บทความ

แสดง 1-10 จากทั้งหมด 11 รายการ

เควียร์กับการวิพากษ์มานุษยวิทยากระแสหลัก


ในบทความนี้ต้องการจะชี้ให้เห็นว่ากรอบความคิดแบบเควียร์ ไม่ใช่เป็นตัวทฤษฎีที่มีไว้อธิบายว่าอะไรคือเพศภาวะและเพศวิถี  หากแต่เป็นชุดความคิดหรือกระบวนทัศน์ของการตั้งคำถามเชิงญาณวิทยา (Epistemology)ว่ากระบวนการแสวงหาความรู้คืออะไร (David E. Hall, 2003, p.6.)    ซึ่งจะเข้าไปตรวจสอบและวิพากษ์กระบวนทัศน์ทางสังคมต่างๆที่แฝงอคติทางเพศหรือเป็นผลผลิตของบรรทัดฐานทางเพศแบบตะวันตก  ในที่นี้ผู้เขียนแปลคำว่า queer เป็นภาษาไทยว่า “เพศวิภาษ” หมายถึง เพศที่ไม่ได้อยู่ในบรรทัดฐานใดๆ แต่เป็นเพศเพื่อการโต้แย้ง   กระบวนทัศน์ดังกล่าวนี้พยายามตั้งคำถามว่าบรรทัดฐานอะไรที่กำหนดสิ่งที่เรียกว่า “เพศปกติ” และ “เพศผิดปกติ”  ความเป็นปกติเกิดจากอะไร ใครเป็นผู้นิยามและทำไมต้องแบ่งประเภทหรือจัดหมวดหมู่ “เพศ” ออกเป็นคู่ตรงข้าม  การแบ่งชนิดเพศของมนุษย์เป็นชายและหญิงโดยอาศัยความรู้ชีววิทยานั้นเป็นการแบ่งที่เป็นสากลหรือไม่ ความเป็นหญิงชายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ใช่หรือไม่  ในแต่ละสังคมจำเป็นต้องมีวิธีการจัดหมวดหมู่เพศเหมือนกันหรือไม่  ความรู้เรื่องเพศเป็นความรู้ที่ปราศจากมายาคติ อคติ และความลำเอียงใช่หรือไม่

อ่านต่อ..
คำสำคัญ: ทฤษฎีเควียร์, มานุษยวิทยา, บรรทัดฐานรักต่างเพศ, เพศวิถี, ญาณวิทยา

ทบทวนวิธีการสร้างความรู้ / ความจริงเรื่องเพศ


บทความนี้ต้องการสำรวจแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องเพศ โดยการย้อนมองไปในแวดวงวิชาการตะวันตกที่เริ่มสนใจประเด็นเรื่องเพศมาตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่วิทยาศาสตร์กำลังมีอำนาจทางสังคม  การสำรวจในที่นี้จะย้อนกลับไปมองช่วงเวลานั้นโดยอาศัยมุมมองทางมานุษยวิทยาเพื่อทำความเข้าใจ “ชีวิตทางเพศ” ของมนุษย์ หรือมองเรื่องเพศในมิติทางวัฒนธรรม       ผู้อ่านจะเข้าใจว่ามิติทางวัฒนธรรมของเรื่องเพศนั้นคืออะไร และเกี่ยวข้องกับบริบททางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองอย่างไร   คำถามที่ผู้คนมักจะถามกันบ่อยๆ ก็คือเรื่องเพศเป็นเรื่องของธรรมชาติ หรือเป็นเรื่องทางสังคมวัฒนธรรม   และคำตอบที่ได้รับก็มักจะเป็นการแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่มซึ่งถกเถียงกันด้วยแนวคิดทฤษฎีที่ต่างกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อเรื่องธรรมชาติ  ซึ่งได้ฉายาว่าเป็นพวกเชื่อความจริงแท้ (Essentialist)  กับนักสังคมศาสตร์ที่เชื่อเรื่องสังคมวัฒนธรรม ซึ่งได้ฉายาว่าเป็นพวกเชื่อการผลิตสร้างทางสังคม (Social Constructionist)      สำหรับในบทนี้  ต้องการจะทำความเข้าใจว่ากรอบแนวคิดทฤษฎีที่ต่างกันนั้นส่งผลต่อการอธิบายเรื่องเพศต่างกันอย่างไรบ้าง  และเราจะใช้แนวคิดทฤษฎีเหล่านั้นมาอธิบายปรากฎการณ์เกี่ยวกับเรื่องเพศของมนุษย์ในมิติใด

