เอกสารอ้างอิง
จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา. (2562). การสำรวจและศึกษาพลวัตทางสังคมและวัฒนธรรมชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยง กรณีศึกษาชุมชนในพื้นที่อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ภาษาไทย
ภาษาอังกฤษ
จังหวัด | อำเภอ | ตำบล | หมู่บ้าน | จำนวนครัวเรือน | จำนวนประชากร | ละติจูด | ลองติจูด |
---|---|---|---|---|---|---|---|
ประจวบคีรีขันธ์ | สามร้อยยอด | ศาลาลัย | บ้านป่าหมาก | 935 | 12.27639 | 99.574414 |
บ้านป่าหมาก ตั้งอยู่บริเวณหมู่ที่ 8 ตำบลศาลาลัย อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นหมู่บ้านขนาดกลางตั้งอยู่บนส่วนหนึ่งของเทือกเขาตะนาวศรี เป็นหมู่บ้านสุดท้ายของชายแดนไทยทางตะวันตกในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และตั้งอยู่ในระนาบเดียวกับเมืองมะริดและเมืองทวายของประเทศเมียนมา (จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา, 2562, น.123)
ลักษณะพื้นที่ของชุมชนเป็นที่ราบหุบเขา ตั้งอยู่ภายในเขตอุทยานแห่งชาติกุยบุรี มีลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน แนวเขาขวางตัวในทิศเหนือ-ใต้ เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาตะนาวศรีที่กั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเมียนมา มีสภาพพื้นที่แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ แบบลูกคลื่นลอนชั้นถึงเนินเขา มีความลาดชันประมาณ 80-100 เมตร พื้นที่ส่วนใหญ่จะถูกบุกรุกแผ้วถางทำไร่สับปะรด อ้อย ผักต่าง ๆ และแบบภูเขา ประกอบด้วยเขาวังไทรดิ่ง เขาหนองหว้า เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารของลำห้วยลำธารหลายสาย เช่น ห้วยตะลุยแพรกซ้าย ห้วยตะลุยแพรกขวา (ธรรมนูญ และคณะ, 2553, น. 22-23 อ้างถึงใน จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา, 2562, น. 126-127)
"รุ่นพ่อแม่ผมอยู่มากว่า 30 ปีแล้ว มาจากฝั่งพม่ากัน แล้วก็มาตั้งบ้านอยู่แถวสวนทุเรียน แถวนั้นมีสวนทุเรียนเยอะ เขาว่าปลูกกันมากว่าร้อยปี แถวนั้นก็เรียกว่าบ้านแพรกตะคร้อในปัจจุบัน ทีนี้พอทหารเริ่มมาไล่ให้อยู่กันเป็นที่เป็นหมู่บ้านช่วงปี 2539 เราก็ขยับขยายมาบริเวณบ้านป่าหมากนี้ เดี๋ยวนี้ดีกว่าตอนที่ผมขึ้นมาเมื่อก่อนจะว่าไปบ้านป่าหมากเกิดการก่อร่างชุมชนมาไม่นาน จากการอพยพย้ายถิ่นทํากินของพี่น้องชาวปกากะญอจากบ้านสวนทุเรียนแถบทางไปน้ำตกแพรกตะคร้อ ผู้คนอาศัยป่าเพื่ออยู่กินและผูกพันกับมันมานานแล้ว" (นายเยี่ยม โต๊ะไธสง , สัมภาษณ์ 28 มีนาคม 2562; อ้างถึงใน จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา, 2562, น. 125)
