คำศัพท์

Hermeneutics

         คำว่า Hermeneutics  หมายถึงระเบียบวิธีที่ใช้ตีความข้อเขียน โดยเฉพาะการตีความข้อเขียนในคัมภีร์ไบเบิล ตีความวรรณกรรมและงานเขียนทางปรัชญา  เป็นวิธีการสำรวจตรวจสอบด้วยการสังเกตอย่างละเอียด และเป็นการทำความเข้าใจเรื่องราวของมนุษย์ด้วยสติปัญญา   นักวิชาการที่ใช้ระเบียบวิธีนี้ ได้แก่ นักประวัติศาสตร์ศิลป์ นักวิจารณ์วรรณคดี นักประวัติศาสตร์ศาสนา นักสังคมวิทยา เทววิทยา รวมทั้งนักมานุษยวิทยาด้วย  นักวิชาการเหล่านี้นำวิธีการนี้ไปใช้ด้วยทฤษฎีที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น การอธิบายด้วยกรอบเสรีนิยม วัตถุนิยม และอัตถประโยชน์นิยม  โดยเฉพาะในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19  วิธีการนี้จะนำไปใช้วิพากษ์วิจารณ์ทฤษฎีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม และปูทางไปสู่การทำงานภาคสนามของนักมานุษยวิทยาซึ่งต้องเก็บข้อมูลทางวัฒนธรรมอย่างละเอียด    ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา วิธีการนี้ทำให้เกิดการการศึกษาแนวตีความในทางมานุษยวิทยา

          ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19    นักเทววิทยาและนักปรัชญาชาวเยอรมัน ชื่อฟรีดริช   เอร์นส ชไลเออร์เมคเคอร์ คือผู้ที่นำแนวคิดและวิธีการ Hermeneutics จากคำสอนของโปรเตสแตนส์มาใช้กับชาวคริสเตียน   วิธีการนี้จะเน้นความสำคัญของการหยั่งรู้คำสอนทางศาสนาด้วยความคิด มิใช่จากการอ่านตัวหนังสือ  ฟรีดิชเสนอว่าหนทางที่จะทำความเข้าใจคำสอนทางศาสนาได้ ต้องศึกษาไวยกรณ์ของคำและความคิดที่แฝงอยู่ในคำเหล่านั้น  การทำความเข้าใจไวยกรณ์จะช่วยขจัดความคลุมเคลือที่มีอยู่ในภาษา และทำให้เข้าใจหลักเกณฑ์ต่างๆของคำและวลีที่มีอยู่ในคำสอน  ส่วนการทำความเข้าใจความคิดจะทำให้ผู้ศึกษารู้ว่าคำสอนต่างๆเหล่านั้นมีความเป็นมาอย่างไร   วิธีการของฟรีดิชจึงเป็นวิธีการศึกษาทางศาสนา ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อทำความเข้าใจเจตนารมย์ของพระเจ้าที่มอบให้กับโลกและมนุษย์  ถึงแม้ว่าวิธีการนี้ยังคงใช้อยู่ในการศึกษาของชาวคริสเตียน แต่มีอิทธิพลต่อการศึกษาทางมานุษยวิทยาน้อยมาก

          วิธีการหยั่งรู้ความคิดมนุษย์ในทางมานุษยวิทยา ได้รับอิทธิพลมาจากการศึกษาของนักปรัชญาชาวเยอรมันในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 คือ วิลเฮล์ม ดิลธีย์ และเม็ก เวเบอร์   ปรัชญาของดิลธีย์ อธิบายเกี่ยวกับชีวิตทางโลกของมนุษย์ ตรงข้ามกับคำอธิบายของฟรีดิช   กล่าวคือ ดิลธีย์อธิบายว่าศาสตร์เกี่ยวกับมนุษย์แตกต่างจากวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง  ศาสตร์เกี่ยวกับมนุษย์เป็นศาสตร์ที่ต้องใช้ความรู้สึก และต้องสังเกตสภาวะจิตใจของมนุษย์ซึ่งจะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้  จิตใจจึงเป็นเป้าหมายในการศึกษามนุษย์  ดิลธีย์ต้องการสร้างศาสตร์ที่เป็นสากลเพื่อศึกษามนุษย์ โดยหยิบยกเรื่องจิตสำนึก เจตจำนง และความคิดขึ้นมาเป็นประเด็นในการศึกษา  ดิลธีย์เชื่อว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีการสร้างและจัดระเบียบจิตสำนึกซึ่งคนแต่ละคนจะมีต่างกัน  มิได้มีสูตรสำเร็จเหมือนกฎทางวิทยาศาสตร์

