คำศัพท์

Queer Anthropology

         Queer Anthropology หมายถึง มานุษยวิทยาที่สนใจวัฒนธรรมทางเพศที่หลากหลาย ที่แตกต่างไปจากจารีตและบรรทัดฐานทางสังคม  ในช่วงทศวรรษที่ 1920  นักมานุษยวิทยาเช่น โบรนิสโลว์ มาลีนอฟสกี้ และมาร์กาเร็ต มี้ด ค้นพบรูปแบบพฤติกรรมของคนรักเพศเดียวกันหลายแบบ ซึ่งแปลกไปจากการรับรู้ของชาวตะวันตก  เช่นพฤติกรรมของคนแต่งตัวผิดเพศในชนเผ่าอเมริกาเหนือ ซึ่งได้รับฉายาว่า เบอร์ดาเช่   หรือคนเพศที่สาม และพฤติกรรมชายรักชายในชนเผ่าเมลานีเซีย  โดยปกติการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของคนรักเพศเดียวกันมักจะอธิบายด้วยมิติทางวัฒนธรรม  เช่น   แวน บาล(1966) ทำงานวิจัยในชนเผ่ามารินด์-เอมิน ในช่วงทศวรรษที่ 1930 ซึ่งเขาอธิบายพฤติกรรมชายรักชายในมิติของศาสนา  

          การวิจัยของฟอร์ด และบีช(1951) สำรวจเรื่องเพศในวัฒนธรรมต่างๆทั่วโลก  การสำรวจครั้งนี้ได้ข้อสรุปว่าพฤติกรรมโฮโมเซ็กช่วลเป็นพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศที่มีสาเหตุมาจากร่างกาย  และมักจะเกิดขึ้นกับเพศชายมากกว่าเพศหญิง  จากการสำรวจวัฒนธรรม 76 แห่ง มีอยู่ 28 แห่งที่ไม่พบพฤติกรรมโฮโมเซ็กช่วล  และมี 17 แห่งที่พบโฮโมเซ็กช่วลในเพศหญิง  นอกจากนั้น ยังพบว่าพฤติกรรมโฮโมเซ็กช่วลพบมากในวัยรุ่นมากกว่าผู้ใหญ่  เมื่อเปรียบเทียบกับตะวันตก พบว่าวัฒนธรรมต่างๆในโลกไม่ค่อยรังเกียจโฮโมเซ็กช่วล   การศึกษาของฟอร์ดและบีช เป็นการศึกษาจากข้อมูลชั้นสองซึ่งยังมีคำถามน่าสงสัยเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือ และเรื่องที่น่ากังวลก็คือไม่มีการวิจัยเกี่ยวกับโฮโมเซ็กช่วลในเพศหญิงนำมาอ้างถึงเลย

          ในช่วงทศวรรษที่ 1970   วิชามานุษยวิทยาและรัฐศาสตร์เป็นวิชาที่สนใจศึกษาเรื่องเกย์   นักมานุษยวิทยาเช่น นิวตัน(1972) ซึ่งศึกษาวัฒนธรรมย่อยของชาวเกย์และเลสเบี้ยนในตะวันตก และเบอร์ดาเช่ในวัฒนธรรมพื้นเมืองอเมริกา  นักมานุษยวิทยาหลายคน นำวิธีการศึกษาทางมานุษยวิทยาไปใช้กับการศึกษาเกย์ในวัฒนธรรมตะวันตก   อย่างไรก็ตามนักสังคมวิทยาบางคนก็นำวิธีการทางมานุษยวิทยาไปใช้เหมือนกัน  นักมานุษยวิทยาเช่น เกเยิล รูบิ้น เคยอธิบายเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องเพศในมิติทางการเมืองและวัฒนธรรมที่น่าสนใจ    รูบิ้นสนใจศึกษาวัฒนธรรมเกย์ชุดหนังในซานฟรานซิสโก   นักมานุษยวิทยาคนแรกที่ศึกษาเรื่องเพศในสังคมนอกตะวันตกคือเฮิร์ด   เฮิร์ดศึกษาพิธีกรรมย่างเข้าวัยหนุ่มและ พิธีรับน้ำอสุจิของเด็กชายในนิวกินี การศึกษาของเฮิร์ดเป็นการศึกษาแรกที่พูดถึงพฤติกรรมโฮโมเซ็กช่วลในวัฒนธรรมมีลานีเซียน   การทำงานภาคสนามเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น เฮิร์ดวิเคราะห์พิธีกรรมย่างเข้าสู่วัยหนุ่มในฐานะเป็นพิธีกรรมของโฮโมเซ็กช่วล ซึ่งเชื่อมโยงกับแนวคิดเรื่องคนรักเพศเดียวกันในตะวันตก ส่วนพิธีรับน้ำอสุจิของเด็กชายในการศึกษาในระยะต่อมา ทำให้เห็นว่าพฤติกรรมชายรักชายเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมในแต่ละแห่ง