จากคำบอกเล่าของ คุณแดง ใจเย็น (สัมภาษณ์, 28 มีนาม 2562 อ้างถึงใน จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา, 2562, น. 133) ได้กล่าวถึงการสืบต้นตระกูลของกะหร่าง บ้านป่าหมาก สามารถย้อนเล่าไปได้ 5 รุ่นด้วยกัน โดยคุณแดงเล่าว่า "…ที่ป่าหมากนี้อยู่กันมา 5 ชั่วคนแล้ว ตั้งแต่ พือโลโพ พือตอฮิ พือจะเย พะลวยบี พะลวยบี (พ่อ) และผม…" ซึ่งภายหลังจากที่มีการกวาดต้อนและให้ชาวกะเหรี่ยงมาอาศัยอยู่รวมกัน ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่มาจัดการทำบัตรแสดงตัวให้กับชาวกะหร่างที่ถูกกวาดต้อน ซึ่งก่อนหน้านี้ชาวกะเหรี่ยงมีเพียงชื่อไม่มีนามสกุล จึงมีการตั้งนามสกุลเกิดขึ้นโดยมีอยู่ด้วยกัน 3 นามสกุล คือ ใจเย็น โคสินธุ์และจันทร์อุปถัมภ์ โดยที่มาของชื่อนามสกุลนั้น ผู้ศึกษาสามารถสอบถามได้เพียงแค่นามสกุลใจเย็น โดยคุณแดงให้ข้อมูลว่าเป็นชื่อของปู่คุณแดง จึงนำมาตั้งเป็นนามสกุลให้ใช้กันในกลุ่มลูกหลาน ซึ่งนามสกุลใจเย็นเป็นนามสกุลที่พบได้มากที่สุดในบ้านป่าหมาก
การอพยพของชาวกะเหรี่ยงที่บ้านป่าหมากนี้ มีคำเล่าขานของผู้คนในชุมชนว่าหมู่บ้านมีอายุประมาณ 200-300 ปี โดยมีการอพยพโยกย้ายมาจากพม่าตั้งแต่ครั้งที่พระเจ้าบุเรงนองทํารุนแรงต่อกะเหรี่ยงเมื่อครั้งสร้างเจดีย์ชเวดากอง ปัจจุบันเมื่อบริเวณดังกล่าวกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนไทย (จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา, 2562, น. 123)
วิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงแต่เดิมนั้นมีรูปแบบวิถีชีวิตแบบล่าสัตว์หาของป่า ดังนั้นจึงไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง จะย้ายที่อยู่ไปตามสภาพความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อม ทำเลที่เหมาะสม สำหรับการสร้างบ้านเรือนนั้น คือ ต้องอยู่ใกล้แหล่งน้ำ เนื่องจากน้ำเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิต เมื่อได้ที่อยู่แล้วจะทำการถางป่าเพื่อทำไร่ปลูกข้าว มีลักษณะเป็นไร่เลื่อยลอยคือเปลี่ยนที่ทำกินไปเรื่อย ๆ หลังจากที่ดิน บริเวณนั้นไม่สามารถสร้างผลผลิตได้แล้ว คุณแดง ใจเย็น กล่าวว่า "…ปีนี้เราอยู่นี้ ปีหน้าย้ายไปอยู่ข้างบน เมื่อก่อนกะเหรี่ยงไปอยู่ตรงแพรกตะลุย พอพี่น้องไทยขึ้นมาเราก็ถอย ๆ…" (แดง ใจเย็น, สัมภาษณ์ 29 มีนาคม 2562 อ้างถึงใน จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา, 2562, น. 129)
