เอกสารอ้างอิง
จักรี โพธิมณี. (2562). การสำรวจและศึกษาพลวัตทางสังคมและวัฒนธรรมชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยง กรณีศึกษา ชุมชนในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ภาษาไทย
ภาษาอังกฤษ
สัมภาษณ์
จังหวัด | อำเภอ | ตำบล | หมู่บ้าน | จำนวนครัวเรือน | จำนวนประชากร | ละติจูด | ลองติจูด |
---|---|---|---|---|---|---|---|
ตาก | แม่สอด | พะวอ | บ้านปูแป้ | 855 | 16.83861 | 98.778486 |
ชาวกะเหรี่ยงเป็นประชากรชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่ของจังหวัดตาก ซึ่งเป็นจังหวัดมีเนื้อที่ตั้งอยู่บนทิวเขาถนนธงชัย ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง พื้นที่ราบจำนวนน้อย มีชุมชนชาติพันธุ์อาศัยกระจายอยู่ทั่วทุกอำเภอ จักรี โพธิมณี (2562, น.5) อธิบายว่า จากข้อมูลการสำรวจเชิงประชากรชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง ทำเนียบชุมชนบนพื้นที่สูงของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ พบว่า กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (as an ethnic category) เป็นกลุ่มที่การกระจายตัวของชุมชนมากที่สุด ที่ได้รับการสำรวจจากทางราชการ มีจำนวนกว่า 150,000 คน มีชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (ทั้งชาวปากะญอ/ปะกาเกอะญอ และโผล่ว/โปว์) จำนวน 420 กลุ่มบ้าน/ชุมชน มีครัวเรือนของ ชาวกะเหรี่ยงในจังหวัดตาก ประมาณ 28,943 หลังคาเรือน เฉพาะอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก มีชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงอาศัยอยู่ใน 6 ตำบล ได้แก่ ตำบลแม่กุ ตำบลด่านแม่ละเมา ตำบลมหาวัน ตำบลพระธาตุผาแดง ตำบลพะวอและตำบลท่าสายลวด ในจำนวนนี้ ตำบลพะวอมีกลุ่มบ้าน/ชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงมากที่สุด ส่วนตำบลท่าสายลวด สันนิษฐานว่า ชาวกะเหรี่ยงที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานจำนวนมากเป็นผู้พลัดถิ่นจากภัยสงครามความไม่สงบในพม่าเมื่อไม่กี่ทศวรรษก่อนหน้านี้ แล้วจึงเข้ามาตั้งถิ่นฐานถาวรบริเวณฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเมย ประเทศไทย อย่างไรก็ตามชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงนั้นอาศัยอยู่บริเวณสองฝั่งแม่น้ำเมย ชายแดนไทย-เมียนมา หลายครอบครัวมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกันชุมชนกะเหรี่ยงอื่น ๆ ในอำเภอแม่สอด อำเภอพบพระ อำเภออุ้มผางและอำเภออื่น ๆ ในจังหวัดตาก (จักรี โพธิมณี 2562, น.4)
ชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านปูแป้ ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบ สูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยปานกลางประมาณ 260 เมตร ห่างจากถนนทางหลวงทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 สายกลางสะพานมิตรภาพที่แม่สอด (เขตแดนไทย/พม่า) -มุกดาหาร หรือทางหลวงเอเชียสายหนึ่ง ระยะทางประมาณ 13.6 กิโลเมตร ห่างจากศาลเจ้าขุนพะวอประมาณ 16.6 กิโลเมตร (จักรี โพธิมณี 2562, น.73)
ชุมชนปูแป้ ตั้งอยู่ห่างจากชุมชนปางส่างคำซึ่งเป็นกลุ่มบ้านของชาวกะเหรี่ยง บนเขาพะวอบริเวณดอยภูคา เพียง 10 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาเดินทางผ่านภูเขาและเส้นทางทุรกันดารด้วยรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ ประมาณ 60 นาที (จักรี โพธิมณี 2562, น.73) ตั้งอยู่ใน หมู่ที่ 3 ตำบลพะวอ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นกลุ่มกะเหรี่ยงสะกอ หรือมักจะเรียกตัวเองว่า "ปกาเกอะญอ" หรือ "ปากะญอ" แล้วแต่ความถนัดของการออกเสียงของผู้พูด
บ้านปูแป้ “ปูแป้” เป็นชื่อเรียกชุมชนปากะญอแห่งนี้ตั้งแต่แรกตั้งกลุ่มบ้านคนในชุมชนสันนิษฐานว่า ชื่อนี้เป็นชื่อเรียกนกชนิดตามเสียงร้องของมัน นกชนิดนี้เคยพบจำนวนมากในชุมชน ซึ่งเป็นชุมชนดั้งเดิมของกลุ่มชุมชนที่เกิดขึ้นในตำบลพะวอ
แม้ว่าชาวกะเหรี่ยงบ้านปูแป้จะตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณพื้นราบ แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ของชุมชน ซึ่งเป็นพื้นที่ทำกินมีลักษณะเป็นเนินเขา สภาพดินเป็นดินร่วนปนทราย มีลำห้วยสำคัญคือ ลำห้วยแม่ละเมา ทางด้านทิศเหนือของชุมชนห้วยผาแดงและห้วยปูแป้ไหลผ่านหมู่บ้านเป็นแหล่งน้ำสำคัญของชุมชนในการเกษตรกรรม
แสดงการกระจายตัวของบ้านเรือนในชุมชนปูแป้
(ที่มา: จักรี โพธิมณี 2562, น.74)
แสดงการกระจายตัวของครัวเรือนในชุมชนปูแป้ โดยมีพื้นที่ทำกินอยู่รอบหมู่บ้าน ชุมชนปูแป้เป็นจุดสำคัญในการติดต่อสื่อสาร ไปมาหาสู่กันระหว่างชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่อยู่บนภูเขาขึ้นไปทางด้านเหนือของหมู่บ้าน ซึ่งได้แก่ กลุ่มบ้านกะเหรี่ยงในหมู่ 4 และหมู่ 5 ของตำบล เนื่องจากบริเวณที่ตั้งของหมู่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ทุรกันดาร ถนนมีลักษณะเป็นลูกรัง ไม่มีน้ำประปาและไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ เดินทางลำบากในหน้าฝน จักรี โพธิมณี, 2562, น.75)
แต่เดิมเมื่อแรกตั้งหมู่บ้านประมาณ 100 กว่าปีที่ผ่านมา ผู้นำคนแรกชื่อว่า ซอกแก นั่นคือ พ่อของผู้ใหญ่มะลิ ชาญวนาเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ รวมกลุ่มครัวเรือนขึ้นมาบริเวณนี้ คนในชุมชนยังไม่มีนามสกุลใช้ สภาพทั่วไปยังไม่มีไฟฟ้าใช้ตะเกียงในการส่องสว่าง จักรยานเพียงหนึ่งคัน วิทยุชุมชนหนึ่งเครื่องนั้นเป็นสิ่งทันสมัยที่สุด