คำศัพท์

Ethnogenesis

        Ethnogenesis   หมายถึงกระบวนการที่คนกลุ่มหนึ่งโหยหาหรือถวิลหารากเหง้าทางชาติพันธุ์ของตัวเอง เป็นการค้นหาความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ตัวตน อัตลักษณ์ และต้นกำเนิดความเป็นกลุ่มและความเป็นเผ่าพันธุ์ของตัวเอง ซึ่งกระบวนการนี้คือการตอกย้ำตัวตนทางวัฒนธรรม หรือการสร้างตัวตนผ่านการโหยหารากเหง้าทางประวัติศาสตร์ ในทางมานุษยวิทยา มองว่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ หรือเรื่องที่เขียนถึงคนในอดีต เรื่องที่อธิบายรากเหง้าของบรรพบุรุษ ต้นกำเนิด และตำนานความเป็นมาของกลุ่มคน มักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัจเจกบุคคลที่ถูกยกย่องว่าสำคัญ เรื่องเล่าของบุคคลอาจหมายถึงการทำความเข้าใจว่าบุคคลนั้นปรากฏขึ้นมาได้อย่างไรในประวัติศาสตร์

          Ethnogenesis อาจเกิดขึ้นในช่วงที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลง เช่นกรณีที่กลุ่มคนต้องการสร้างจิตสำนึกร่วมทางวัฒนธรรมเดียวกัน  หรือเพื่อที่ตั้งเป้าหมายเพื่ออนาคตที่ดี หรือคาดเดาความวิบัติที่จะมาถึง  เช่น ชาวเผ่า Tupi-Guarani ในลุ่มน้ำอเมซอนมีความฝันถึงดินแดนที่สงบสุข ในช่วงที่ตกเป็นทาสของชาวตะวันตกในคริสต์ศตวรรษที่ 16   อนาคตที่ไม่น่าพึงปรารถนาอาจเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมของผู้มีอำนาจที่ไร้ความปราณี หรือตกเป็นทาสดั่งตัวอย่างที่ชาวผิวดำและคนพื้นเมืองกลายเป็นทาสรับใช้ชาวยุโรปนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 จนถึงยุคแห่งการปลดปล่อยอิสรภาพ และเรียกร้องเสรีภาพ

          นอร์แมน อี วิธเทน อธิบายว่า ethnogenesis หรือ ประวัติชาติพันธุ์คือฉากหนึ่งของการทำลายล้างมนุษย์ซึ่ง กล่าวถึงผู้ปกครองที่ใช้อำนาจป่าเถื่อนกดขี่ข่มเหงพลเมือง  เรื่องราวของการทำลายล้าง และฉากความเป็นมาทางชาติพันธุ์ ต่างสะท้อนประวัติศาสตร์ และเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างผู้นำ และชาวบ้านที่ต้องการเป็นอิสระ  ความหมายของ ethnogenesis จึงเกี่ยวข้องกับเรื่องทางชาติพันธุ์ และกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ร่วมกัน เกี่ยวข้องกับเรื่องอัตลักษณ์ของกลุ่ม ซึ่งมีการโต้ตอบระหว่างกลุ่มที่ถูกยกย่องกับกลุ่มที่ถูกปฏิเสธ  ความหมายของชาติพันธุ์จึงเป็นความซับซ้อนระหว่างประวัติศาสตร์และการทำให้เป็นเรื่องอดีตกาล  ความหมายดังกล่าวนี้คือความซับซ้อนทางวัฒนธรรมที่บ่งบอกลักษณะบางอย่างของการทำลายล้างมนุษย์ กับการเล่าขานเรื่องราวความรัดทน และความหวัง

          นอกจากนั้น ethnogenesis ยังหมายถึงการกำเนิดของประเทศ หรือ พื้นที่ทางวัฒนธรรมบางอย่างที่มีพรมแดนของตัวเอง  แนวคิดเรื่องชาตินิยม เช่นกรณีชนชาวเยอรมันที่เชื่อว่าเกิดขึ้นมามีเอกลักษณ์ทางภาษา และวัฒนธรรมต่างไปจากชนชาติอื่นๆ แนวคิดทำนองนี้ทำให้ชาวยุโรปฝังใจว่ามนุษย์จะต้องมีประเทศ มีภาษา วัฒนธรรมเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น  ความคิดนี้เป็นความนิยมชาติกำเนิดของตนเอง และมักจะสร้างผู้นำชาติที่เป็นราชาและราชินีซึ่งมีสถานภาพเหมือนพระเจ้ามาจุติ  เช่น วัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นในสมัยอาชิกาวา สมัยโมโมยาม่า และสมัยโตกุกาวา ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึง 17 หรือในอาณาจักรของคาสทิล และ อะราก้อน ในปี ค.ศ.1492 ซึ่งมีความคิดที่ยกย่องชาติกำเนิด