วิถีชีวิต ของชาวกะเหรี่ยงชุมชนบ้านป่าหมาก เดิมทีชาวกะเหรี่ยงมีรูปแบบวิถีชีวิตแบบล่าสัตว์หาของป่า ดังนั้นจึงไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งจะย้ายที่อยู่ไปตามสภาพความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อม ทำเลที่เหมาะสมสำหรับการสร้างบ้านเรือนนั้น คือ ต้องอยู่ใกล้แหล่งน้ำ เนื่องจากน้ำเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิต เมื่อได้ที่อยู่แล้วจะทำการถางป่าเพื่อทำไร่ปลูกข้าว มีลักษณะเป็นไร่เลื่อยลอยคือเปลี่ยนที่ทำกินไปเรื่อย ๆ หลังจากที่ดินบริเวณนั้นไม่สามารถสร้างผลผลิตได้แล้ว ภายหลังจากที่ถูกปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตโดยทางการไทยจึงปรับมาประกอบอาชีพแบบสังคม เกษตรกรรม มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งและรวมตัวกันเป็นหมู่บ้าน (จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา, 2562, น. 123)
อาชีพ ที่สร้างรายได้หลักให้กับชาวกะหร่างบ้านป่าหมากคือเกษตรกรรมและรับจ้าง
เกษตรกรรม การทำเกษตรแบบดั้งเดิมนั้นเป็นการทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน กล่าวคือ เมื่อได้ผลผลิตจากที่ดินผืนนี้แล้วจะทำการเผาซากพืชและย้ายไปยังที่ทำกินแหล่งอื่นเพื่อให้ดินในบริเวณที่เผาไปนั้นได้ฟื้นตัวและกลับมามีแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งโดยมากแล้วจะใช้เวลาประมาณ 3 ปี จึงจะวนกลับมาปลูกยังที่ดินแปลงเดิม (จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา. 2562, น.150)2, น. 150)
ข้าวไร่ พืชหลักที่ปลูกกันในอดีตคือ "ข้าวไร่" ไม่ทราบสายพันธุ์ โดยเริ่มต้นถางป่าเพื่อปรับพื้นที่ในช่วงเดือน 4 เมื่อถางแล้วจึงเผาป่าเพื่อให้เหลือที่ดินโล่ง ๆ หากเผาไม่หมดหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ไฟกินไม่ดี" จะต้องรื้อบรรดาตอไม้หรือเศษกิ่งไม้ที่ไม่ติดไฟออก และเผาอีกจนกว่าจะหมด หลังจากนั้นจึงทิ้งที่ดินผืนดังกล่าวไว้จนถึงเดือน 7 จึงเริ่มทำนา โดยใช้วิธีการขุดหลุมแล้วหยอดเมล็ดข้าวลงไปและรอเวลาให้ธรรมชาติเป็นผู้จัดการ คุณคะนึงกล่าวกับผู้ศึกษาว่า "...ปลูกข้าวก็เหมือนเล่นหุ้นกับเทวดา ปีไหนน้ำเยอะน้ำน้อยเราก็ต้องเดากันไป..." (คะนึง โคสินธุ์, สัมภาษณ์ 30 มีนาคม 2562 อ้างถึงใน จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา, 2562, น. 150) เมื่อไม่มีการควบคุมปัจจัยการผลิตจึงส่งผลให้ข้าวที่ได้มีปริมาณน้อย ผลผลิตที่ได้มีเพียง 2-3 เกวียนต่อการปลูกข้าวไร่ 20 ไร่เท่านั้น ดังนั้นข้าวที่ปลูกจึงนำไว้รับประทานกันภายในครัวเรือนและเก็บไว้เป็นเมล็ดพันธุ์ในปีถัดไปเท่านั้น แต่ในปัจจุบันการปลูกข้าวลดลงไปมากแล้วเนื่องจากต้องเสียแรงเยอะแต่ได้ผลผลิตไม่คุ้ม (จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา, 2562, น.150)
