากการเคลื่อนย้ายครั้งนั้น (ยศ สันตสมบัติ และคณะ. 2544: 45-46) กับอีกตำนานหนึ่งกล่าวถึง สมัยที่จอละฝ่อเป็นผู้ปกครองดินแดนแคว้นคะยาก่อนการเข้ามาของอังกฤษนั้น ได้มีการทำสัตย์สาบานร่วมกับเจ้าอุปราชหอหน้าแห่งเมืองเชียงใหม่ ว่า

"ตราบใดแม่น้ำคง (สาละวิน) บ่แห้งหาย เขาควายบ่ซื่อ (ตรง) ถ้ำหลวงยังบ่ยุบ

เมืองนครเชียงใหม่กับเมืองยางแดง จะต้องเป็นมิตรไมตรีไม่รุกรานกันตราบนั้น"

(สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน. 2551: 92-93)

หลักฐานดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าชาวกะแยตั้งถิ่นฐานอยู่ในล้านนา ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวินอยู่ภายใต้อำนาจของโยนก โดยอยู่อาศัยในดินแดนนี้ด้วยการจ่ายเงินค่าที่ดินรายปีให้กับเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ รวมถึงการส่งเครื่องบรรณาการอื่น เช่น ผ้าทอ น้ำผึ้งป่า ผลผลิตทางการเกษตร แสดงถึงสัมพันธภาพอันดีระหว่างเมืองยางแดงกับเมืองเชียงใหม่ (วิชาติ บูรณะประเสริฐสุข. 2555: 3) นั่นแสดงให้เห็นว่า กลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายกลุ่มที่เคลื่อนย้ายไปมาตามแนวทิวเขาสูงตระหง่านด้านตะวันตกนั้นเป็นคนพื้นเมืองติดแผ่นดิน (indigenous peoples) ในดินแดนนี้มาก่อนการขีดเส้นแบ่งรัฐชาติ ซึ่งมีหลากหลายกลุ่มย่อย แต่ละกลุ่มย่อยต่างมีวิถีชีวิต ความเชื่อ ประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่แตกต่างกันออกไป

เมื่อผู้ศึกษาลงพื้นที่ชุมชนกะแยบ้านห้วยผึ้งและบ้านห้วยโป่งอ่อนนั้น ผู้อาวุโส ต่างกล่าวตรงกันว่า บรรพบุรุษของพวกเขาตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยในพื้นที่นี้มาหลายชั่วอายุคน อาจจะโยกย้ายไปหมู่บ้านใกล้เคียงบ้าง แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลจากถิ่นฐานเดิมมากนัก สามารถเดินเท้าติดต่อสื่อสารกันได้ นั่นแสดงให้เห็นว่า พวกเขาเหล่านั้นเป็นคนติดแผ่นดินมาก่อนการแบ่งแยกเขตแดนรัฐชาติ เมื่อนโยบายผสมกลมกลืนเข้ามากระทำการต่อผู้คนที่อยู่ในพื้นที่ชายแดนผ่านรูปแบบของการจัดการศึกษาและบัตรประชาชนเพื่อยืนยันสถานะนั้น พวกเขาได้รับสถานะของคนไทย อีกทั้งรุ่นลูกรุ่นหลานได้เข้าระบบการศึกษาตามนโยบายของรัฐ หากจะมีความแตกต่างหลากหลายอยู่บ้างคือผู้อาวุโสที่ยังใช้ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ในการสื่อสารระหว่างกันในชุมชน ส่วนสำนึกของความสัมพันธ์หรือเกี่ยวพันกับรัฐคะยานั้น พวกเขาไม่ได้มีความรู้สึกนึกคิดมากเท่ากับความสำนึกทางชาติพันธุ์ในฐานะของความเป็นคนกะแยด้วยกัน

"เกิดมาก็อยู่ตรงนี้แล้ว พ่อแม่ ปู่ย่าก็อยู่ตรงนี้ ย้ายไปย้ายมาตามไร่ เราก็อยู่ตรงนี้ เป็นคนไทย เป็นกะแยด้วย" (แปล ปราสาทดียิ่ง ผู้อาวุโส บ้านห้วยผึ้ง 25 มกราคม 2561)

สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ (2562) กล่าวไว้ว่า กลุ่มกะเหรี่ยงแบรหรือบเวนั้น ประกอบด้วยหลากหลายกลุ่มย่อยด้วยกัน ทั้งกะเหรี่ยงคอยาวซึ่งมีชื่อเรียกตัวเองว่ากะยันหรือกะยั้ง กะเหรี่ยงหูใหญ่ซึ่งมีชื่อเรียกตัวเองว่ากะยอ นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วยกลุ่มคนไตหรือไทใหญ่ กลุ่มคนปะโอหรือตองสู แต่ละกลุ่มย่อยต่างก็มีภาษาของตนเองที่แตกต่างกันออกไป ในรัฐคะยาประเทศพม่านั้นไม่ได้แบ่งแยกย่อยเหมือนการจำแนกในประเทศไทย หากแต่ใช้สำนึกความเป็นคนของรัฐคะยาเป็นสำคัญ ดังนั้นในรัฐคะยาจึงเรียกควบรวมกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมดที่อาศัยอยู่ร่วมกันว่า "คะเรนนี" หรือกะเหรี่ยงแดงเมื่อแปลเป็นคำในภาษาไทย ขณะเดียวกัน กุลธิดา นิวิฐกุลนิภา ได้ศึกษาเรื่องการสร้างพื้นที่อัตลักษณ์ของผู้ลี้ภัยคะเรนนี: กรณีศึกษาของค่ายผู้ลี้ภัยบ้านใหม่ในสอย ซึ่งมีหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งลี้ภัยมาจากรัฐคะเรนนี อาศัยอยู่ร่วมกันได้พยายามสร้างอัตลักษณ์ร่วมของความเป็นคะเรนนีในนามของรัฐชาติ (Nation) มากกว่าในนามของกลุ่มชาติพันธุ์ (Ethnic Group)งานศึกษาของกุลธิดาอธิบายไว้ว่าในภาวะที่ผู้เคลื่อนย้ายถูกจำกัดทางพื้นที่ทั้งจากประเทศต้นทางและประเทศเจ้าบ้านที่เข้ามาพักพิง แต่พวกเขาพยายามสร้างอัตลักษณ์ของตนเองผ่านประเพณี พิธีกรรม ทั้งการจัดงานวันชาติคะเรนนี พิธีดีกู่ (ปอยข้าวต้ม) และพิธีเก่โทโบ่ (ปอยต้นที) เพื่อรื้อฟื้น ผลิตซ้ำและตอกย้ำความหมายของพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ที่จะเชื่อมโยงและปฏิสัมพันธ์กับคะเรนนีในพื้นที่อื่น สร้างอัตลักษณ์ร่วม พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และหลอมรวมหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ที่ลี้ภัยจากรัฐคะเรนนีเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมกันในชุมชนของศูนย์พักพิงชั่วคราว (กุลธิดา วินิฐกุลนิภา 2560) ภายใต้การสร้างความเป็นหนึ่งเดียว การนำเอาพิธีกรรมเพียงบางพิธีกรรมมาเป็นตัวแบบในการหลอมรวมผู้คนที่มาจากหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์นั้นเป็นความพยายามในการสร้างรัฐชาติคะเรนนี ควบรวมทุกคนทุกกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยไว้ในนามของ "คะเรนนี" การสร้างอัตลักษณ์และพื้นที่ดังกล่าวได้ละเลยอัตลักษณ์และพื้นที่ของชาติพันธุ์ย่อยที่รวมอยู่ในกระบวนการสร้างรัฐชาติ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่ากันทำให้ตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มย่อยถูกละเลย มองข้าม และยัดเยียดอัตลักษณ์ใหม่ให้พวกเขา