          ความเหลื่อมซ้อนกันระหว่างแนวคิดเรื่องตำนานชาตินิยม และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของกลุ่มชน ก่อให้เกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม  แนวคิดเรื่อง การแบ่งเขตพื้นที่ทางชาติพันธุ์ คือประเด็นทางการเมือง และมีลักษณะคล้ายการแย่งชิงพื้นที่ คลิฟฟอร์ด เกิร์ตซ อธิบายว่า ปฏิกิริยาที่รุนแรงของกลุ่มชาติพันธุ์ต่อความเป็นรัฐชาติจะถูกแสดงออกมาได้ทุกเวลา    ความคิดทางการเมืองต่อเรื่องการทำลายชนชาตินั้นเกิดขึ้นเพื่อที่จะยกย่องเชิดชูวัฒนธรรมของผู้ปกครอง โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังสร้างชาติ  ขณะเดียวกัน กลุ่มชนที่แปลกแยกจากบุคลิกลักษณะ วัฒนธรรม และสังคมของชาติ ก็จะเริ่มแสดงปฏิกิริยาเป็นปฏิปักษ์ และหันกลับไปสร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์ และเป้าหมายที่ต่างไปให้กับกลุ่มตัวเอง เช่น กรณีในเขตคาบสมุทรบอลข่าน (Balkans) ซึ่งเคยอยู่ในอำนาจของโซเวียต กรณีการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ กรณีเหล่านี้คือตัวอย่างของการสร้างประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและความเป็นชาติพันธุ์ของคนบางกลุ่ม

          ความคิดเรื่องการผสมผสานเชื้อชาติและวัฒนธรรมในลาตินอเมริกา หรือ Mestizaje คือตัวอย่างที่น่าสนใจที่ชี้ให้เห็นการนำความคิดเรื่องประวัติศาสตร์ชนชาติไปใช้กับสร้างพรมแดนทางวัฒนธรรมนอกเหนือไปจากความเป็นรัฐชาติ  ความคิดหลักของการผสมวัฒนธรรมก็คือ คนจะมีสายเลือดผสมทั้งสเปนและชาวพื้นเมือง ลูกหลานที่เกิดขึ้นมาจะเป็นผู้สืบทอดวัฒนธรรมที่ผสมผสาน วัฒนธรรมนี้จะเป็นเครื่องมือป้องกันคนกลุ่มอื่นๆออกไป  ความคิดแบบวัฒนธรรมผสม จะทำให้วัฒนธรรมพื้นเมือง และชาวผิวดำถูกแยกออกไปจากกลุ่ม และไม่ได้รับการกล่าวถึงในประวัติศาสตร์อารยธรรมของประเทศชาติ

          Ethnogenesis ยังเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวทางศาสนา โดยเฉพาะการยกย่องผู้มีบุญที่มาเกิดใหม่ เช่น ชาวคริสต์มีสำนึกต่างจากยิวเพราะเชื่อพวกเขานับถือพระเยซูในฐานะผู้ไถ่บาปให้มนุษย์ แต่ยิวปฏิเสธ  ในทางศาสนาอิสลามเชื่อว่าพระเยซูเป็นศาสดาพยากรณ์ที่ยิ่งใหญ่ แต่มีอำนาจน้อยกว่าพระมูฮัมหมัด  ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในศาสนายิว คริสต์และอิสลาม แสดงให้เห็นความความเหมือนและความต่างทางวัฒนธรรมที่เกิดจากกระบวนการสร้างสำนึกทางชนชาติ ซึ่งต่างอ้างถึงผู้มีบุญของตน ขณะเดียวกันก็ยังเป็นการกีดกันทำลายล้างชนชาติอื่นๆออกไปด้วย

          กระบวนการสร้างตำนานทางชนชาติยังเป็นสัญลักษณ์และเป็นระบบคุณค่า (ในที่นี่คือวัฒนธรรมที่ถูกเลือกมาแล้วว่าดีสำหรับมนุษย์) กระบวนการทางวัฒนธรรมที่อธิบายถึงความเป็นเชื้อชาติมีส่วนผลักดันให้บุคคลแสดงออกในเชิงปฏิบัติ  การแสดงออกอาจมีได้ทั้งที่เป็นภาษา และมิใช่ภาษาเพื่อที่จะสื่อถึงความหมายต่างๆ ความหมายเหล่านี้คือแหล่งอ้างอิง และเป็นพรมแดนให้กับวัฒนธรรม   เมื่อสัญลักษณ์ต่างๆถูกนำมาใช้เพื่อสร้างจิตสำนึกทางชาติพันธุ์  การกระทำต่างๆก็จะเกิดขึ้นผ่านกระบวนการสร้างเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ของตนเองและทำลายเผ่าพันธุ์ของคนอื่นในเวลาเดียวกัน


ผู้เขียน: ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ

เอกสารอ้างอิง:

Geary, Patrick J. 2002. The Myth of Nations: The Medieval Origins of Europe. Princeton and Oxford: Princeton University Press.

Jonathan D. Hill (ed.), 1996. History, Power, and Identity: Ethnogenesis in the Americas, 1492-1992, Iowa City: University of Iowa Press.

Norman E.Whitten, Jr.  “Ethnogenesis” in David Levinson and Melvin Ember (eds.) Encyclopedia of Cultural Anthropology. Henry Holt and Company, New York. Pp.407-408.


หัวเรื่องอิสระ: การค้นหารากเหง้าทางชาติพันธุ์