อ่านต่อ..
คำสำคัญ: เพศภาวะ, เพศวิถี, ทฤษฎีเควียร์, สตรีนิยม, มานุษยวิทยา, ความหลากหลายทางเพศ, เพศศึกษา, จิตเวชศาสตร์

รื้อสร้างมายาคติ “ความเป็นชาย” ในสังคมไทย


        บทความเรื่องนี้เป็นการทบทวนการศึกษา “ความเป็นชาย” ในสังคมไทย ซึ่งมักจะตกอยู่ใต้กระบวนทัศน์แบบตะวันตก ทำให้การอธิบายและการวิเคราะห์บทบาทของผู้ชายทั้งในแง่เพศภาวะและเพศวิถีเป็นการมองแบบสูตรสำเร็จที่เกิดจากบรรทัดฐานของรักต่างเพศ (Heteronormativity)  และอิทธิพลความรู้ทางวิทยาศาสตร์/ชีววิทยา ที่ใช้อธิบายความแตกต่างของเพศภาวะหญิงชาย   กระบวนทัศน์นี้ส่งผลให้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นชายในสังคมไทยผูกติดกับเพศสรีระและเชื่อว่าความเป็นชายเป็นสิ่งเกิดขึ้นโดยกำเนิดและติดตัวมากับเพศชาย    นอกจากนั้น ยังทำให้เชื่อว่าผู้ชายเป็นเพศตรงข้ามกับผู้หญิง และมีอำนาจเหนือกว่าผู้หญิง ความเชื่อนี้มีอิทธิพลต่อแนวคิดทฤษฎีเฟมินิสต์ ทฤษฎีอัตลักษณ์ทางเพศ และทฤษฎีจิตเวิเคราะห์ตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา และได้ถูกทำให้กลายเป็นทฤษฎีสากลสำหรับการอธิบายว่าอะไรคือบทบาทของหญิงและชาย

                การรื้อสร้างมายาคติและภาพตัวแทนดังกล่าวข้างต้น จำเป็นต้องทำความเข้าใจว่าทำไมนักวิชาการไทยจึงศึกษาความสัมพันธ์ชายหญิงด้วยกระบวนัทศน์ตะวันตก ที่เชื่อว่าเป็นสิ่งสากลและนำไปใช้อธิบายปรากฎการณ์เกี่ยวกับเพศภาวะและเพศวิถีได้ทุกหนทุกแห่ง  ความเข้าใจเรื่องเพศภายใต้อิทธิพลความรู้ตะวันตกนี้ได้บิดเบือนและบดบังบริบททางสังคมวัฒนธรรมที่มีเงื่อนไขเฉพาะของสังคมไทย   จนทำให้นักวิชาการกระโจนเข้าหาทฤษฎีเฟมินิสต์ หรืออัตลักษณ์ทางเพศโดยลืมที่จะตั้งคำถามต่อตัวทฤษฎีเหล่านั้น   ในแวดวงวิชาการ เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่าการนำทฤษฎีเกี่ยวกับเพศภาวะและเพศวิถีตะวันตกมาอธิบายบทบาทชายหญิงในสังคมอื่นเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะจะไม่ได้ช่วยให้เข้าใจความหลากหลายของการแสดงออกถึงความเป็นหญิงและชาย   รวมทั้ง   ยังทำให้เกิดการผลิตซ้ำวาทกรรมเรื่องสัญชาตญาณทางเพศที่ธรรมชาติสร้างขึ้น หรืออัตลักษณ์ทางเพศแบบคงที่ถาวร   ดังนั้น การศึกษาความเป็นชายในสังคมไทยจึงต้องตรวจสอบทฤษฎีตะวันตกที่นำมาวิเคราะห์

อ่านต่อ..
คำสำคัญ: ความเป็นชาย, บรรทัดฐานรักต่างเพศ, เพศภาวะ, เฟมินิสม์, สังคมสยาม, ความศิวิไลซ์