          ความแตกต่างระหว่างฟรีดิชและดิลธีย์ก็คือ   ฟรีดิชเชื่อว่าศิลปะ วรรณคดี และการกระทำของมนุษย์เป็นผลมาจากอำนาจของพระเจ้าที่สิงสถิตย์อยู่ในวิญญาณมนุษย์เมื่อแรกเกิด   แต่ดิลธีย์เชื่อว่า จิตใจของมนุษย์เกิดขึ้นมาจากการสะสมประสบการณ์ และประสบการณ์จะเป็นความรู้ที่ทำให้มนุษย์เข้าใจโลก  ดิลธีย์อธิบายว่ามนุษย์เข้าใจธรรมชาติและสังคมโดยอาศัยความคิด  และความคิดจะเกิดมาจากประสบการณ์ชีวิต   ดังนั้นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจและโลกจึงเป็นสิ่งสำคัญของการทำความเข้าใจมนุษย์

          ดิลธีย์เชื่อว่าความเข้าใจของมนุษย์คือความพยายามที่จะสร้างสภาวะจิตใจของคนอื่น และค้นหาความหมายที่มีต่อโลกทางวัตถุ    การทำความเข้าใจคนอื่นเปรียบเสมือนการสร้างความต่างระหว่างตัวเรากับตัวเขา  การทำความเข้าใจสภาวะจิตใจหรือตัวตนที่อยู่ภายในตามความคิดของดิลธีย์ ก็เหมือนกับการทำความเข้าใจความคิดของพระเจ้าตามความเชื่อของฟรีดิช   อย่างไรก็ตาม ดิลธีย์ไม่ได้เรียกร้องให้ค้นหาระบบความคิดที่เป็นนามธรรม แต่สนใจเรื่องประสบการณ์มากกว่า  มีผู้วิจารณ์ว่าความคิดของดิลธีย์ไม่ได้สนใจบริบททางสังคมและประวัติศาสตร์  ดิลธีย์เชื่อว่าการเล่าเรื่องราวในอดีตจะช่วยให้มนุษย์เกิดความเข้าใจ เช่น การเล่นละครคือการแสดงความเข้าใจแบบสมบูรณ์  ดังนั้น การค้นหาความเข้าใจแบบสมบูรณ์จะนำไปสู่การเข้าใจความคิดและการกระทำของมนุษย์

          ในขณะที่ดิลธีย์สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับต้นกำเนิดของปรัชญาและวิทยาศาสตร์ แต่เวเบอร์กลับสนใจเรื่องสังคมและประวัติศาสตร์  โดยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรม สังคม และพฤติกรรมทางเศรษฐกิจ  ความคิดเกี่ยวกับการทำความเข้าใจมนุษย์ของเวเบอร์จึงต่างไปจากดิลธีย์    การศึกษาจิตใจของมนุษย์จำเป็นต้องสนใจรายละเอียดทางวัฒนธรรมและปรัชญา ซึ่งฟรีดิชเรียกสิ่งนี้ว่าความรู้ที่มีไวยกรณ์    การศึกษาทางศาสนาเป็นความพยายามที่จะนำความหมายที่ซ่อนเร้นในคำสอนของพระเจ้าออกมาเป็นประสบการณ์ชีวิตของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัย   ส่วนดิลธีย์เชื่อว่าเป้าหมายของการทำความเข้าใจมนุษย์ ก็คือการสร้างสภาวะจิตใจของผู้ศึกษา   แต่พอล ริคเคอร์(1979) โต้แย้งว่าการทำความเข้าใจมีเงื่อนไขของตัวเอง  การตีความและการสร้างคำอธิบายจากสิ่งที่ถูกศึกษาจึงสำคัญกว่า  คลิฟฟอร์ด เกิร์ตซ์ (1973) กล่าวว่าเป้าหมายของการศึกษามนุษย์ก็คือการทำความเข้าใจความสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยอาศัยการเก็บข้อมูลภาคสนามและตรวจสอบกลับไปกลับมาระหว่างข้อมูลและการตีความ     วิคเตอร์ เทอร์เนอร์(1982) นำความคิดของดิลธีย์มาใช้โดยตรง เพื่อที่จะสำรวจความคิดของมนุษย์ที่ซ่อนอยู่ในพิธีกรรมและการแสดงทางวัฒนธรรมในรูปแบบอื่นๆ