          สิ่งสำคัญจากการศึกษาทางมานุษยวิทยา คือการยืนยันว่าอารมณ์ พฤติกรรม และการเกี้ยวพาราสีแบบคนรักเพศเดียวกันมีความหลากหลาย  อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีความหลากหลาย แต่รูปแบบที่สำคัญของพฤติกรรมรักเพศเดียวกันมีด้วยกัน 3 ลักษณะ คือ ความรักเพศเดียวกันที่มาจากโครงสร้างอายุ  มาจากโครงสร้างเพศสภาพ และ รูปแบบที่มีความเท่าเทียมกันทางเพศ

1 ความรักที่มาจากโครงสร้างของเพศสภาพ

          พฤติกรรมและอารมณ์แบบรักเพศเดียวกันที่มีโครงสร้างมาจากเพศสภาพ หมายถึง ฝ่ายหนึ่งจะแสดงบทบาททางเพศของอีกฝ่ายหนึ่ง  รูปแบบความสัมพันธ์นี้จะมีลักษณะเป็นคู่ตรงข้ามชายหญิง ซึ่งแต่ละฝ่ายจะมีการแสดงบทบาททางเพศอื่นๆเพิ่มเติม เช่น ฮีจาราในอินเดีย และเบอร์ดาเช่ในอเมริกาเหนือ  คนประเภทนี้จะเกิดมาเป็นชายตามธรรมชาติ แต่จะแสดงบทบาทเป็นผู้หญิงและมีเพศสัมพันธ์กับชายอื่น  ในบางกรณี ฮีจาราอาจมีการตัดอวัยวะเพศทิ้ง  ส่วนผู้หญิงที่แสดงบทบาทเป็นชายจะพบไม่มากนัก อาจพบได้ในเขตอเมริกาและกึ่งทะเลทรายซาฮารา  ในกรณีที่หญิงแต่งตัวเป็นชายยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ   ส่วนกรณีฮีจารา มีความชัดเจนว่ามีพฤติกรรรมทางเพศแบบโสเภณี  แต่เบอร์ดาเช่ และการแต่งงานระหว่างหญิงกับหญิงอาจไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศ เพราะยังไม่มีการวิจัยที่แน่ชัด  เพศและเพศสภาพจึงมิใช่สิ่งถาวร แต่มีลักษณะที่เปลี่ยนไปตามสภาพ

          การสลับบทบาททางเพศอาจมาจากหลายสาเหตุ  เช่น ผู้ที่เป็นพระหรือหมอผี อาจแสดงบทบาทเป็นเพศตรงข้ามเพื่อทำหน้าที่ในพิธีกรรม ศาสนาและรักษาโรค หรือมีความเชี่ยวชาญในงานหัตถกรรม  ในสังคมที่นับญาติข้างพ่อ  การแต่งงานของผู้หญิงจะช่วยให้ครอบครัวมีทายาทสืบต่อไป  แต่การแสดงความรักกับคนเพศเดียวกันโดยการแสดงบทบาททางเพศตรงข้ามยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจน  อย่างไรก็ตาม ในหลายกรณี การแสดงบทบาทเพศที่สามอาจเป็นการให้ความสุขทางเพศแก่ผู้อื่น แต่จะไม่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นเพศที่สามเหมือนกัน

          เพศสภาพที่ต่างกันสองด้านจะถูกทำลายลงเมื่อเกิดเพศสภาพที่คลุมเคลือ  แม้แต่การผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิงก็ทำให้บุคคลนั้นมิใช่ผู้หญิงที่เกิดตามธรรมชาติ เพราะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้  ส่วนผู้ที่ผ่าตัดแปลงเพศจากหญิงเป็นชาย จะทำให้ผู้นั้นมีฐานะเป็นชาย เพศสภาพแบบคลุมเคลืออาจเห็นได้จาก พวกขันธี ซึ่งอาจถูกจัดเป็นเพศที่สาม  เฮิร์ดใช้การจัดประเภทเพศที่สามเพื่อเป็นตัวบ่งชี้ความหลากหลายของเพศสภาพ  การมีอยู่ของเพศที่สามบอกให้รู้ถึงสภาวะเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนของเพศ ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ต่างไปจากแม็กนัส เฮิร์ชเฟลด์ที่มองเพศเป็นแก่แท้แน่นอน ตายตัว และธรรมชาติสร้างมา  เพศสภาพมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่มาจากบริบททางวัฒนธรรม

 