ชาวกะแยในประเทศไทยนั้น พบข้อมูลการตั้งถิ่นฐานเพียงในจังหวัดแม่ฮ่องสอนเท่านั้น ทั้งนี้ส่วนใหญ่เริ่มตั้งเป็นชุมชนถาวรได้ไม่นานนัก นับย้อนไปประมาณห้าสิบปีที่ผ่านมานี่เอง หากแต่ตามประวัติคำบอกเล่า กะแยอยู่อาศัยในแถบนี้มานานนับเท่าที่ผู้อาวุโสในชุมชนจำความได้คือสามชั่วอายุคน โดยก่อนหน้านั้นต่างตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นหย่อมบ้านเป็นกลุ่มเครือญาติ ตามไหล่เขาห่างไกลชุมชน เนื่องจากวิถีชีวิตทำไร่หมุนเวียนและระบบเกษตรแบบยังชีพ พึ่งพาอาศัยผลผลิตจากป่า จึงโยกย้ายไปมาหลายที่ กระจัดกระจายออกไปตามไหล่เขา ที่ราบในหุบเขา หลายกลุ่มบ้านที่ตั้งบ้านเรือนห่างไกลจากชุมชนหลัก ตั้งบ้านเรือนอยู่ในพื้นที่ทำกินในเขตภูเขา การตั้งชุมชนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะของการโยกย้ายไปมาในหลายชุมชนหลายหมู่บ้าน ทั้งเนื่องจากความเหมาะสมของที่ทำกินประกอบกับความเชื่อ หากอาศัยอยู่ในชุมชนไหนแล้วอยู่ไม่สงบสุข ไม่ดี มีคนในครอบครัวเจ็บป่วย ก็ย้ายไปชุมชนอื่นย้ายที่ตั้งชุมชนใหม่ บางครอบครัวก็ย้ายไปมาหลายชุมชนหลายหมู่บ้านกว่าจะตั้งบ้านเรือนอยู่ได้ ประกอบกับเมื่อหน่วยงานราชการเริ่มมีการสำรวจชุมชนด้วยความห่างไกลกระจัดกระจายและสัญจรลำบากทั้งการเข้าไปสำรวจพบกลุ่มบ้านที่ห่างไกลมาก ผู้ใหญ่บ้านในสมัยนั้นได้ชักชวนให้ลงมาอยู่ในพื้นที่ใกล้ชุมชนมากขึ้น เพื่อจะได้ดูแลเรื่องสิทธิและการอยู่อาศัย การศึกษาของเด็กการให้ความช่วยเหลือหรือการดูแลเรื่องสุขภาพ หลังจากนั้นไม่นานได้โยกย้ายมาอาศัยในชุมชนที่ราชการรับรองและมีความสะดวกในการเดินทาง บางชุมชนเริ่มต้นจากการเป็นหย่อมบ้านของอีกหมู่บ้านหนึ่ง เมื่อจำนวนประชากรที่ย้ายลงมาสมทบกันมีจำนวนมากพอ มีองค์ประกอบครบถ้วนจึงจัดตั้งเป็นหมู่บ้านใหม่แยกออกมาจากหมู่บ้านเดิม ในช่วงสิบปีแรกนั้น บางครอบครัวย้ายไปย้ายมาในหลายหมู่บ้าน ตามสายสัมพันธ์ของเครือญาติและปัจจัยด้านที่ทำกิน รวมถึงความสบายใจในการอยู่ในแต่ละชุมชน เนื่องจากคนกะแยนับถือผีเป็นศาสนาหลัก การย้ายถิ่นไปมาจึงพิจารณาจากการเสี่ยงทายเมื่อเกิดเหตุหรือเกิดความไม่สบายใจในครอบครัว (แปล ปราสาทดียิ่ง, อำนาจ มีเมืองงาม 2561)

สุชาติ งามประพฤติ ผู้ประสานงานเครือข่ายกะเหรี่ยงแดง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้ช้อมูลว่า ชุมชนกะแยในแม่ฮ่องสอนนั้นมีสองลักษณะคือ เป็นชุมชนที่มีเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์กะแยและเป็นชุมชนที่อยู่ร่วมกันตั้งแต่สองกลุ่มชาติพันธุ์ โดยในลักษณะแรกนั้นถึงแม้จะกล่าวได้ว่าเป็นชุมชนที่อยู่เฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์กะแย แต่ในความเป็นจริงแล้วมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นเข้ามาอยู่อาศัยร่วมด้วยในลักษณะของการแต่งงานเข้ามาเป็นสมาชิกในครอบครัวเข้ามาเป็นเขย เข้ามาเป็นสะใภ้ ซึ่งจะมีทั้งคนไทใหญ่ คนเมือง คนลีซู ฯลฯ ถึงแม้ว่าคนจากต่างกลุ่มชาติพันธุ์จะแต่งงานเข้ามาอยู่ในชุมชน แต่วิถีปฏิบัติในชีวิตประจำวันก็ยึดรูปแบบของกลุ่มชาติพันธุ์กะแยโดยมีชุมชนลักษณะนี้จำนวนเจ็ดชุมชน ได้แก่ 1)บ้านห้วยผึ้ง ตำบลห้วยผา 2)บ้านห้วยโป่งอ่อน ตำบลหมอกจำแป่ 3)บ้านทบศอก ตำบลหมอกจำแป่ 4)บ้านไม้สะเป่ ตำบลปางหมู 5)บ้านดอยแสง ตำบลปางหมู 6)บ้านแม่ส่วยอู ตำบลผาบ่อง 7)บ้านห้วยช่างเหล็ก ตำบลผาบ่อง ทั้งหมดตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ในส่วนของชุมชนที่อยู่ร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นอีกจำนวนเจ็ดชุมชน ได้แก่

หนึ่ง บ้านห้วยเสือเฒ่า ตำบลผาบ่อง มีกลุ่มชาติพันธุ์กะแย กะยัน และกะยอ

สอง บ้านห้วยเดื่อ ตำบลผาบ่อง มีกลุ่มชาติพันธุ์กะแยและ ไทใหญ่

สาม บ้านห้วยช่างคำ ตำบลห้วยโป่ง มีกลุ่มชาติพันธุ์กะแยและ ปกาเกอะญอ

สี่ บ้านนาป่าแปก ตำบลหมอกจำแป่ มีกลุ่มชาติพันธุ์กะแย ม้ง ไทใหญ่ ปะโอ และปกาเกอะญอ

ห้า บ้านห้วยมะเขือส้ม ตำบลหมอกจำแป่ มีกลุ่มชาติพันธุ์กะแย ปะโอ ม้ง และไทใหญ่

หก บ้านสบป่อง ตำบลปางหมู มีกลุ่มชาติพันธุ์กะแย และไทใหญ่

เจ็ด บ้านใหม่ในสอย ตำบลปางหมู ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านใหม่ในสอย เป็นศูนย์ดูแลผู้เคลื่อนย้ายจากประเทศพม่าอันเนื่องมาจากหลบหนีภัยสงคราม ซึ่งมีทั้งกลุ่มชาติพันธุ์กะแย ไทใหญ่ กะยัน กะยอ และเมียนมา ในขณะที่พื้นที่นอกศูนย์พักพิงชั่วคราวจะมีชุมชนชาวไทใหญ่อยู่ร่วมกัน

ทั้ง 14 ชุมชนในพื้นที่อำเภอเมืองจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่มีกลุ่มชาติพันธุ์กะแยอาศัยอยู่นั้น ทั้งที่เป็นชุมชนที่อาศัยอยู่ร่วมกันกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นและอาศัยอยู่เพียงกลุ่มชาติพันธุ์เดียว หากแต่เนื่องจากชุมชนรายรอบรวมถึงประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนนั้นเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ ส่งผลให้มีการหยิบยืมและเปลี่ยนผสานความเชื่อ ประเพณีและพิธีกรรมหลายอย่างระหว่างกัน เป็นลักษณะของความลื่นไหลทางวัฒนธรรม (สุชาติ งามประพฤติ 2561)