          ความเข้าใจที่มีต่อการศึกษามนุษย์มีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องจิตใจและวัตถุซึ่งนำไปสู่การศึกษาทางมานุษยวิทยาที่ต่างกัน  การศึกษาในแนวทางของเกิร์ตซ์ จะเน้นเรื่อง วิธีคิดแบบชาวบ้าน วิธีนี้จะเป็นมานุษยวิทยาแบบตีความ (interpretive anthropology)  ส่วนมานุษยวิทยาแบบวิพากษ์ (critical anthropology) จะเน้นการสะท้อนวิธีการศึกษาและวิธีวิทยาที่มานุษยวิทยาใช้อยู่ เพื่อที่จะทำความเข้าใจวัฒนธรรมต่างๆ

          การศึกษาความคิดของมนุษย์จะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวิชามานุษยวิทยาในสหรัฐในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20    ฟรานซ์ โบแอสคือนักมานุษยวิทยารุ่นแรกที่ทำให้วิชามานุษยวิทยามีศาสตร์ของตัวเองและมีการเรียนการสอนอย่างเป็นทางการในสหรัฐ  โบแอสได้รับอิทธิพลความคิดจากปรัชญาสกุลนีโอ-คานเทียน และแนวคิดของดิลธีย์   โบแอสให้ความสำคัญกับเรื่อง “การเล่ารายละเอียด” ซึ่งต่อมานำไปสู่วิธีการศึกษาภาคสนามที่อาศัยการสังเกตอย่างมีส่วนร่วม และเป็นวิธีที่นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมใช้  แนวคิดของโบแอสทำให้ทฤษฎีวิวัฒนาการ ทฤษฎีการแพร่กระจาย และทฤษฎีเชื้อชาติไม่ได้รับความนิยมในการศึกษาทางมานุษยวิทยาอีกต่อไป

          ผู้ที่วิจารณ์ความคิดของโบแอส ชี้ประเด็นว่าการให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์ของโบแอสทำให้เขามองข้ามวิธีการทางวิทยาศาสตร์และการเปรียบเทียบข้ามวัฒนธรรม   มาร์วิน แฮร์ริสคือผู้หนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการศึกษาของโบแอส  ข้อโต้แย้งที่มีต่อโบแอสและนักมานุษยวิทยาที่ใช้วิธีการ Hermeneutics ก็คือ การไม่มีศาสตร์เป็นของตัวเอง  นักมานุษยวิทยาสาย Hermeneutics จะนิยามตัวเองเป็นวิชาในมนุษยศาสตร์ หรือศาสตร์ที่ศึกษามนุษย์  ส่วนฝ่ายตรงข้ามเชื่อว่ามานุษยวิทยามีทฤษฎีแบบวิทยาศาสตร์ ที่ต้องอาศัยการเก็บข้อมูล และตั้งสมมุติฐานเพื่อทำความเข้าใจสังคมและวัฒนธรรม

          มานุษยวิทยาสายมนุษยนิยม และวิทยาศาสตร์นิยมมีข้อโต้แย้งที่เรื่องแนวคิดทฤษฎี   เนื่องจากมานุษยวิทยาทั้งสองกระแสนี้มีพื้นฐานความคิดที่ต่างกัน ในช่วงทศวรรษที่ 1930-60 แนวคิดแบบ Positivist ได้รับความนิยมในการศึกษาทางมานุษยวิทยา    แต่นักมานุษยาบางคนก็ยังคงเชื่อในแนวมนุษยนิยม เช่น อีแวนส์-พริทชาร์ด    แนวคิดแบบ Hermeneutics กลับมานิยมในมานุษยวิทยาอีกครั้ง โดยการนำของเกิร์ตซ์  การศึกษาของเกิร์ตซ์คือความพยายามที่จะนำแนวคิดของเวเบอร์มาวิเคราะห์วัฒนธรรม  เกิร์ตซ์เชื่อว่าวัฒนธรรมทำให้สังคมและเศรษฐกิจเคลื่อนไป  สิ่งที่เกิร์ตซ์ศึกษาได้แก่ การเก็บรายละเอียดระบบสัญลักษณ์ที่ปรากฏอยู่ในพิธีกรรม ศาสนา และเศรษฐกิจ  เกิร์ตซ์ตั้งคำถามว่าทำไมสัญลักษณ์และความคิดทางศาสนาจึงมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของสถาบันทางสังคม  ในแต่ละวัฒนธรรมจะมีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่ต่างกัน ทำให้มีความเชื่อทางศาสนาที่ต่างกัน  เกิร์ตซ์ใช้แนวคิดมนุษยนิยมมาอธิบายเปรียบเทียบและศึกษารายละเอียดของวัฒนธรรมที่ต่างกัน เพื่อที่จะทำความเข้าใจสัญลักษณ์และแนวคิดต่างๆที่มนุษย์ใช้สร้างและอธิบายความจริง