ไร่นาสวนผสม ภายหลังจากที่รัฐเข้ามาจัดการจนเกิดเป็นชุมชนบ้านป่าหมาก จึงเลิกทำไร่หมุนเวียนประกอบกับมีประกาศให้พื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ที่ดินทำกินจากเดิมที่ไม่มีการจำกัดจำนวนจึงเหลือเพียงแค่ครอบครัวละ 5 ไร่ และไม่สามารถซื้อขายในเชิงพาณิชย์ได้ นอกจากมอบให้แก่ลูกหลานเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นไร่นาสวนผสมที่สามารถปลูกพืชหลายชนิดได้ ซึ่งในที่ดิน 5 ไร่ นั้นจะปลูกข้าวและพืชผักสวนครัว อาทิเช่น พริก มะเขือ เป็นต้น และหากเหลือกินก็จะนำลงมาขายที่ตัวเมืองนอกจากนี้แล้วยังทำสวนกล้วย ได้แก่ กล้วยน้ำว้า กล้วยหอมและกล้วยไข่ โดยช่วงไหนที่ราคาดีจะมีแม่ค้าขึ้นมารับซื้อในหมู่บ้าน แต่หากราคาไม่ดีก็ต้องขายกันเองในหมู่บ้าน เนื่องจากแม่ค้าจะไม่เข้ามารับซื้อเพราะทางเข้าหมู่บ้านลำบากและไม่คุ้มค่าเหนื่อยที่ต้องเดินทางมา โดยที่ดิน 5 ไร่ที่ได้รับการจัดสรรนี้มีข้อกำหนดในการใช้คือ ผู้ใช้ต้องไม่แอบขยายหลักเขตของตนเองและต้องไม่ปล่อยให้ที่ดินรกร้าง ไม่เช่นนั้นจะถูกยึดที่ทำกิน ซึ่งชาวบ้านบ้านป่าหมากในตอนนี้จำนวนทั้งสิ้น 27 ครอบครัว ต้องถูกยึดที่ดินทำกินไป เนื่องจากข้อกำหนดไม่สอดคล้องกับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมที่ปฏิบัติกันมา (จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา, 2562, น. 150)
ไร่กาแฟ การทำไร่กาแฟเริ่มประมาณหลังปี พ.ศ. 2550 โดยมีเจ้าอาวาสวัดป่าช้างขาวที่ธุดงค์เข้ามาในชุมชนเมื่อปี พ.ศ. 2549 เป็นผู้แนะนำให้ทดลองปลูก จากนั้นจึงเริ่มบอกให้ชาวบ้านปลูกตามมาเรื่อย ๆ เขาเล่าว่าเดิมทีที่แห่งนี้มีเมล็ดพันธุ์กาแฟของตนเองอยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่มีใครทราบว่าเป็นพันธุ์อะไร เมื่อเจ้าอาวาสฯ แนะนำและให้เมล็ดพันธุ์กาแฟโรบัสต้าจากจังหวัดชุมพร ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเจ้าอาวาสมาปลูกจึงเกิดการผสมเกสรกันทำให้รสชาติกาแฟเปลี่ยนไปจนกลายเป็นเอกลักษณ์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2555 ผลผลิตกาแฟดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชาวบ้านจึงหันมาทำไร่กาแฟผสมกับการปลูกพืชอื่น ๆ มากกว่า 73 ครัวเรือน และรวมตัวกันตั้งเป็นกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟบ้านป่าหมาก โดยผู้ที่ต้องการเข้าเป็นสมาชิกในกลุ่มต้องลงหุ้น 1 หุ้น เท่ากับกาแฟ 10 กิโลกรัม และจะได้เงินปันผลทุก 6 เดือน เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว ผลผลิตทางกลุ่มจะรับซื้อเมล็ดกาแฟที่ตากจนแห้งแล้วจากสมาชิกในกลุ่มก่อนและหากยังได้จำนวนไม่มากเท่าที่ต้องการจึงจะรับซื้อจากเกษตรกรรายอื่น ซึ่งการรวมตัวกันเป็นกลุ่มเกษตรกรในรูปแบบนี้จะช่วยให้สามารถควบคุมคุณภาพของเมล็ดกาแฟและทำให้เพิ่มมูลค่าของเมล็ดกาแฟได้อีกด้วย (จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา, 2562, น. 151)