การดำรงชีพ

ในยุคก่อนนั้นชาวกะแยอาศัยอยู่ห่างไกลเนื่องจากวิถีชีวิตสัมพันธ์กับการทำไร่หมุนเวียน หากแต่เมื่อรัฐประกาศห้ามทำไร่ การปลูกข้าวจึงจำกัดในพื้นที่เดิม ทำให้ผลผลิตได้น้อยลง จำเป็นต้องใส่ปุยและใช้ยาฆ่าหญ้า นอกจากพื้นที่ไร่แล้ว ในชุมชนที่มีพื้นที่ราบระหว่างหุบเขาจำนวนไม่มากนักที่สามารถทำนาได้ นอกจากนี้ยังมีการปลูกพืชอายุสั้นตามฤดูกาล เช่น กระเทียม ถั่วเหลือง ถั่วลายเสือ คนหนุ่มสาวนิยมออกไปทำงานในเมืองแม่ฮ่องสอน และต่างจังหวัด เช่นเชียงใหม่ทำให้ในชุมชนเหลือคนวัยกลางคน วัยสูงอายุ และเด็กเล็ก อย่างไรก็ตามเมื่อถึงวันทำพิธีอิลู หนุ่มสาวที่จากบ้านไปก็จะกลับมาบ้านเพื่อร่วมพิธี และทำการเสี่ยงทางโชคชะตาประจำปี

ในชุมชนที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ปายฝั่งซ้าย ซึ่งประกาศไว้เมื่อ วันที่ 27 พ.ย. 2506 และมีการเพิกถอนพื้นที่บางส่วนเพื่อใช้ในโครงการพัฒนาตามพระราชดำริ ศูนย์โป่งแดง โดยประกาศพื้นที่ใหม่เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2534 (กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2559) ในด้านการดำรงชีพนั้นเนื่องจากชุมชนตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติทำให้มีข้อกำจัดด้านการทำไร่เนื่องจากไม่สามารถใช้พื้นที่เพิ่มเติมจากการสำรวจของหน่วยงานราชการได้ หลังจากการประกาศเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2534 มาตรการและการควบคุมพื้นที่ใช้ประโยชน์ของชาวบ้านในพื้นที่เข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากวิถีของการทำไร่หมุนเวียนนั้น เมื่อใช้พื้นที่ปีที่หนึ่งแล้วจะปล่อยทิ้งไว้ห้าถึงเจ็ดปีเพื่อให้พื้นที่ฟื้นคืนความสมบูรณ์จึงกลับมาใช้ประโยชน์อีกครั้ง ในมุมมองของหน่วยงานรัฐเห็นว่า พื้นที่เดิมที่เคยใช้ในการเกษตรแล้วปล่อยพักฟื้นให้ต้นไม้โตแล้วถือเป็นพื้นที่ป่าและกันออกไปจากการจัดทำเขตพื้นที่ใช้ประโยชน์ของคนในชุมชน คนในชุมชนไม่มีสิทธิครอบครองพื้นที่ทั้งส่วนของพื้นที่ตั้งบ้านเรือนและพื้นที่ทำกิน หากแต่มีสิทธิในการใช้ประโยชน์และส่งต่อให้ลูกหลานใช้ประโยชน์ต่อเนื่องได้ สถานการณ์ดังกล่าวทำให้คนในชุมชนมีพื้นที่ทำกินลดลง เกิดการปรับตัวด้วยการเปลี่ยนอาชีพ เปลี่ยนรูปแบบการผลิต เช่น การปลูกพืชไร่ถาวร การปลูกพืชหมุนเวียนในพื้นที่เดิม เป็นการใช้พื้นที่ซ้ำหลายครั้งและจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมีในการเพิ่มผลผลิตรวมถึงสารกำจัดวัชพืชร่วมด้วย

ศาสนา

ชาวกะแยนับถือศาสนาพุทธตามบัตรประชาน แต่ในวิถีปฏิบัติทางวัฒนธรรมนั้นนับถือผี ทั้งนี้เนื่องจากชีวิตัมพันธ์กับชาวไทใหญ่จึงรับพิธีกรรมทางพุทธศาสนาบางอย่างมาผสมกลมกลืนในวัฒนธรรมเดิมของตน ชาวกะแยมีความเชื่อเรื่องผีอย่างลึกซึ้ง บทบาทของผีอยู่ในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย วิถีปฏิบัติในการดำเนินชีวิตสัมพันธ์กับความเชื่อเรื่องผี จนสามารถเรียกได้ว่า "ศาสนาผี" อันว่าศาสนานี้เป็นความเชื่อดั้งเดิมของนับตั้งแต่บรรพกาลที่บรรพบุรุษพาทำ ถ่ายทอด สั่งสมและส่งต่อมาสู่พวกเขาในรุ่นนี้ ถึงแม้ว่าในบัตรประชาชนจะระบุชัดเจนว่าเป็น "ศาสนาพุทธ" หากแต่ในวิถีปฏิบัตินั้นชาวกะแยยังนับถือผีทั้งหมด จะมีเพียงบางกิจกรรมหรือบางบุคคลเท่านั้นที่นำเอาพิธีกรรมทางศาสนาพุทธเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ในบางครอบครัวได้นำเอาพิธีสวดศพตามรูปแบบพิธีกรรมของศาสนาพุทธเข้ามาผสมกับการเลี้ยงผีและพิธีศพตามหลักความเชื่อเดิม กิจกรรมวันสำคัญทางศาสนาที่เด็กนักเรียนและผู้นำชุมชนต้องปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐราชการ เช่น วันออกพรรษา วันมาฆบูชา ถึงแม้ว่าในชุมชนจะมีสำนักสงฆ์ตั้งอยู่ มีพระออกมาบิณฑบาตตอนเช้า แต่มีการตอบรับจากชุมชนในส่วนน้อย ไม่มีบุตรหลานเข้าไปบวช ไม่ค่อยจะมีคนใส่บาตร หรือเข้าวัดฟังธรรมในวันพระ ยกเว้นวันสำคัญทางศาสนาที่รัฐราชการสั่งการให้ประกอบพิธีกรรม ในส่วนของศาสนาคริสต์นั้นมีผู้นับถือจำนวนน้อย "…..เราถือผี แต่เราก็ถือพุธตามบัตร จะว่าพุธก็ไม่เชิง มาหลัง ๆ นี่แหละเริ่มผสมกันมีพิธีทางพุธเข้ามาบ้าง แต่ตามประเพณีเราคือถือผี….” (อำนาจ มีเมืองงาม ผู้ใหญ่บ้าน บ้านห้วยโป่งอ่อน 24 มกราคม 2561)

ความเชื่อเรื่องผี

"การนับถือผี” หรืออีกนัยยะหนึ่งคือการนับถือบรรพบุรุษ และธรรมชาติผนวกกัน ความเชื่อที่ว่าทุกพื้นที่ ขุนห้วย แผ่นดิน มีเจ้าผู้ดูแลอยู่ ดังนั้นเมื่อจะย้ายเข้าไปอยู่ จะใช้ประโยชน์ ในพื้นที่ สถานที่ หรือกระทำอะไรก็ตามต้องขออนุญาตเจ้าที่ผู้ปกปักรักษาสถานที่นั้นการนับถือผี หรือศาสนาผี หรืออาจะเรียกอีกอย่างได้ว่าการนับถือบรรพบุรุษนั้นก่อกำเนิดมาก่อนการเข้ามาของศาสนาสากลอย่างศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ ดังนั้นถึงแม้ว่าเมื่อความเป็นรัฐชาติที่ขีดกรอบเรื่องศาสนาหลักเพียงสองศาสนา ศาสนาพุทธ จึงมักถูกระบุว่าเป็นศาสนาของคนในชุมชน ขณะที่ในเชิงปฏิบัตินั้นยังคงยึดถือศาสนาดั้งเดิมของตน และมีการปรับปรน ผสมผสานกับศาสนาสากลบ้างในบางพิธีกรรมตามกาละเวลาที่ผันผ่านไป