          เทอร์เนอร์ใช้แนวคิด hermeneutics ตามแบบของดิลธีย์  เทอร์เนอร์พยายามศึกษาระบบความหมายทางวัฒนธรรมผ่านการแสดง เช่น พิธีกรรม การเล่นละคร การแสดงทางสังคม  เทอร์เนอร์คิดต่างไปจากเกิร์ตซ์ โดยเชื่อว่าการเก็บข้อมูลภาคสนามยังไม่เพียงพอที่จะเข้าใจวัฒนธรรม แต่ต้องศึกษาระบบการสื่อสารระหว่างคนกับคนซึ่งอาศัยการแสดงทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือ   การศึกษาของเทอร์เนอร์คือตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าแนวคิด hermeneutics ช่วยให้เกิดการศึกษามานุษยวิทยาแนววิพากษ์     การศึกษาแบบโบแอสก็อาจจัดเป็นมานุษยวิทยาแนววิพากษ์ในระยะแรกๆ ส่วนในปัจจุบันมานุษยวิทยาแนววิพากษ์จะสนใจเรื่องวิธีการค้นหาความจริงที่เกิดจากแนวคิดทฤษฎีต่างๆ และสนใจที่ตรวจสอบการทำงานของนักมานุษยวิทยาที่ลงไปเก็บข้อมูลมาเขียนงานวิชาการ

          การตระหนักถึงตัวตนของนักวิชาการที่ปรากฏอยู่ในงานเขียน เป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจในการวิเคราะห์จิตสำนึกของตัวตน ซึ่งนักคิดแนวมาร์กซิสต์ เฟมินิสต์และนักวิพากษ์ทฤษฎีต่างใช้เพื่อชี้ให้เห็นว่านักวิชาการถูกครอบงำด้วยแนวคิดทฤษฎี   จอร์จ มาร์คัส และ ไมเคิล เอ็ม เจ ฟิชเชอร์(1986) ตั้งข้อสังเกตว่าการถกเถียงกันของนักมานุษยวิทยาแนววิพากษ์เป็นสิ่งที่มีความขัดแย้งสูงมาก นักมานุษยวิทยาบางคนเชื่อว่าการถกเถียงกันคือการปลดปล่อยมานุษยวิทยาให้หลุดพ้นไปจากการครอบงำของวาทกรรมแบบตะวันตก  ส่วนผู้ที่คิดว่ามานุษยวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ มองการถกเถียงที่เกิดขึ้นว่าเป็นการสร้างความปั่นป่วนให้กับมานุษยวิทยา ซึ่งการให้ความสำคัญต่อเสียงพูดของคนพื้นเมืองของนักมานุษยวิทยาแนวมนุษยนิยมก็อาจเป็นแนวทฤษฎีอีกแบบหนึ่งไปต่างไปจากทฤษฎีอื่นๆ


ผู้เขียน: ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ

เอกสารอ้างอิง:

David Levinson and Melvin Ember (eds.) 1996. Encyclopedia of Cultural Anthropology. Henry Holt and Company, New York.  Pp.555-558.

Oevermann, U. et al. 1987: Structures of meaning and objective Hermeneutics. In: Meha, V. et al. (eds.) Modern German sociology. (European Perspectives: a Series in Social Thought and Cultural Ctiticism). New York: Columbia University Press, p. 436–447.

Olesen, Henning Salling, ed. 2013: Cultural Analysis & In-Depth Hermeneutics. Historical Social Research, Focus, 38, no. 2, pp. 7–157.


หัวเรื่องอิสระ: การตีความข้อเขียน