เขียนโดย Kemling, Klaus-Peter, 1946- | วันที่เผยแพร่เอกสาร 01/01/2513
ผู้เข้าชม 3015 | จำนวนดาวน์โหลด 0
คะแนนสื่อ
songes et leur interprétation chez les Reungao,Les = ความฝันและการทำนายความฝันของชาวเรืองเกา
Kemling, Klaus-Peter, 1946-
ไทย
ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
M. Kemlin.(Année 1910). songes et leur interprétation chez les Reungao, Les. Bulletin de l'Ecole française d'Extrême-Orient. Volume 10 Numéro 10 pp. 507-538
ดูเอกสารต้นฉบับจาก www.persee.fr
ความฝันและการทำนายความฝันของชาวเรืองเกา
(Les songes et leur interprétation chez les Reungao)
โดย แก็มแล็ง (KEMLIN)
จาก “วารสารของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพทิศ”
(Bulletin de l’Ecole Française d’Extrême Orient)
ค.ศ. ๑๙๑๐ ฉบับที่ ๑๐ เล่มที่ ๓ หน้า ๕๐๗ - ๕๓๘
สรุปความโดย ดร.เสาวนิต รังสิยานนท์
สำหรับชาวเรืองเกา ความฝันมี 2 ชนิดคือ เตออู (tơu) และเฮอปู (hơpu) เตออูคือความฝันที่เกิดจากสิ่งที่ตกค้างในประสาทสัมผัส สืบเนื่องจากกิจกรรมที่ทำในตอนกลางวัน แล้วเก็บเอาไปฝัน เช่น ฝันว่ากลับไปที่ไร่นา หรือฝันว่าทอดแห ชาวเรืองเกากล่าวว่าความฝันชนิดนี้เกิดจากเลือดไปคั่งอยู่ที่แขนขาที่เมื่อยล้า ส่วนเฮอปู (hơpu) คือความฝันซึ่งภาพที่เห็นในความฝันนั้นไม่เกี่ยวพันกับกิจกรรมที่ทำในตอนกลางวัน ชาวเรืองเกาเชื่อว่าเฮอปูคือความฝันที่แท้จริง
ดังนั้นเตออูจึงเป็นเหตุการณ์ปรกติที่พวกเขาไม่ต้องกังวล ตรงกันข้ามกับเฮอปู ที่พวกเขาต้องเอาใจใส่ ตรวจตรา โดยการใช้ดุลยพินิจแบบโบราณซึ่งสืบทอดมาจากรุ่นบรรพบุรุษ พวกเขาจะศึกษาว่าความฝันเฮอปูจะเกี่ยวข้องกับอนาคตของตัวผู้ฝันเองหรือของผู้ใกล้ชิดอย่างไร
ตามหลักจิตวิทยาของมออี (moï) ผู้ที่มีสุขภาพดีจะมีวิญญาณอย่างน้อย 1 ดวง ชาวเรืองเกาเรียกวิญญาณนี้ว่า เมอฮอล(mơhol) หากมีผู้กล่าวอ้างว่าคนรวยอาจมีวิญญาณถึง 1 ร้อยดวง ผู้ที่มีอายุยืนยาวอาจจะเป็นเพราะมีวิญญาณหลายดวง ด้วยเมื่อวิญญาณดวงใดดวงหนึ่งประสบเคราะห์กรรม วิญญาณอีกดวงหนึ่งก็จะแทนที่ทันทีโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในกรณีที่วิญญาณเพิ่มจำนวนขึ้น ก็จะมีวิญญาณเพียงดวงเดียวที่ดูแลรักษากาย (uei) และทำให้ร่างกายมีชีวิต ส่วนวิญญาณดวงอื่น ๆ ก็จะท่องเที่ยวไปในป่า และบริเวณใกล้เคียง ในร่างของตั๊กแตนที่ชาวเรืองเกาเรียกว่า เฮอดรอ (hodro), จั๊กจั่น หรือแมงมุม