"…..ตลอดชีวิตของคนกะแย จะมีสิบผี ที่ทำพิธีเลี้ยง ต้องบูชา ทั้งผีหมู่บ้านมีกำหนดชัดเจน ผีน้ำ ผีป่า ผีบ้านผีเรือน ที่ทำกันเองในครอบครัว เราทำตามที่คนเฒ่าทำมา…” (แปล ปราสาทดียิ่ง ผู้อาวุโส บ้านห้วยผึ้ง 25 มกราคม 2561)

คนกะแยผูกสัมพันธ์กับผีนับแต่เกิดจนตาย มีพิธีกรรมสำคัญหลายอย่างที่ยังคงรักษาสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ หากแต่บางพิธีก็ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสังคมสมัยใหม่ โดยเฉพาะเมื่อตั้งหมู่บ้านถาวร หลายสิ่งอย่างที่เคยถือปฏิบัติในชีวิตประจำวันก็เริ่มลบเลือนไป ประกอบกับรายรอบหมู่บ้านเป็นชุมชนไทใหญ่ ทำให้ภาษาวัฒนธรรมหลายอย่างแทรกซึมเข้ามาผสานกันไป การนับถือผีและพิธีกรรมความเชื่อของคนกะแยนั้นมีในสองระดับคือ ระดับชุมชนและระดับครอบครัว โดยปัจจุบันนี้มีพิธีกรรมที่มีการเซ่นไหว้บูชาผีเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งหมดนับได้เก้าพิธีได้แก่ หนึ่ง เลี้ยงผีปีใหม่ หรือพิธี “อิลู” หรือปอยต้นทีในภาษาไทใหญ่ สองเลี้ยงผีทำบุญสิ้นปีในพิธี “ปอหมิ” หรือที่รู้จักกันในชื่อปอยข้าวต้ม เป็นการทำบุญให้บรรพบุรุษที่ล่วงงลับไปแล้ว สามเลี้ยงผีต้นน้ำ ทำปีละหนึ่งครั้งเพื่อเสี่ยงทายเรื่องน้ำท่าในปีต่อไป สี่เลี้ยงผีทำขวัญข้าว ครอบครัวไหนที่ทำไร่ข้าว ทำนา ก็จะทำพิธีนี้ที่ไร่ ที่นาเพื่อของคุณ ห้าเลี้ยงผีข้าวไร่ เมื่อเก็บเกี่ยวแล้วขนข้าวกลับมายังยุ้งฉางแล้วจึงทำพิธีนี้ หกเลี้ยงผีในพิธีแต่งงานครั้งที่สอง เจ็ด เลี้ยงผีทำบุญบ้าน แปด เลี้ยงผีทำบุญให้ผู้ล่วงลับ (เฉพาะครอบครัวที่มีผู้เสียชีวิตในปีนั้น) เก้าเลี้ยงผีดูไร่ใหม่ จะเลี้ยงก่อนทำการเกาะปลูกในฤดูกาลใหม่ (แปล ปราสาทดียิ่ง 2561)

ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรม

ประเพณี เทศกาลและพิธีกรรมสำคัญในรอบปี

อิลู หรือปอยต้นที

พิธีอิลู หรือปอยต้นที เป็นพิธีสำคัญของชาวกะแย ซึ่งผู้ศึกษาได้ลงพื้นที่ไปสังเกตุการณ์และสัมภาษณ์ผู้มีส่วนร่วม เจ้าพิธี และคนในชุมชนสองชุมชนหลักคือ ชุมชนบ้านห้วยผึ้ง และชุมชนห้วยโป่งอ่อน ในปี 2562 โดยสองชุมชนนี้จัดพิธีในช่วงเวลาที่ไกล้เคียงกัน ทั้งนี้จากข้อมูลภาคสนาม จึงประมวลข้อมูลเกี่ยวกับพิธีอิลูดังนี้

พิธีอิลูนั้นจะจัดในช่วงเดือนเมษายนช่วงหลังสงกรานต์ เป็นการจัดพิธีเพื่อเลี้ยงผีที่ปกปักรักษาหมู่บ้านเชื่อว่าหากจัดพิธีนี้แล้วคนในหมู่บ้านจะอยู่เย็นเป็นสุข โดยการกำหนดวันในอดีตนั้นจะใช้วิธีการเสี่ยงทายดูกระดูกไก่โดยผู้อาวุโส แล้วจึงกำหนดวันในการทำพิธี ซึ่งแต่ละหมู่บ้านจะจัดพิธีไม่ตรงกันตามแต่การทำนายของผู้อาวุโสและการกำหนดร่วมกันของคนในหมู่บ้าน ในการประกอบพิธีกรรมในหมู่บ้านจะมีหนึ่งครอบครัวที่รับเป็นเจ้าภาพในแต่ละปี ซึ่งครอบครัวนี้จะเป็นคนแรกเริ่มในการทำพิธีต่าง ๆ

แต่เดิมนั้นประเพณีอิลูจัดงาน 4 วัน โดยวันแรก เรียกว่า “เมาะเนอกวา” คือ วันคัดสรรและทำการตัดต้นอิลู วันที่สอง เรียกว่า “เมาะเนอ ติ๊หรี่” คือวัน ตกแต่งต้นอิลูให้สวยงามและตรงตามหลักความหมายพิธีกรรมโบราณ วันที่สาม เรียกว่า “เมาะเนอโอ่จอ” คือวันรับแขกที่มาร่วมเฉลิมฉลองปีใหม่และร่วมพิธีกรรม วันที่สี่ เรียกว่า “เมาะเนอแต” คือวันถวายต้นอิลู และวันประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ปัจจุบันนิยมจัดงานประเพณีอิลู 3 วัน เนื่องจากการเดินทางไปมาหาสู่เครือญาติและการร่วมเฉลิมฉลองมีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น จึงรวมวัน “เมาะเนอโอ่จอ” เข้ากับ “เมาะเนอตี๊หรี่” หรือ “เมาะเนอแต” ให้เป็นวันต้อนรับแขกร่วมด้วย วันมงคลในการจัดงานอิลู คือ วันขึ้นหรือแรมสามค่ำ หรือวัน ขึ้นหรือแรม 13 ค่ำเดือนห้าตามปฏิทินจันทรคติ หรือสามารถใช้วิธีการเสี่ยงทายกระดูกไก่เพื่อดูวันมงคลสำหรับประกอบพิธีกรรมทดแทนก็ได้ ส่วนไก่ที่นำมาใช้ในพิธีกรรมต่างๆ รวมถึงพิธีกรรมทำนายชะตา จะใช้ไก่ตัวผู้ในการประกอบพิธีกรรมเท่านั้น

เมื่อกำหนดวันในการประกอบพิธีได้แล้ว ชุมชนจะสรรหาเจ้าพิธีเพื่อเป็นแกนกลางในการอำนวยการพิธีกรรม เจ้าพิธีมีบทบาทหลักทั้งการแบ่งภาระงานแบ่งหน้าที่ให้คนแต่ละกลุ่มช่วยรับผิดชอบงาน รวมถึงดำเนินการด้านพิธีกรรมและการเสี่ยงทายต่าง ๆ ทั้งนี้ ในหลายปีที่ผ่านมา หลายชุมชนมักจัดพิธีกรรมเพียงสามวัน คือ วันที่หนึ่ง จะเป็นการคัดสรรและเลือกต้นอิลู วันที่สอง จะทำการประดับตกแต่งให้เรียบร้อย พร้อมรับแขกที่มาเยี่ยมเยียน และวันที่สามจะเป็นการถวายต้นอิลูพร้อมการตรวจดวงชะตาด้วยการดูกระดูกไก่ โดยกิจกรรมในแต่ละวันมีรายละเอียดดังนี้