กาแฟโรบัสต้าของกลุ่มเกษตรกรป่าช้าวขาว
(ที่มา: จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา, 2562, น. 151)
ต้นกาแฟนั้นสามารถปลูกได้ดีที่บ้านป่าหมากเนื่องจากมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มีอุณหภูมิและความชื้นที่พอเหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของต้นกาแฟจึงทำให้เมล็ดกาแฟมีคุณภาพ โดยต้นกาแฟหลังจากปลูกแล้วประมาณ 5 ปี จึงจะสามารถให้ผลผลิตได้ ในการเก็บเมล็ดกาแฟนั้นจำเป็นต้องเก็บผลที่สุกแล้วหรือที่เรียกกันว่า ลูกเชอร์รี่ เนื่องจากมีสีแดงสดคล้ายผลเชอร์รี่ หากผลยังไม่สุกจะทำให้กาแฟที่ได้มีรสเปรี้ยว หลังจากนั้นจึงนำเมล็ดกาแฟที่ได้ไปตากจนแห้งโดยต้องตากในโรงเรือนที่ปิดมิดชิดและควรเลือกสถานที่ที่ไม่มีกลิ่นเหม็น เนื่องจากเมล็ดกาแฟจะมีคุณสมบัติในการดูดซับกลิ่น ดังนั้นหากสร้างโรงเรือนใกล้กับพื้นที่ที่มีกลิ่นเหม็นก็จะทำให้กลิ่นของกาแฟเปลี่ยนไป เมื่อตากเมล็ดจนแห้งแล้วเกษตรกรในกลุ่มจะนัดกันเพื่อนำเมล็ดกาแฟมาสีเพื่อให้เปลือกหลุด หลังจากนั้นจึงส่งเมล็ดกาแฟเข้ากลุ่ม ทางกลุ่มจะนำเมล็ดที่ได้มาคั่วจนสีเข้มขึ้น ในช่วงแรกนั้นคั่วกับกระทะทองเหลืองแต่ทำให้เมล็ดกาแฟสุกไม่เท่ากัน ท่านเจ้าอาวาสจึงคิดประดิษฐ์อุปกรณ์ในการคั่วโดยดัดแปลงโอ่งที่ใช้ใส่น้ำมาไว้ใส่เมล็ดกาแฟและติดมอเตอร์ให้หมุนโอ่งตลอดเวลา จึงทำให้ได้เมล็ดกาแฟที่สุดเสมอกัน ซึ่งในปัจจุบันสามารถขายได้ในราคากิโลกรัมละ 100 บาท โดยแหล่งซื้อขายที่สำคัญในปัจจุบันคือ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนก้องวัลเล่ย์ ที่มีการพัฒนาสายพันธุ์กาแฟของไทยให้มีคุณภาพทัดเทียมกับต่างประเทศ (จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา, 2562, น. 152)
นอกจากเมล็ดกาแฟที่เป็นสินค้าหลักแล้ว ทางกลุ่มยังมีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกาแฟมีทั้งชาดอกกาแฟ และสบู่สครับกากกาแฟ โดยสินค้าทั้งหมดมีจัดจำหน่ายอยู่ที่ร้านกาแฟโรบัสต้าป่าช้างขาว ซึ่งเป็นร้านกาแฟที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับการเข้ามาของนักท่องเที่ยว และร้านกาแฟดังกล่าวยังสร้างรายได้ให้กับเยาวชนในชุมชนอีกด้วย เนื่องจากมีการนำเยาวชนมาช่วยทำงานร้านกาแฟในเวลาว่าง
รับจ้าง นอกจากทำการเกษตรแล้ว ยังมีผู้ชายบางส่วนที่ออกไปประกอบอาชีพรับจ้างเป็นแรงงานรายวันเนื่องจากบางคนไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง ซึ่งส่วนมากแล้วจะไปเป็นแรงงานก่อสร้างและแรงงานในสวนยางและสวนสับปะรดบริเวณเขาจ้าว โดยจะออกไปทำงานโดยรถมอเตอร์ไซต์ในตอนเช้าและกลับมาบ้านในตอนเย็น ดังนั้นแล้วช่วงกลางวันเราจะพบผู้ชายวัยทำงานในหมู่บ้านค่อนข้างน้อย (จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา, 2562, น. 152)