เมื่อย้อนกลับไปเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว แต่ละบ้านตั้งอยู่ห่างกัน เมื่อถึงเวลาเย็นจะมารวมตัวกันที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งมีเครื่องวิทยุ เพื่อรอฟังการจัดรายการเพลงปากะญอจากจังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาเมื่อประมาณปี 2520 จึงมีสาขาของศูนย์พัฒนาชาวเขาขณะนั้นเข้ามาในหมู่บ้าน มีครูเชื้อสายปากะญอเป็นคนสอนหนังสือภาษาไทยให้แก่เด็กในหมู่บ้าน ช่วงประมาณปี 2523 จึงเริ่มมีไฟฟ้าใช้ตามมาด้วยโครงการพัฒนาอื่น ๆ (จักรี โพธิมณี 2562, น.78)
ในการจัดตั้งศูนย์พัฒนาชาวเขา ที่บ้านปูแป้ในครั้งนั้น สมบัติ ศักดิ์ชัยสิทธิ์ (2561, สัมภาษณ์ อ้างถึงใน จักรี โพธิมณี 2562, น.78-79) อายุ 51 ปี ได้เล่าประสบการณ์ ของการได้เข้าไปเรียนหนังสือภาษาไทยตอนนั้นว่า
"ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่ เท่าที่จำได้ ตื่นเต้นตอนเขาให้ไปเรียน ตอนแรกก็ไม่ตั้งใจเรียนหรอก เพราะเด็กเนอะตอนนั้น อยากไปเล่น อยากไปไร่กับพ่อกับแม่มากกว่า เพื่อนไปเราก็ตามไป ... ใช้อาคารที่เป็นโบส์ถคลิสต์ปัจจุบันนี้ เท่าที่จำได้ เด็กเรียนไม่เยอะ มีครูอยู่ 3 คน เอ...จำชื่อครูไม่ได้แล้ว เรียนสอนอยู่หลายปี 4 5 ปี ... ไปเพราะได้เจอเพื่อน กับมีของกิน ขนม แต่พอมานั่งนึกย้อนแล้ว ก็ได้อ่านออกเขียนได้ก็เพราะศูนย์ฯนั่นแหล่ะ พอศูนย์ยุบไป เด็ก ๆ ก็เข้าโรงเรียนแทน...”
สถานที่/หลักฐาน/เอกสารทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของชุมชน
เช่นเดียวกับชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงหลายชุมชนในอำเภอแม่สอด "โคะ" หรือ เจดีย์ทรายถือว่าเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของชุมชน อันเป็นหมุดหรือหลักสำคัญของการเลือกทำเลในกาตตั้งชุมชนเป็นหลักฐานของชุมชนที่มีอายุเก่าแก่ ชาวกะเหรี่ยงเมื่อตั้งหมู่บ้านจะมีโคะทรายบริเวณสำคัญของหมู่บ้าน เช่น เนินสูงกลางหมู่บ้าน หรือ ใกล้ต้นไม้ใหญ่ (ต้นโพธิ์) เชื่อกันว่า “มีความศักดิ์สิทธิ์ ดูแลหมู่บ้าน เป็นเหมือนเทพ” อนุสรณ์ ทวีชัยไพศาล, สัมภาษณ์, 2561 อ้างถึงใน จักรี โพธิมณี, 2562, น.86)
"โค๊ะ" หรือเจดีย์ทราย ของบ้านปูแป้ ตั้งอยู่ในเขตของวัดบ้านปูแป้
(ที่มา: จักรี โพธิมณี 2562, น.91)
การประกอบอาชีพของคนในชุมชนคือเกษตรกรรมแทบทุกครัวเรือน ในเรื่องของการทำเกษตรกรรมนั้นในชุมชนมีการเปลี่ยนพื้นที่ไร่หมุนเวียนแต่เดิมมาเป็นไร่ที่มีหลักแหล่งแน่ชัด อันเนื่องมาจากการเข้ามาประกาศเขตพื้นที่อุทยานของหน่วยงานภาครัฐ และการไม่ให้คนในชุมชนประกอบอาชีพทำไร่หมุนเวียนซึ่งรัฐมองว่า เป็นรูปแบบหนึ่งของการทำาลายป่า โดยการเพาะปลูกของชาวบ้านนั้นจะเป็นการปลูกข้าวโพดเพื่อการจำาหน่าย