วันที่หนึ่ง การคัดสรรและทำการตัดต้นอิลู ในการคัดเลือกต้นไม้สำหรับใช้ประกอบพิธีกรรมนั้น ตามตำนานเล่าว่า ยุคแรกใช้ต้น “โต๊ะ โป่ หม่อ” แต่เนื่องจาก “โต๊ะ โป่ หม่อ” เป็นพืชล้มลุก จึงได้มีการค้นหาต้นไม้ยืนต้น และพบ “เตอเมอหม่อ” หรือ ต้นหว้า ในภาษาไทย หรือต้นไม้สะเป่ในภาษาไตใหญ่” ซึ่งเป็นต้นไม้ยืนต้นชนิดแรกที่เกิดขึ้นในโลกและถือเป็นไม้มงคลที่นำยอดใบหว้ามาประกอบพิธีกรรมบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยป้องกันอันตรายและช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้พ้นไปได้

วันนี้ผู้ชายจะเตรียมไปตัดต้นไม้เพื่อใช่ในการประกอบพิธีกรรม โดยเลือกใช้ไม้มงคลตามความเชื่อที่สืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษ คือไม้หว้าหรือในภาษาพื้นเมืองเรียกไม้สะเป่ คัดเลือกต้นที่มีลำต้นตรงไม่แตกกิ่งแขนงออกมา เปลือกไม้เรียบสวยงามตามลักษณะของสายพันธุ์ ลำต้นสมบูรณ์ไม่มีโรคแมลง ความสูงพอเหมาะกับที่ต้องการใช้ แต่โดยทั่วไปจะเลือกความสูงมากกว่าปีก่อนหน้าเล็กน้อย หากไม่มีไม้หว้าที่เหมาะสมสามารถเลือกใช้ไม้สักหรือไม้แงะแทนได้ ในส่วนของขนาดลำต้นนั้นจะเลือกตามขนาดของหมู่บ้าน หากหมู่บ้านเล็กจะเลือกต้นเล็ก หากหมู่บ้านใหญ่จะเลือกต้นใหญ่ เพราะในการเคลื่อนย้ายต้นไม้มานั้นจะใช้ผู้ชายในหมู่บ้านช่วยกันหามเข้าหมู่บ้าน ต้นไม้ที่จะถูกเลือกนำมาทำเป็นต้นอิลูนั้น มีกฎว่าต้องเป็นต้นไม้ที่มีลำต้นตรง และต้องไม่มีรังนกอยู่บนต้นไม้นั้น เนื่องจากเชื่อว่า ต้นไม้ที่จะนำมาถวายและประกอบพิธีกรรมนั้นต้องประกอบไปด้วยคุณธรรมและ ความเที่ยงตรง

ในการไปเลือกต้นไม้นั้น ฝ่ายชายของครอบครัวเจ้าภาพ พร้อมด้วยผู้อาวุโส และผู้ชายที่แข็งแรงในหมู่บ้านจะออกจากหมู่บ้านไปคัดเลือกต้นไม้ เมื่อเลือกได้แล้วนั้นจะมีพิธีขอขมาต้นไม้ก่อนการตัดฟัน เมื่อทำพิธีขอขมาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายชายของครอบครัวเจ้าภาพจะเป็นคนลงขวานครั้งแรกพอเป็นพิธี หลังจากนั้นกลุ่มผู้ชายทั้งหมดก็ช่วยกันตัดฟันต้นไม้ โดยระวังไม่ให้ต้นไม้ล้มลงสู่พื้นดิน ต้องช่วยกันประคองและทำไม้ค้ำระหว่างตัดแต่งถากเปลือกไม้ออกให้หมด เหลาปลายเสาให้กลมสวยงาม เมื่อทำการตัดต้นอิลูเสร็จเรียบร้อยจะต้องนำข้าวตอก ดอกไม้ และยอดใบไม้สะเป่บูชาไว้บนยอดต้นอิลู

หลังจากนั้นช่วยกันแบกต้นไม้ออกจากป่าเข้าหมู่บ้าน ในขบวนแห่ต้นไม้เข้าหมู่บ้านนั้นจะมีเครื่องดนตรีแห่นำ มีการตีฆ้อง ตีฉาบ เป่าปี่ นำขบวน หากครอบครัวเจ้าภาพมีบุตรหลานผู้ชายวัยเด็ก จะให้เด็กแต่งตัวด้วยชุดชาติพันธุ์ของตนเองขี่ต้นไม้ออกมาด้วย เมื่อขบวนแห่เดินเข้าสู่เขตชุมชน ผู้หญิงจะตระเตรียมน้ำส้มป่อยเพื่อรดน้ำต้อนรับขบวนแห่เพื่อเป็นมงคล เมื่อแบกหามต้นไม้มาถึงลานพิธีจะวางไว้ในลานพิธีโดยปลายด้านที่จะฝังลงดินนั้นวางติดพื้นดิน ส่วนปลายยอดที่เหลาตกแต่งปลายเสาให้กลมนั้นจะมีไม้ค้ำไว้เพื่อเตรียมประดับตกแต่ง

วันที่สอง การตกแต่งต้นอิลู นอกจากลำต้นอิลูแล้ว มีองค์ประกอบส่วนต่าง ๆ ของต้นอิลู ได้แก่ ส่วนยอดซึ่งประดับตกแต่งด้วยสัญลักษณ์ พระอาทิตย์ และพระจันทร์ หลังคาปราสาทจำลอง ตุง โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. “เต๊าะหม่อ (พระอาทิตย์) เล (พระจันทร์) อยู่ส่วนบนสุดของต้นอิลู ประกอบไปด้วยไม้แผ่นแกะสลักรูปสัญลักษณ์พระอาทิตย์ และพระจันทร์ เพื่อการบูชาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์

2. “โบ๊ะเหล่” หรือใบข้าว เป็นไม้แกะสลักสัญลักษณ์ใบข้าว ซึ่งเชื่อว่าเป็นเมล็ดพันธุ์พืชอันเก่าแก่คู่มนุษย์โลกที่เทพธิดา “พอซูลุโหมะ” และพระผู้เป็นเจ้ามอบให้มนุษย์ไว้เป็นอาหารหลักตั้งแต่อดีตกาล

3. "กล่อเหล่/เตอเมอเหล่" หรือใบไม้สะเป่ ใบต้นโพธิ์ต้นไทร เป็นแผ่นไม้แกะสลักเป็นรูปใบไม้สะเป่ ใบไม้โพธิ์ เชื่อว่าเป็นไม้มงคล

4. “จ๊อปุ๊แหระหิขุ” หรือหลังคาปราสาทจำลองที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้าในเมือง “ดอตอเมาะขุ” หรือสรวงสวรรค์ ดินแดนดั้งเดิมที่มนุษย์จากมา

5. "เกลอะ" หรือ ธนู เชื่อว่าเป็นอาวุธชิ้นแรกที่ "พอซุลุโหมะ" มอบให้มนุษย์ และเป็นอาวุธที่กะแยใช้ยิงดวงอาทิตย์ ดวงที่อยู่ใกล้โลก จนพระอาทิตย์ดวงนั้นตกเลือดกลายเป็นพระจันทร์ในทุกวันนี้

6. “อิ๊ขู่ชีบ่า” หรือ โลก เป็นสัญลักษณ์รูปโลกซึ่งสานด้วยไม้ไผ่ เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตกแต่งต้นอิลู

7. “ถู่” หรือ นก เป็นไม้แกะสลักรูปนก ที่เชื่อว่าเป็นผู้ขยายพันธุ์เมล็ดพืชให้เกิดความสมบูรณ์และเป็นหนึ่งในสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่ช่วยเหลือมนุษย์