2 ความรักที่มาจากโครงสร้างอายุ

          อารมณ์และพฤติกรรมของคนรักเพศเดียวกันที่มีโครงสร้างจากอายุ คือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเพศเดียวกันที่มีอายุต่างกัน  ตัวอย่างเช่นความสัมพันธ์ของเด็กหนุ่มและผู้ใหญ่ในสมัยกรีก หรือ pederasty และพิธีกรรมรับน้ำอสุจิในสังคมมีลานีเซียน  แต่ความสัมพันธ์แบบนี้อาจพบเห็นได้ในที่อื่นๆ เช่น ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น แอฟริกา และอาหรับ  การศึกษาที่น่าสนใจมาจาก กลอเรีย เว็คเกอร์(1994) ซึ่งศึกษาชาวพารามาไรโบ ในประเทศซูรินัม  เว็คเกอร์พบว่าผู้หญิงครีโอที่เป็นชนชั้นล่างจะมีความสัมพันธ์แบบมาตี หรือความสัมพันธ์ของหญิงมีอายุกับหญิงสาว ซึ่งหญิงที่มีอายุจะแต่งงานแล้วและมีลูกแล้ว  ในกรณีของผู้ชาย ความสัมพันธ์ของชายสูงวัยกับเด็กหนุ่มจะเป็นความสัมพันธ์ทางเพศและพิธีกรรมย่างเข้าวัยหนุ่ม  แต่คู่รักต่างวัยนี้อาจมีหลายแบบ  ในการศึกษาของเฮิร์ดในสังคมชนเผ่าแซมเบีย พบว่าเด็กหนุ่มอาจมีอายุระหว่าง 6-12 ปี ซึ่งอาจเป็นคู่กับเด็กที่มีอายุมากกว่าที่จะเป็นฝ่ายหลั่งน้ำอสุจิให้  การหลั่งน้ำอสุจิของเด็กชาวชาวแซมเบียถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเปลี่ยนฐานะเป็นชาย  ชาวแซมเบียเชื่อเด็กชายที่กินน้ำอสุจิจะสามารถผลิตน้ำอสุจิได้ นอกจากนั้นยังพบพฤติกรรมทางเพศอื่นๆ เช่น การสอดใส่ทางทวารหนักและการอมองคชาต หรือการนำน้ำอสุจิมาถูกไถที่ผิวหนังจะทำให้ผู้นั้นเป็นชายเต็มตัว  

         

3 ความรักแบบผู้มีฐานะเท่ากัน

          ตัวอย่างของความสัมพันธ์แบบเท่าเทียม โดยปราศจากความแตกต่างของเพศสภาพและอายุ สามารถเห็นได้จากชาวเกย์ในปัจจุบัน ในสังคมเกย์ไม่มีการแบ่งแยกเพศสภาพและอายุ  เกย์จะแสดงบทบาททางเพศสลับไปสลับมา (ฝ่ายรุก ฝ่ายรับ)  ซึ่งต่างไปจากความสัมพันธ์ที่วางอยู่บนโครงสร้างอายุหรือเพศสภาพ  คู่รักเกย์หลายคู่จะไม่มีการแบ่งความเป็นชายหญิงที่ชัดเจน ยกเว้นไสต์การแต่งตัว  แต่ก่อนปี ค.ศ.1900 ความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าใดนัก ยกเว้นความรักแบบเพื่อนซึ่งอาจไม่มีเรื่องเซ็ก   ในปัจจุบัน ความสัมพันธ์ทางเพศแบบเท่าเทียมกันกลายเป็นกฎเกณฑ์ทั่วไป  แต่ก่อนหน้านั้นในหลายวัฒนธรรมจะมีความสัมพันธ์ที่หลากหลาย และมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับเพศสภาพ ชนชั้น อายุ และชาติพันธุ์  การศึกษาของบอสเวลล์พบว่าความรักของคนเพศเดียวกันที่มีฐานะเท่ากันในศาสนาคริสต์ยุคแรกๆ มีไม่มากนัก แต่จริงๆแล้วมีมากกว่าที่คิดเพราะคนรักเพศเดียวกันไม่เปิดเผยตัว

          กรีนเบิร์ก(1988) ได้เพิ่มรูปแบบความสัมพันธ์ของคนรักเพศเดียวกันอีก 1 แบบ คือความสัมพันธ์ที่เกิดจากความไม่เทียมทางสังคม หรือความสัมพันธ์ที่มีโครงสร้างทางชนชั้น  อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์แบบนี้ก็ยังไม่ชัดเจน  ในสังคมที่มีทาส ซึ่งผู้เป็นทาสจะต้องยอมปฏิบัติตามเจ้านาย  ในขณะที่ระบบชนชั้นในยุโรป เจ้านายจะต้องมีเซ็กกับคนใช้ อย่างไรก็ตาม ในสังคมที่มีทาสส่วนใหญ่ เจ้านายที่เป็นชายจะไม่แสดงบทบาทเป็นฝ่ายรับ  แต่ในยุโรป เจ้านายอาจแสดงบทบาทเป็นฝ่ายรับได้