มานุษยวิทยากับการศึกษาพฤติกรรมข้ามเพศและรักเพศเดียวกัน


เรื่องเพศ เป็นพรมแดนที่มีเรื่องซ้อนทับกันหลายอย่าง ทั้งสรีระร่างกาย  การแสดงพฤติกรรม อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด และการให้คุณค่าและความหมายต่อสรีระและพฤติกรรมทางเพศ  หรือกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องเพศเป็นทั้งสิ่งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้    แต่การศึกษาเรื่องเพศเป็นเรื่องใหม่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก่อนหน้านั้นเรื่องเพศจะไม่ถูกพูดถึงในวงวิชาการเพราะถูกมองว่าเป็นเรื่องของการสืบพันธุ์หรือการสังวาท เป็นเรื่องต้องห้ามและเป็นบาปทางศาสนา(Bland and Doan, 1994, p.2.)      นักวิทยาศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 คือผู้มีบทบาทสำคัญที่ทำให้เกิดความคิดเรื่องเพศภาวะและเพศวิถี (Gender and Sexuality) เช่นการศึกษาของ คราฟท์-อีบิง(1886) อธิบายให้เห็นภายภาพของเพศ โดยมองว่าเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมา เช่น เพศหญิงมีความอ่อนโยน เพศชายมีความเข้มแข็ง  เพศภาวะของผู้หญิงและผู้ชายจึงถูกกำหนดจากเพศสรีระที่ต่างกัน  และเชื่อว่าเพศวิถีที่เป็นความต้องการทางเพศ เป็นแรงขับตามธรรมชาติที่เพศชายจะมีกับเพศหญิงเท่านั้น เพราะถือว่าเป็นการสืบพันธุ์เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์  

อ่านต่อ..
คำสำคัญ: เพศวิถี, เพศภาวะ, มานุษยวิทยา, คนข้ามเพศ, สังคมไทย

การทำความเข้าใจเบื้องต้นเรื่อง Queer Theory (เพศวิภาษ)


การศึกษาเรื่องเพศของมนุษย์ มีเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจหลายระดับ ทั้งเรื่องที่จับต้องมองเห็นได้ สัมผัสได้ เช่น อวัยวะเพศ รูปร่างสรีระ การแต่งกาย กิริยาท่าทาง   กับเรื่องที่มองไม่เห็นและไม่สามารถคาดเดาได้ เช่น อารมณ์ปรารถนา ความเสน่หา ความรัก กามารมณ์ สำนึก ความคิด และความเชื่อ   รวมทั้งการให้คุณค่า การวางกำหนดกฎเกณฑ์ การจัดประเภท การควบคุมพฤติกรรมและอารมณ์ทางเพศ สิ่งต่างๆเหล่านี้สัมพันธ์กับอำนาจทางสังคมที่เข้ามานิยาม ให้ความหมาย และจัดการตามคติความเชื่อและความรู้ที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย  

อ่านต่อ..
คำสำคัญ: เควียร์, เพศวิถี, เพศภาวะ, กระบวนทัศน์, การวิพากษ์, ความรู้

การศึกษาเกย์ในสังคมไทย : 5ทศวรรษของการสร้างความรู้


คำว่า “เกย์” เป็นคำที่มีนัยยะเชิงการเมืองและมีมิติทางประวัติศาสตร์   คำนี้เพิ่งปรากฎในสังคมตะวันตกในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 และถูกใช้เป็นคำเรียกเพื่อบ่งบอกว่าคนรักชอบเพศเดียวกันมีอัตลักษณ์เป็นอย่างไร และแตกต่างจากหญิงและชาย     อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาทางวัฒนธรรม คำว่า “เกย์” อาจใช้ได้เฉพาะสังคมที่มีการนิยามและจัดระเบียบอารมณ์ความปรารถนาทางเพศ เช่นในสังคมยุโรปและอเมริกา ซึ่งเชื่อว่าความรู้สึกรักเพศเดียวกันมีแก่นแท้ในตัวเองและบุคคลสามารถหยั่งรู้ได้จากจิตสำนึก ความรู้สึกนี้ถูกนิยามด้วยคำว่า “โฮโมเซ็กช่วล”      แต่อีกหลายสังคม ไม่มีวิธีคิดเกี่ยวกับการนิยามอารมณ์ทางเพศ ทำให้การแสดงพฤติกรรมรักเพศเดียวกันเป็นเพียงการแสดงบทบาทหน้าที่ทางสังคม และไม่ถูกยกให้เป็นอัตลักษณ์ของบุคคล      ดังนั้นการศึกษา “เกย์” ในทางวัฒนธรรมจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจอิทธิพลความคิดของตะวันตกกับวิธีคิดเรื่องเพศในท้องถิ่น ซึ่งมีความซับซ้อนต่อการสร้างนิยามความหมายของอัตลักษณ์และพฤติกรรมทางเพศของบุคคล