8. “แซะแหระ” หรือ ตุง เป็นผ้าสีขาวที่เย็บเป็นตุงปลายพู่ทำด้วยด้ายสีแดง วาดภาพตกแต่งด้วยภาพสัตว์ตามนักษัตรหรือรูปพืชและสัตว์ที่เชื่อว่าถูกสร้างและเดินทางมาสู่โลกพร้อมกับมนุษย์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย กระรอก เป็นต้น โดยส่วนตุงนี้จะต้องความยาวเท่าต้นอิลู ซึ่งเชื่อว่าปลายพู่สีแดงจะช่วยปัดเป่าสิ่งสกปรกชั่วร้ายให้พ้นไปได้ เพื่อที่ตุงและต้นอิลูจะเป็นเสาศักดิ์สิทธิ์อันบริสุทธิ์ที่เชื่อมไปสู่ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าและเทพผู้สร้าง ให้พิธีกรรมการเฉลิมฉลองปีใหม่และพิธีกรรมการรำลึกคุณเทพเจ้าและบรรพบุรุษ และการบูชาขอพร ทำนายประจำปีนั้นจะสำเร็จผลด้วยดีตลอดปี กฏสำคัญของแซะแหระ หรือตุง คือ ผู้ที่จะทำการเย็บแซะแหระต้องเป็นสาวบริสุทธิ์เท่านั้น (หากไม่มสาวบริสุทธิ์ ผู้ชายเย็บแทนได้)

นอกจากการเตรียมองค์ประกอบทั้งแปดอย่างของการตกแต่งอิลูแล้ว วันนี้ยังเป็นการเตรียมองค์ประกอบส่วนอื่นของพิธี ได้แก่การเตรียมร้านสำหรับวางข้าวของเซ่นไหว้ การตัดไม้ไผ่สำหรับเตรียมไว้สำหรับหลามไก่ การเตรียมฟืนสำหรับก่อกองไฟหลามไก่ วันเตรียมการนี้จึงจะเห็นความร่วมไม้ร่วมมือของคนในชุมชน ในขณะที่กลุ่มชายหนุ่มและผู้เฒ่าช่วยกันเตรียมการพิธี กลุ่มผู้หญิงจะทำหน้าที่เตรียมอาหารการกิน แต่ละบ้านจะยกข้าวปลาอาหารมาสมทบครอบครัวละเล็กละน้อยตามกำลัง ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ในการต้อนรับแขกที่มาร่วมพิธี

วันที่สาม พิธีอิลู และวันประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์และพิธีกรรมการทำนายดวงชะตา ทั้งนี้พิธีการถวายต้นอิลูจะถวายเวลาพระอาทิตย์กำลังโผล่ขึ้นขอบฟ้าเสมอ ทั้งนี้ เชื่อว่าเพื่อเป็นการถวายต้อนรับเทพพระอาทิตย์ตามความเชื่อดั้งเดิม

พิธีกรรมจะเริ่มเมื่อรุ่งสาง เจ้าพิธีและชายหนุ่มพร้อมกันบริเวณพิธี มีการกล่าวคำศักดิ์สิทธิ์โดยเจ้าพิธีเป็นภาษากะแย หลังจากนั้นชายหนุ่มจะช่วยกันขุดหลุม เมื่อขุดหลุมเสร็จแล้วเจ้าพิธีโรยข้าวตอกก้นหลุม ขณะเดียวกันชายหนุ่มหลาย ๆ คนจะเตรียมไม้ค้ำยัน และเชือกสำหรับดึงต้นอิลู เมื่อได้เวลาเหมาะสมเจ้าพิธีเริ่มให้สัญญาน กลุ่มผู้หญิงจะประพรมน้ำส้มป่อยบนลำต้นอิลู โปรยข้าวตอกเพื่อเป็นมงคล ก่อนที่ปลูกต้นอิลูกลุ่มคนหนุ่มจำนวนหนึ่งจะโหมโรงด้วยดนตรี อันมีกลอง และฉาบ เป็นหลัก หลังจากนั้นเจ้าพิธีก็ให้สัญญานในการยกต้นอิลูขึ้น โดยแรงงานหลักจะเป็นชายหนุ่มในหมู่บ้านช่วยกันประคับประคองต้นอิลูที่วางตั้งบนคานจนสามารถปักตรงตระหง่านในหลุมที่ขุดรอไว้แล้ว เมื่อสามารถปักตั้งต้นอิลูตรงเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มช่วยกันอัดดินตรงโคนต้นให้เน่นเพื่อเพิ่มความแข็งแรง หลังจากนั้นประพรมน้ำส้มป่อยที่โคนต้น และเริ่มร่ายรำรอบต้นอิลู โดยในการร่ายรำนั้นมีเฉพาะกลุ่มผู้ชายเท่านั้น ส่วนกลุ่มผู้หญิงจะทำหน้าที่ประพรมน้ำส้มป่อยต้นอิลูทั้งต้นใหม่ที่ปลูกในปีนี้ และต้นที่เคยปลูกมาเมื่อปีก่อน ๆ

เมื่อปลูกต้นอิลูเสร็จแล้วจะมีพิธีกรรมต่อเนื่อง คือ การเสี่ยงทายกระดูกไก่ โดยเจ้าพิธีนำไก่ของหมู่บ้านที่เตรียมไว้มาทำพิธีเสี่ยงทาย ผู้เฒ่าช่วยกันดูกระดูกไก่ แล้ะแจ้งคำทำนายแก่สมาชิกผู้มาร่วมพิธี หลังจากนั้น เด็กผู้ชาย ชายหนุ่ม แต่ละคนจะอุ้มไก่ของตัวเองที่เตรียมไว้ ให้เจ้าพิธีและผู้อาวุโสทำนายโชคชะตาให้ กระดูกขาไก่ที่ผ่นการเสี่ยงทายจากเจ้าพิธีและผู้อาวุโสแล้วจะถูกนำไปปักไว้กับต้นอิลูต้นใหม่ เจ้าของนำไก่ที่ผ่านการทำพิธีแล้วหลามในกระบอกไม้ไผ่ ซึ่งได้จุดกองไฟไว้แล้ว เมื่อไก่สุก เจ้าของไก่จะนำไก่บางส่วน และข้าวปั้นก้อนเล็กๆ ถวายไว้บนหิ้งพิธี เพื่อเป็นเครื่องสังเวย ส่วนไก่ที่เหนือใช้เป็นอาหารสำหรับบริโภคในมื้อเที่ยงของวันทำพิธี

นอกจากการทำนายจากกระดูกไก่แล้ว ในระดับหมู่บ้านนั้นจะใช้หมูในการทำนายด้วย หมูที่นำมาใช้ทำนายนี้ซื้อหามาจากในชุมชน โดยทุกครอบครัวร่วมลงขันในสัดส่วนที่เท่ากัน หลังจากที่ทำนายกระดูกไก่เสร็จแล้ว ชายหนุ่มที่แข็งแรงหลานคนจะนำหมูออกมายังลานพิธี เตรียมปูฟาง ใบตอง สำหรับการลงมีด ก่อนการลงมีดนั้น เจ้าพิธีจะกล่าวคาถาในภาษากะแย ชายหนุ่มหลายตนช่วยกันจับหมูให้หมอบนิ่ง เมื่อพร้อมแล้วเข้าพิธีจะลงมีดตัดขั้วหัวใจหมู หลังจากนั้นเป็นหน้าที่ของคนหนุ่มที่ทำหน้าที่นำหมูไปย่างไฟจนขนไหม้ แล้วถึงนำมาชำแหละเพื่อดูหัวใจและตับหมูว่าสมบูรณ์ดีหรือไม่และกล่าวคำทำนายต่อสมาชิกในชุมชน ส่วนเนื้อหมูนั้น แบ่งส่วนหนึ่งไว้สำหรับทำอาหารเลี้ยงในพิธี ส่วนที่เหลือกลุ่มผู้ชายช่วยกันชำแหละเนื้อแต่ละส่วน รวมถึงกระดูก ให้ได้ครบจำนวนครอบครัวที่ลงขันร่วมกัน เนื้อหมูส่วนที่นำไปทำอาหารนั้นจะแบ่งส่วนหนึ่งมาถวายในหิ้งพิธี ก่อนที่สมาชิกทั้งหมดที่มาร่วมรับประทานอาหารร่วมกัน