เดิมโครงสร้างของครอบครัวเริ่มจากการเป็นครอบครัวขยายที่มีขนาดใหญ่ มีสมาชิกหลากหลายรุ่นอยู่รวมกัน และมีลูกหลานหลายคนเพื่อช่วยกันทํามาหากินโดยเฉพาะการทําไร่ ตลอดจนทํางานบ้าน เช่น ซักเสื้อผ้า ตําข้าว ตักน้ำ เป็นต้น แต่ในปัจจุบันครอบครัวของกะหร่างบ้านป่าหมากมีขนาดเล็กลง ส่วนมากในชุมชนมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยวเนื่องจากมีลูกน้อยลง ปัจจุบันพบว่าในบางครอบครัวมีสมาชิกเพียง 4 - 5 คนเท่านั้น (จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา, 2562, น. 133)
อย่างไรก็ตามการสมรสหรือการสร้างครอบครัวในอดีตนั้นจะเป็นการเลือกคู่โดยผู้ใหญ่เป็นธุระจัดการให้ คู่หนุ่มสาวแทบไม่เคยเจอหน้ากันแต่ต้องอาศัยการพูดคุยของผู้ใหญ่จึงจะแต่งงานกัน ผู้ใหญ่จะมีบทบาทในการเลือกคู่แต่งงานให้หนุ่มสาว บางครั้งมีการอยู่ด้วยกันก่อนแต่งแล้วจึงทำพิธีขอขมากันภายหลังโดยพาญาติผู้ใหญ่ไปทำพิธีขอขมาผีบรรพบุรุษและขอขมาญาติผู้ใหญ่ก่อน แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเป็นอย่างมากทั้งโครงสร้างของครอบครัวและการสมรส ซึ่งในอดีตจะเป็นระบบคลุมถุงชน แต่จากการพูดคุยกับคนในชุมชนพบว่ามีการเลือกคู่เองเพิ่มมากขึ้น โดยจะเป็นลักษณะของต่างคนต่างชอบพอกันเองแล้วจึงไปบอกผู้ใหญ่ เพื่อให้ผู้ใหญ่ไปทำการทาบทาม สู่ขอและจัดการแต่งงานตามประเพณี ในขณะเดียวกันก็จะมีอีกส่วนหนึ่งที่คู่หญิงชายจะไปพบกันที่ต่างเมือง เนื่องจากต่างออกไปทำงานในพื้นที่นอกชุมชนและอยู่กินกันโดยไม่ได้แต่งงานกันตามประเพณี แต่หลังจากนั้นคู่หญิงชายมักจะมาทำพิธีขอขมากันที่บ้านเพื่อให้ญาติผู้ใหญ่ได้รับรู้ว่าแต่งงานกันแล้วอย่างเป็นทางการ แต่อย่างไรก็ตามการแต่งงานแบบคลุมถุงชนซึ่งเป็นรูปแบบสำคัญในอดีตที่ลดความสำคัญลงไปก็ไม่ได้หายไปทั้งหมด จากการลงพื้นที่ภาคสนามยังพบบางครอบครัวที่แต่งงานกันโดยความเห็นชอบของครอบครัวเป็นหลัก (จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา, 2562, น. 133)
กระนั้นโดยทั่วไปการแต่งงานของคนในชุมชนบ้านป่าหมากไม่มีพิธีหมั้น มีเพียงพิธีแต่งงานแบบเรียบง่าย การแต่งงานจะจัดขึ้นในหมู่บ้านมักจะเป็นบ้านเจ้าสาวเป็นหลัก สำหรับสินสอดอาจมีหรือไม่มีก็ได้ มีเพียงหมอขวัญมาจัดพิธีให้ถูกต้องตามประเพณี ชาวกระเหรี่ยงในสมัยก่อนมีความคาดหวังว่าการแต่งงานก็เพื่อสืบตระกูลและช่วยกันทำมาหากิน ในปัจจุบันทางด้านพิธีหรือประเพณีที่ใช้ในการแต่งงานมีการเปลี่ยนแปลงไปตามประเพณีของไทยมากขึ้น ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก็คือความเป็นเมืองที่เริ่มเข้ามาสู่สังคมของบ้านป่าหมากมากขึ้นเรื่อย ๆ (จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา, 2562, น. 134)