เป็นสินค้าเงินสดที่มีความสำคัญในการดำรงชีพในปัจจุบันเนื่องด้วยการส่งลูกหลานไปเรียนยังพื้นที่นอกชุมชนและความต้องการสินค้าอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในชีวิต เป็นเหตุให้เกิดความต้องการเงินสดและการปลูกข้าวสำหรับไว้บริโภคในครัวเรือน รวมทั้งการปลูกพืชผักต่าง ๆ ไว้บริโภค ซึ่งเป็นอาหารที่ต้องมีในทุกมื้ออาหาร ที่มาคู่กับน้ำพริกที่ขาดไม่ได้ในวิถีการกินของชาวปากะญอ ในชุมชนยังคงมีรูปแบบการแลกเปลี่ยนแบบเอามื้อเอาวันอยู่ ซึ่งแรงงานส่วนใหญ่นั้นจะเป็นการใช้ในงานปลูกข้าวโพดเป็นพืชที่ปลูกเพื่อการจำหน่าย มีการใช้แรงงานจำหน่ายมากในการปลูก นอกจากนี้ด้วยพื้นที่เกษตรกรรมที่ขายออกไปแต่แรงงานในครอบครัวมีจำนวนไม่มาก ลูกหลานจำนวนหนึ่งออกไปทำงานรับจ้างและเรียนหนังสือนอกชุมชน ทำให้เกิดการจ้างงานแรงงานชาวเมียนมาทั้งเสื้อชายปกาเกอะญอและพม่าเข้ามาทำงานในไร่ในชุมชน (จักรี โพธิมณี, 2562, น.90)
การปลูกข้าวไร่หรือทำนาของคนในชุมชนจะปลูกสำหรับบริโภคเป็นหลักจะมีการใช้แรงงานในครัวเรือน เมื่อก่อนนั้นการบุกเบิกพื้นที่ใหม่จะสังเกตจากต้นไม้ที่อุดมสมบูรณ์ อย่างดูจากต้นไผ่ เป็นต้น ภายหลังต้องทำเกษตรกรรมในพื้นที่เดิมเป็นเหตุให้มีความจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยในการบำรุงดิน (จักรี โพธิมณี, 2562, น.90)
การแต่งกายนั้น จะพบว่ามีการแต่งกายในชุดพื้นเมืองในกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชนเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ส่วนใหญ่ในชุมชนนั้นจะมีการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสมัยใหม่ และมีคนจากนอกชุมชนเข้ามาจำหน่ายเสื้อผ้าต่าง ๆ ในช่วงเย็นวันเสาร์และเช้าวันอาทิตย์ในการประกอบพิธีที่โบสถ์ของชาวคริสต์ ชุดพื้นเมืองในเรื่องของสีนั้นจะมีความแตกต่างกันระหว่างผู้หญิงที่แต่งงานและยังเป็นโสด โดยสำหรับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วนั้นจะมีการสวมใส่เสื้อสีดำและแดง ในขณะที่หญิงโสดจะแต่งด้วยเสื้อสีขาว จักรี โพธิมณี, 2562, น.70)
การก่อตั้งชุมชนชาวกะเหรี่ยงบ้านปูแป้ นั้น จากคำบอกเล่าของนางลออ สว่างดี (2561, สัมภาษณ์ อ้างถึงใน จักรี โพธิมณี, 2562, น.77-78) ได้เล่าว่า
"ในสมัยก่อนนี้ ก็ใช้ไม้ไผ่ ปลูกเรือนกันเอง การปลูเรือนมันก็เป็นภูมิปัญยาของรุ่นปู่รุ่นย่าเนอะ ไปเข้าป่า ตัดไม้ไผ่มา ตัดไม้ต้นใหญ่หน่อยทำเสาบ้าน เอาไม้ไผ่ทำเป็นฝาบ้าน ... เดี่ยวนี้ไม่มีป่าแล้ว เป็นไร่นาไปหมด ตัดไม้ทำบ้านไม่ได้ได้แล้ว เพราะไม้ไม่มี แต่ก็พอมีบ้านที่ทำจากไม้ไผ่อยู่บ้าง เขาไปเอาไม้มาจากนู่น... ทางอุ้มผาง ไม่ก็ซื้อ .... บ้านเดี๋ยวนี้ก็เป็นไม้แผ่น เป็นปูนไปหมดแล้ว ทนกว่า ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย ... ภูมิปัญญาเก่า ๆ ก็หายไป”