ประเพณีอิลูของกะเหรี่ยงแดงนั้นมีการจัดสรรบทบาทหน้าที่ของ ชาย หญิง ค่อนข้างชัดเจน โดยผู้ชายทำหน้าที่ตระเตรียมการทั้งหมด มีผู้หญิงเป็นทัพหลังคอยเตรียมข้าวปลาอาหาร และน้ำส้มป่อยสำหรับประพรมในพิธี พื้นที่ลานอิลู ถือเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่อนุญาติให้ผู้หญิงเข้าไปในพื้นที่ในช่วงเวลาปรกติ จะอนุญาตให้ผู้หญิงเข้าไปในพื้นที่ลานอิลูได้เฉพาะวันทำพิธี เพื่อประพรมน้ำส้มป่อยและไม่อนุญาตให้ผู้หญิงสัมผัสต้นอิลู

ในด้านความเชื่อ ประเพณีและพิธีกรรม ถึงแม้ว่าคนกะแยจะยังคงรักษาขนบประเพณี โดยเฉพาะการนับถือผีบรรพบุรุษ หากแต่ในการสื่อสารกับคนนอกได้นำเอาภาษาไทยใหญ่มาเรียกชื่อกิจกรรมหรือพิธีกรรมเป็นส่วนมาก ประเพณีหลายอย่างเริ่มเลือนรางเนื่องจากผู้อาวุโสเริ่มตายจากไปและไม่ได้ถ่ายทอดให้คนรุ่นหลัง ผนวกกับคนรุ่นหลังมีบัตรประชาชนตั้งแต่แรกเกิด เข้าระบบการศึกษาในโรงเรียนสามารถสื่อสารภาษาไทยได้ดี ทำให้เริ่มเข้าไปทำงานในตัวเมืองและต่างจังหวัดมากขึ้น พวกเขาเริ่มห่างเหินต่อพิธีกรรมของครอบครัวและชุมชน ภาษาและวัฒนธรรมไทใหญ่ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อชุมชนชาติพันธุ์ส่วนน้อยในแม่ฮ่องสอนด้วยเช่นกัน เนื่องจากแม่ฮ่องสอนนั้นมีวัฒนธรรมไทใหญ่เป็นวัฒนธรรมหลัก การผสมผสาน กลืนกลายและบดบังวัฒนธรรมย่อยของกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ สื่อให้เห็นถึงตำแหน่งแห่งที่ของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่

"....อย่างพิธีหลายอย่าง เราก็เอาของในค่าย ฯ มาศึกษา เพราะชุมชนเราจริง ๆ มันเลือนหายไปจะหมดแล้ว...อย่างดูกระดูกไก่นะ เดี๋ยวนี้หาคนเฒ่าที่ดูเป็นยากแล้ว... บางครอบครัวก็ไปซื้อหนังสือคำทำนายกระดูกไก่จากในค่าย ฯ มาอ่าน...สมัยก่อนรุ่นปู่รุ่นย่าเราไม่ได้ตั้งชุมชนถาวรเหมือนเดี๋ยวนี้ ย้ายไปตามไร่ ไม่ได้ติดต่อกับใคร เวลาเข้าเมืองราชการเขาถามหาบัตร สมัยนั้นเราก็ไม่ได้มีบัตรหรอก ยังไม่ได้ทำกัน เขาก็ว่าคนเถื่อน เราเลยไม่ค่อยได้ทำพิธีอะไรให้เอิกเกริก กลัว...อีกอย่างเราอยู่ใกล้ไทใหญ่ด้วย บางอย่างก็เอามาผสมกัน มีแต่งงานเข้ามาแต่งงานออกไปกันก็เยอะ ...คนต่างเผ่าแต่งเข้ามาก็ต้องมานับถือผีตามกะแยเรานะ...." (แปล ปราสาทดียิ่ง ผู้อาวุโส บ้านห้วยผึ้ง 25 มกราคม 2561)

ประเพณี เทศกาลและพิธีกรรมที่เกี่ยวกับชีวิต

การตั้งครรภ์และคลอดบุตร

ในส่วนของการรักษาโรคนั้นส่วนใหญ่ใช้ยาสมุนไพรรักษาโรคพื้นฐาน ซึ่งผู้อาวุโสของแต่ละชุมชนจะมีความรู้ทั้งด้านการรักษาโรคและการคลอดลูกซึ่งใช้หมอตำแยทำคลอดเองในชุมชน สมัยก่อนนั้นผู้หญิงจะคลอดลูกที่บ้านโดยมีหมอตำแยและเครือญาติคอยดูแล เมื่อคลอดได้สามวันจึงทำพิธีเรียกขวัญ โดยแม่องทารกจะนำเด้กลงมาใต้ถุนบ้าน แล้วนำกลับไปคืนบนบ้านเพื่อทำพิธีเรียกขวัญ โดยใช้ไก่ในการประกอบพิธีสามตัว คือ ไก่ตัวแรก สำหรับทำพิธีทำนายสำหรับเด้กทารก ไก่ตังที่สองสำหรับทำพิธีในช่วงเช้า และไก่ตัวที่สามสำหรับทำพิธีช่วงเที่ยง (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน 2564)

การแต่งงาน และการหย่าร้าง

ในสังคมชาวกะแยนั้นมีการแต่งงานสองรอบ โดยรอบแรกนั้นจะจัดพิธีเพียงวันเดียวและเรียบง่าย เริ่มจากฝ่ายชายมาทำพิธีสู่ขอฝ่ายหญิงโดยนำญาติผู้ใหญ่มาสามคน หลังจากนั้นทำนายคู่ด้วยการดูกระดุกไก่ หากผลทำนายบอกว่าครองคู่กันไม่ได้ ทั้งสองก็ไม่สามารถแต่งงานกันได้ หากผลทำนายบอกว่าครองคู่กันได้ก็นัดหมายวันแต่งงาน โดยในวันแต่งงานนั้น ขบวนแห่เจ้าบ่าวมายังบ้านเจ้าวสาว เมื่อถึงบ้านแม่เจ้าสาวจะคอยตักน้ำล้างเท้าเจ้าบ่าวเพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้ายที่อาจติดมา ส่วนเจ้าสาวจัดน้ำใส่ถังเพื่อล้างมือเจ้าบ่าว ทั้งสองฝ่ายนำไก่มาคนละตัวเพื่อทำพิธีเรียกขวัญ หลังจากนั้นเมื่อญาติพี่น้องผูกข้อมือเจ้าบ่าวเจ้าสาวเรียบร้อยแล้วเลี้ยงฉลองในหมู่เครือญาติ และเพื่อนฝูง ถือว่าเสร็จพิธี มื่อแต่งงานแล้วเจ้าบ่าวจะอาศัยอยู่บ้านเจ้าสาวหนึ่งฤดูกาลผลิต ก่อนที่จะแยกบ้าน ส่วนพิธีแต่งงานครั้งที่สองนั้นจะทำเมื่อครอบครัวใหม่มีความพร้อม เช่นมีลูกแล้วหนึ่งคน พิธีแต่งงานครั้งนี้ใช้เวลาสามวันสามคืน ในวันแรก ญาติพี่น้องจะมาผูกข้อไม้ข้อมือให้บ่าวสาวที่บ้านตั้งแต่เช้าตรู่ พร้อมอวยพรให้แก่ทั้งคู่หลังจากนั้นไปทำพิธีที่บ้านเจ้าบ่าว เมื่อเสร็จแล้วกลับมาทำพิธีที่บ้านเจ้าสาวอีกครั้งเพื่อขอบคุณบิดามารดาที่เลี้ยงดูจนเติบโตมีครอบครัว พิธีนี้จะมีการเลี้ยงฉลองทั้งบ้านฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ใช้ไก่ในพิธีกรรม 12 ตัว และหมู คนละ 2 ตัว ชาวกะแยมีความเชื่อว่าเป็นพิธีเพื่อยืนยันการใช้ชีวิตู่ ครอบครัวใดที่ได้ทำพีธีแต่งงานครั้งที่สองจะประสบความสำเร็จในชีวิตคู่และสามารถครองรักยืนยาว (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน 2564)