อ่านต่อ..
คำสำคัญ: เกย์, สังคมไทย, ประวัติศาสตร์, อัตลักษณ์, การศึกษา, วัฒนธรรม

“ความต่าง” ของ “วิธีคิด” ต่อวัฒนธรรมกระแสนิยม


       บทความเรื่องนี้ เป็นการทบทวนการศึกษาและการวิจัยเกี่ยวกับวัฒนธรรมป๊อป (Popular Culture) ซึ่งในที่นี้ขอเรียกว่า “วัฒนธรรมกระแสนิยม”  อย่างไรก็ตาม ความหมายของวัฒนธรรมกระแสนิยมยังมีความคลุมเคลือ นักวิชาการไทยบางคนเรียกวัฒนธรรมประเภทนี้ว่า “วัฒนธรรมสมัยนิยม” โดยนัยแล้ว อาจหมายถึงวัฒนธรรมที่ได้รับความนิยมจากประชาชน หรือพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน   อีกทางหนึ่ง อาจหมายถึงวัฒนธรรมที่แพร่หลายและเข้าถึงประชาชนส่วนใหญ่โดยมีสื่อเป็นตัวกลาง เช่น ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร อินเตอร์เน็ต ฯลฯ 

        บทความนี้จะพยายามชี้ให้เห็นว่าการนิยามความหมายของ “วัฒนธรรมกระแสนิยม” จากมุมมองต่างๆ ทั้งที่เป็นทฤษฎีตะวันตก และกรณีศึกษาในวัฒนธรรมต่างๆ มีความไม่ลงรอยอะไรเกิดขึ้นบ้าง ไปจนถึงข้อถกเถียงเกี่ยวกับประวัติและจุดกำเนิดของวัฒนธรรมกระแสนิยม พัฒนาการของการศึกษา และสกุลทางความคิด  ชี้ให้เห็นความแตกต่างทางการศึกษาระหว่างนักสังคมวิทยา นักปรัชญา นักประวัติศาสตร์ นักภาษาศาสตร์ นักวัฒนธรรมศึกษา และนักมานุษยวิทยา  ความแตกต่างของความสนใจของนักวิชาการตะวันตกกับนักวิชาการไทย  รวมทั้งข้อจำกัดของแนวคิดทฤษฎีที่ใช้ในการศึกษา

อ่านต่อ..
คำสำคัญ: วัฒนธรรมกระแสนิยม, มานุษยวิทยา, สื่อ, วัฒนธรรมมวลชน, วัฒนธรรมบริโภค

ความหมาย Ethnicity ในการศึกษาEthnography


คำว่า Ethnography ในทางมานุษยวิทยา สามารถพิจารณาได้ 2 ลักษณะคือ  ethnography ที่เป็นงานเขียน (ethnographic writings) กับที่เป็น วิธีการศึกษา(fieldwork) ซึ่งทั้งสองส่วนนี้มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน กล่าวคือวิธีการเก็บข้อมูลทางชาติพันธุ์ซึ่งอาศัยการสังเกต สอบถาม และคลุกคลีกับคนกลุ่มต่างๆอย่างใกล้ชิด ได้นำไปสู่การเขียนงานซึ่งต้องอาศัยกรอบความคิดทฤษฎีในการอธิบายและตีความ   งานเขียนทางมานุษยวิทยากับวิธีการศึกษาจึงเป็นสิ่งที่ถูกกำกับด้วย Theory อย่างใดอย่างหนึ่ง