หากสืบย้อนต้นตระกูลของบ้านป่าหมากจากคําบอกเล่าของคุณแดง ใจเย็น พบว่าสามารถย้อนไปได้ราว 5 รุ่น โดยคุณแดงเล่าว่า "...ที่ป่าหมากนี้อยู่กันมา 5 ชั่วคนแล้ว ตั้งแต่ พือโลโพ พือตอฮิ พือจะเย พะลวยบี พะลวยบี (พ่อ) และผม..." (แดง ใจเย็น, สัมภาษณ์ 29 มีนาคม 2562 อ้างถึงใน จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา, 2562, น. 133) ซึ่งภายหลังจากที่มีการกวาดต้อนและให้ชาวกะเหรี่ยงมาอาศัยอยู่รวมกัน ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่มาจัดการทําบัตรแสดงตัวให้ ซึ่งก่อนหน้านี้ชาวกะเหรี่ยงมีเพียงชื่อไม่มีนามสกุลจึงมีการตั้งนามสกุลเกิดขึ้นโดยมีอยู่ด้วยกัน 3 นามสกุล คือ ใจเย็น โคสินธุ์และจันทร์อุปถัมภ์ โดยที่มาของชื่อนามสกุลนั้น ผู้ศึกษาสามารถสอบถามได้เพียงแค่นามสกุลใจเย็น โดยคุณแดงให้ข้อมูลว่าเป็นชื่อของปู่คุณแดง จึงนํามาตั้งเป็นนามสกุลให้ใช้กันในกลุ่มลูกหลาน ซึ่งนามสกุลใจเย็นเป็นนามสกุลที่พบได้มากที่สุดในบ้านป่าหมาก (จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา, 2562, น. 133)
การแต่งกาย ในอดีตการแต่งกายจะมีลักษณะของการดํารงอัตลักษณ์ดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นการใส่เสื้อผ้าที่แสดงสถานะของผู้หญิง โดยผู้หญิงทุกวัยที่ยังไม่แต่งงานมักจะสวมชุดยาวสีขาว (เฌวา) ผู้หญิงที่มีครอบครัวจะเปลี่ยนมาเป็นสวมใส่เสื้อสีดําหรือที่เรียกว่า "เชโม่ซู" และผ้าถุง (ผ้าซิ่น) สําหรับผู้หญิงสาวทุกคนจะสวมชุดทรงกระสอบยาวสีขาวหรือสีแดงถึงข้อเท้า บางชุดทอเป็นเส้นสีแดงเล็ก ๆ รอบสะโพกและกลางขา แขนสั้นผ่าคอเป็นรูปสามเหลี่ยม ผมไว้มวยข้างหลังพันหลายรอบด้วยเส้นด้ายถักสีแดงหรือโพกด้วยผ้าสีขาว เจาะรูหู ส่วนผู้หญิงที่แต่งงานแล้วมักสวมเสื้อสั้นลงมาใต้เอวสีครามเข้ม ตรงครึ่งอกล่างเย็บด้วยเส้นด้ายกับลูกเดือยหินสีขาวเป็นรูปตารางหมากรุก หรือเป็นจุดสีขาวแต่บางกลุ่มก็ทอยกช่วงเอวแล้วทอจกดอกแยกสีผสมเข้าไป ส่วนผู้ชายมักสวมกางเกงขายาวสีดํา สีน้ำเงิน หรือกรมท่าและเสื้อชุดทรงกระสอบหลวม ๆ ไม่มีแขน บางคนสวมเสื้อเชิ้ตข้างในแล้วทับด้วยเสื้อชุดสีแดง ผู้ชายบางคนสวมเสื้อชุดสีดํา แต่ทุกคนต้องมีเสื้อชุดสีแดงเตรียมไว้เสมอ ส่วนผู้ชายวัยรุ่นมักใส่เสื้อสีแดงมีลวดลายเป็นเส้นขวาง สําหรับเด็กผู้หญิงแต่งกายตามคล้ายหญิงสาวยังไม่แต่งงาน เพียงแต่ใส่สีสันสดใส ส่วนใหญ่จะเป็นสีชมพู สีแดง บางครั้งมีพู่ห้อย (ซูมอ ใจเย็น, สัมภาษณ์ อ้างถึงใน จักรี โพธิมณี และศศิธร ศิลป์วุฒยา, 2562, น. 142)