ความตาย และการทำศพ

ประเพณีดั้งเดิมของกะแยเมื่อมีคนตายในหมู่บ้านจะหยุดงานแล้วมาช่วยในพิธีการทำศพ หากผู้ตายเสียชีวิตปรกติ หรือตายดี มักตั้งศพทำพิธีสามวัน หรือมากกว่านั้นแล้วแต่ครอบครัว แต่หากตายไม่ดีจะเอาศพไว้เพียงวันเดียวเท่านั้ ในระหว่างงานศพ ครอบครัวผู้เสียชีวิตจะทำอาหารเลี้ยงรับรองผู้มาช่วยงานด้วยการฆ่าหมู ไก่ และต้มสุรามารับรอง ในช่วงกลางคืนจะมีการละเล่นครืนเครง ร้องเพลงตอบโต้กันโดยเนือหาเป็นการหกล่อมวิญญารผู้ตายให้ไปสู่สรวงสวรรค์ ให้ไปเกิดใหม่ในตระกูลที่ดี ชาวแกแยดั้งเดิมนิยมเผาศพโดยใช้ไม้ไผ่แห้งตัดกองเรียงกันสูงราวสองเมตร เพื่อเป็นแท่นรองรับศพ เมื่อเจ้าพิธีนำศพออกจากหมู่บ้านมายังป่าช้านั้น จะมีขบวนดนตรีแห่แหนประโคมนำหน้าศพ เมื่อเข้าสู่ป่าช้าจะมีการยิงปืนขึ้นฟ้า หลังจากนำศพวางไว้บนแทนที่เตรียมไว้แล้วจะตีฆ้อง ร้องเพงและฟ้อนรำ หลังจากนั้นจึงเริ่มเผาจนหมดเหลือแต่กระดูก (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน 2564)

กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. (2559). ข้อมูลพื้นฐาน ศูนย์จัดการกลุ่มป่าสงวนแห่งชาติ ที่ 31 ป่าแม่ปายฝั่งซ้าย จังหวัดแม่ฮ่องสอน. ออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2563. สืบค้นจาก https:// www.forest.go.th/preserve/wp-content/uploads/sites...

กุลธิดา นิวิฐกุลนิภา. (2560). การสร้างพื้นที่อัตลักษณ์ของผู้ลี้ภัยคะเรนนี: กรณีศึกษาของค่ายผู้ลี้ภัยบ้านใหม่ในสอย. ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
ดุลยภาค ปรีชาปรัชช. (2562). ตามหา "ลอร์ด ออฟ คะเรนนี". ออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 6 มกราคม 2562. สืบค้นจากhttps://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=...
ทิพย์วิมล ศิรินุพงศ์ และพรพรรณ กาญจนาธิวัฒน์.(2562). ใจแผ่นดิน : แผ่นดินกลางใจกะเหรี่ยงแก่งกระจาน.กรุงเทพ. พี เพรส จำกัด
บัณฑิต ไกรวิจิตร. (2549). ชีวิตพลัดถิ่น : คนคาเร็นนีที่เข้ามาอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน. วิทยานิพนธ์ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
บุญช่วย ศรีสวัสดิ์. (2545[2506]). ชาวเขาในไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน.
พรรณรัตน์ จงอมรรัตน์. (2562) การแต่งกายชุดกะยา/กะแย ยางแดงหรือกะเหรี่ยงแดง. สืบค้นเมื่อ 20 มกราคม 2562. สืบค้นจาก https://www.facebook.com/media/set/?vanity=doi.tho...
ยศ สันตสมบัติ และคณะ.(2544). การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการจัดการทรัพยากร. นพบุรีการพิมพ์. เชียงใหม่.
รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์. (2550) กะเหรี่ยงกะยัน. ออนไลน์ สืบค้นเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2563. สืบค้นจาก http://lib.payap.ac.th/webin/ntic/ Ka%20yan.htm
วันดี สันติวุฒิเมธี. (2563). นักรบชายขอบ. ออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 15 สิงหาคม 2563 สืบค้นจากhttps://www.sarakadee.com/feature/2000/03/soldiers...
วิชาติ บูรณะประเสริฐสุข (2555). เรื่องเล่าจากชายแดนไทย-พม่า : ประกายไฟทางปัญญาเพื่อพัฒนาอย่างยั่งยืน. โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร.
สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.(2563). เปิดศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวบ้านห้วยปูแกง ต.ผาบ่อง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ออนไลน์. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2563 สืบค้นจาก http://www.sri.cmu.ac.th/sriweb/th/news/index.php?...
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน. (2551). วัฒนธรรมประเพณีชนเผ่าจังหวัดแม่ฮ่องสอน.
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน. (2564). ข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะแย (กะเหรี่ยงแดง) จังหวัดแม่ฮ่องสอน.ศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จังหวัดแม่ฮ่องสอน (สกสว.มส.). แม่ฮ่องสอน. หจก.ดาราวรรณการพิมพ์
Alex Q. Arbuckle. (1935). Padaung women in London ออนไลน์. สืบค้นเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 สืบค้นจาก https://mashable.com/2015/08/14/padaung-women-lond...



เท ชุติขจรไพร, บ้านห้วยโป่งอ่อน ตำบลหมอกจำแป่ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน, 24 มกราคม 2561, ศิราพร แป๊ะเส็ง ผู้สัมภาษณ์

ปัญญา พงศ์ธรรมชาติ, ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน, บ้านห้วยโป่งอ่อน ตำบลหมอกจำแป่ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน, 24 มกราคม 2561, ศิราพร แป๊ะเส็ง ผู้สัมภาษณ์
แปล ปราสาทดียิ่ง, บ้านห้วยผึ้ง ตำบลห้วยผา อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน, 25 มกราคม 2561/ 13 เมษายน 2561, ศิราพร แป๊ะเส็ง ผู้สัมภาษณ์
พรรณรัตน์ จงอมรรัตน์ บ้านห้วยผึ้ง ตำบลห้วยผา อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน 23 มกราคม 2561/ 15 เมษายน 2561, ศิราพร แป๊ะเส็ง ผู้สัมภาษณ์
ลู พงศ์พิรมย์, บ้านห้วยโป่งอ่อน ตำบลหมอกจำแป่ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน, 24 มกราคม 2561, ศิราพร แป๊ะเส็ง ผู้สัมภาษณ์
สุชาติ งามประพฤติ ผู้ใหญ่บ้าน บ้านห้วยผึ้ง ตำบลห้วยผา อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน.25 มกราคม 2561/ 14 เมษายน 2561, ศิราพร แป๊ะเส็ง ผู้สัมภาษณ์
สุวิชาน พัฒนไพรวัลย์, วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒแม่สอด จังหวัดตาก, 25 มีนาคม 2561, ศิราพร แป๊ะเส็ง ผู้สัมภาษณ์
อำนาจ มีเมืองงาม ผู้ใหญ่บ้าน บ้านห้วยโป่งอ่อน ตำบลหมอกจำแป่ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน 24 มกราคม 2561/ 15 เมษายน 2561, ศิราพร แป๊ะเส็ง ผู้สัมภาษณ์
เอกชัย ธิตินันท์วิริยกุล, ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน, บ้านห้วยโป่งอ่อน ตำบลหมอกจำแป่ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน, 24 มกราคม 2561, ศิราพร แป๊ะเส็ง ผู้สัมภาษณ์

close
ลืมรหัสผ่าน?
กรุณากรอกอีเมลที่ท่านสมัครสมาชิกไว้เพื่อรับรหัสผ่านใหม่
ระบบจัดส่งการสร้างรหัสผ่านใหม่ให้ท่านทางอีเมลเรียบร้อยแล้ว
นโยบายความเป็นส่วนตัว