          ในแต่ละวัฒนธรรม ไม่มีอิสระทางเพศ เพราะเรื่องเพศเป็นเรื่องของสังคมและมีขอบเขตที่ชัดเจน   สิ่งที่ควบคุมเรื่องเพศ ได้แก่ อายุ เพศสภาพ ฐานะ ชนชั้น และเงื่อนไขอื่นๆ  พฤติกรรมทางเพศโดยส่วนมากฝ่ายชายเป็นผ่ายรุก และฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายรับ   ในวัฒนธรรมตะวันตกอาจถูกมองว่ามีอิสระทางเพศสูง เนื่องจากการแสดงออกทางเพศมีความหลากหลาย  ความสัมพันธ์ที่มาจากโครงสร้างอายุเป็นความสัมพันธ์แบบพิเศษที่พบในหลายวัฒนธรรม แต่นักคิดทางสังคมเชื่อว่าพฤติกรรมรักเพศเดียวกันเป็นพฤติกรรมสากลที่พบในมนุษย์ทุกแห่ง แต่แนวคิดเรื่องเพศ อัตลักษณ์ทางเพศ การปลดปล่อยทางเพศ การจับคู่ทางเพศ หรืออารมณ์ทางเพศของตะวันตกจะเป็นสิ่งเดียวกับพฤติกรรมรักเพศเดียวกันในที่อื่น  ปัจจุบัน อัตลักษณ์ของเกย์อาจมีอยู่ทั่วไป บางคนเชื่อว่าเป็นเพราะโลกาภิวัตน์ แต่บางคนคิดว่ามาจากความรู้สึกของท้องถิ่นที่มีพัฒนาการต่างไปจากเดิม

          สิ่งสำคัญที่การศึกษาทางมานุษยวิทยาได้มอบให้ในการศึกษาโฮโมเซ็กช่วลในปัจจุบัน คือการชี้ให้เห็นบริบททางสังคมและการนำเสนอภาพของโฮโมเซ็กช่วล  นิยามเกี่ยวกับความรักของคนเพศเดียวกันขึ้นอยู่กับความรู้ท้องถิ่นเป็นสำคัญ   พฤติกรรมที่คล้ายๆกันอาจมีความหมายต่างกันในบริบทที่ต่างกัน ตัวอย่างในวัฒนธรรมตะวันตก ผู้ชายสองคนจูบกันในเขตเมือง อาจเป็นเกย์  แต่ผู้ชายสองคนกอดกันจูบกันในสนามกีฬาเพราะดีใจที่แข่งขันชนะ อาจเป็นการกระทำของเกย์หรือไม่ก็ได้  การตีความขึ้นอยู่กับความหมาย  หน้าที่ของนักมานุษยวิทยาคือการอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นโดยพิจารณาถึงความหมายและบริบทของสิ่งนั้น  นิยามของโฮโมเซ็กช่วลอาจจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ความรู้ท้องถิ่น หรือคำถามจากการวิจัย


ผู้เขียน: ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ

เอกสารอ้างอิง:

Blackwood, Evelyn (Ed.), 1986. The Many Faces of Homosexuality: Anthropological

Approaches to Homosexual Behavior. Routledge, New York.

Evans-Pritchard, E.E., 1970. Sexual inversion among the Azande. American Anthropologist

72 (6), 1428–1434.

Gert Hekma. 2000 “Queering Anthropology” in Theo Sandfort and Others (eds.) Lesbian and Gay Studies. SAGE Publication, London. 2000.pp.81-93.

Herdt, Gilbert H. (Ed.), 1984. Ritualized Homosexuality in Melanesia. University of

California Press, Berkeley.

Jacobs, Sue-Ellen, Thomas, Wesley, Lang, Sabine (Eds.), 1997. Two-Spirit People:

Native American Gender Identity, Sexuality, and Spirituality. University of Illinois

Press, Urbana.

Leap, William, Boellstorff, Tom (Eds.), 2003. Speaking in Queer Tongues: Globalization

and Gay Language. University of Illinois Press, Urbana.

Lewin, Ellen, Leap, William (Eds.), 1996. Out in Theory: the Emergence of Lesbian and

Gay Anthropology. University of Illinois Press, Urbana.

Nanda, Serena, 1998. Neither Man Nor Woman: The Hijras of India. Cengage Learning,

New York.

Weston, Kath, 1993. Lesbian/Gay Studies in the House of Anthropology. Annual

Review of Anthropology 22, 339–367.


หัวเรื่องอิสระ: มานุษยวิทยาเพศนอกกรอบ