อ่านต่อ..
คำสำคัญ: ชาติพันธุ์, มานุษยวิทยา, งานเขียนทางชาติพันธุ์, เผ่าพันธุ์

วิพากษ์ “ความเป็นหญิง” ของหญิงในร่างชาย


          บทความเรื่องนี้ต้องการวิพากษ์ “ความเป็นหญิง” (Femininity) ของบุคคลที่เป็นชายใจหญิงหรือหญิงในร่างชาย หรือรู้จักโดยทั่วไปว่ากะเทย เท่าที่ผ่านมาการศึกษาพฤติกรรมและอัตลักษณ์ทางเพศของคนกลุ่มนี้มักจะวางอยู่บนสมมติฐานเรื่อง “ตัวตนที่แท้จริง” (Truth of Self) ที่ซ่อนอยู่ข้างใน ซึ่งเชื่อว่าบุคคลที่เป็นหญิงในร่างชายจะมีจิตใจเป็นหญิงมาตั้งแต่กำเนิด (Born to Be)และค่อยๆพัฒนาอัตลักษณ์ความเป็นหญิงในทางวัฒนธรรมในภายหลัง การอธิบายดังกล่าวนี้เป็นการเชื่อว่าตัวตนของหญิงในร่างชายเป็นผลผลิตจากธรรมชาติมากกว่าจะเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากอุดมการณ์เรื่องเพศที่สังคมได้วางกฎเกณฑ์ไว้ ผลที่ตามมาก็คือ เราจะเห็นกลุ่มหญิงในร่างชาย(ชายใจหญิง) ต่างเชื่อมั่นใน “ความเป็นหญิง” ของตนและใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือในการเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียม    บทความนี้ต้องการชวนให้คิดเพื่อก้าวไปให้พ้นกับดักของ “ตัวตนตามธรรมชาติ” เพื่อที่จะมองใหม่ว่าตัวตนของหญิงในร่างชายไม่ได้เป็นอิสระจากความสัมพันธ์เชิงอำนาจ/ความรู้และบรรทัดฐานทางเพศที่สังคมได้สร้างขึ้นมาแต่อย่างใด

อ่านต่อ..
คำสำคัญ: คนข้ามเพศ, คนแปลงเพศ, ความเป็นหญิง, เพศภาวะ, กะเทย

สถานภาพความรู้ในการศึกษา การเคลื่อนไหวทางสังคมของชาวเกย์


การศึกษาการเคลื่อนไหวทางสังคมของชาวเกย์ มีความสำคัญในฐานะเป็นการทบทวนองค์ความรู้ แนวคิดทฤษฎี และกระบวนทัศน์ที่ปรากฎอยู่ในแวดวงวิชาการและนักเคลื่อนไหวชาวเกย์  หากจะมองในระดับปฏิบัติการจะเห็นว่าการเคลื่อนไหวทางสังคมของเกย์เป็นการต่อสู้และเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียมและความยุติธรรมทางสังคมของกลุ่มคนชายขอบที่ถูกสังคมรังเกียจหรือได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม ชาวเกย์จึงออกมาต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และให้สังคมตระหนักว่าเกย์หรือชายรักชายสามารถมีชีวิตอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างปกติเหมือนคนอื่นๆ      อย่างไรก็ตาม เป้าหมายและอุดมการณ์ที่อยู่เบื้องหลังการต่อสู้นี้ยังเป็นสิ่งที่น่าศึกษาและวิเคราะห์ว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้การต่อสู้และการเคลื่อนไหวของเกย์มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม  การเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้มีเป้าหมายและอุดมการณ์เหมือนหรือแตกต่างกัน กลุ่มและองค์กรเกย์ทั้งหลายคิดถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่  คำถามเหล่านี้จะนำไปสู่การตรวจสอบแนวคิดทฤษฎีและกระบวนทัศน์ที่ใช้ขับเคลื่อนในการเคลื่อนไหวเหล่านั้น

อ่านต่อ..
คำสำคัญ: เกย์, การเคลื่อนไหวทางสังคม, สิทธิเสรีภาพ, ความเท่าเทียม, อัตลักษณ์ทางเพศ