นอกจากนี้ พวกเขายังเชื่อว่าร่างกายของมนุษย์มีชีวิตและเคลื่อนไหวได้ด้วย จุดที่ละเอียดอ่อนซึ่งเป็นภาพพจน์ของเราเองที่คล้ายกับภาพที่กระจกสะท้อนออกมา จุดนี้คือที่เกิดของชีวิต เมื่อเราตื่นอยู่ และมีสุขภาพดี จุดนี้จะอยู่ในศีรษะของเรา ตรงกลางหน้าผาก หมอผีผู้รักษาโรค(เบอจาว (bơjâu)) จะเห็นจุดนี้ในรูปของปีศาจตัวเล็ก ๆ ที่ซุกซน หรือในรูปของสัตว์ตัวเล็ก ๆ และหมอผีจะพากลับมา เมื่อจุดนี้ออกไปเที่ยวเล่นในร่างของแมลง หรือปล่อยให้เป็นอิสระจากวิญญาณของผู้ตาย
วิญญาณจะสิงสถิตอยู่ใกล้เรือนผม ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังเมื่อตัดผม ประการแรก ต้องไม่ให้เศษผมที่ตัดออก หล่นลงบนพื้น เพราะวิญญาณจะไปหาที่อยู่ใหม่ใกล้ ๆ กับพื้นแถวนั้น หากเศษผมนี้ถูกฝัง วิญญาณก็จะหนีไป ด้วยคิดว่าเจ้าของผมตายแล้ว หากมีสัตว์ตัวหนึ่งตัวใดนอนเกลือกกลิ้งบนเศษผมเจ้าของผมก็จะเสียสติ ประการต่อมา หากเศษผมหล่นที่พื้น เจ้าของผมจะประสบอุบัติเหตุ นอกจากนี้ หากเดินทางไปต่างถิ่น ห้ามเอาศีรษะไปอยู่ใกล้กรรไกร เพราะวิญญาณจะอ้อยอิ่งอยู่ในต่างแดน และหาทางคืนร่างไม่ได้ ประการสุดท้าย หากตัดผมใครคนใดคนหนึ่งสัก 1 ปอย แล้วเอาไปฝังก็เท่ากับทำให้คนผู้นั้นถึงแก่ความตาย ด้วยเหตุนี้ หากทาสคนใดไม่เชื่อฟัง ชาวเรืองเกาก็จะตัดผมทาสผู้นั้นแล้วเอาไปฝัง
วิญญาณ (mơhol) ไม่ได้อยู่กับตัวเราตลอดเวลา เมื่อเราหลับวิญญาณของเราก็จะออกไปเที่ยวเล่นในร่างของแมลง ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ด้วยเหตุนี้ชาวเรืองเกาจึงไม่กล้าแตะต้องเมลงในตอนหัวค่ำหรือตอนกลางคืน หากพบเห็นแมลงนั้นในบ้าน ด้วยเกรงว่าจะทำความรำคาญให้แก่วิญญาณของคนในบ้าน เช่นเดียวกัน หากพวกเขาได้ยินเสียงนกที่เป็นบริวารของผีดิบร้อง (นกนี้ชาวเรืองเกาเรียกว่า แดง (deng) หรือปิ๊ปป๊อบ (pippop) หรือได้ยินเสียงสุนัขโชอารา (chô ará) เห่า (โชอารา =ครึ่งคนครึ่งหมาป่า) พวกเขาก็จะไม่หลับเพราะเกรงว่าวิญญาณจะเป็นเหยื่อของผีดิบและสุนัข
เมื่อร่างกายเจ็บป่วย วิญญาณก็จะไม่อยู่ในร่าง เพราะประการแรกเมื่อวิญญาณออกไปเที่ยวตอนกลางคืน ก็ไปหลงอยู่ในป่าหรือตกอยู่ในกับดักของความมืดหรือของวิญญาณชั่วร้าย เมื่อร่างกายขาดจุดที่เป็นหลักของมีชีวิต (คือวิญญาณ-ผู้แปล) ก็จะอ่อนแอและจะตายในที่สุด หากหมอผีผู้รักษาคนป่วยไม่ทำพิธีเรียกหรือไถ่ถอนวิญญาณ
ก่อนที่มนุษย์จะเข้าขั้นโคม่า เป็นฉากหนึ่งของชีวิตในชาติหน้า ทั้งนี้เพราะชาวบ้านเชื่อว่าก่อนตายวิญญาณจะพูดคุยกับคนที่ตายไปแล้ว
ชาวเรืองเกายังเชื่ออีกว่า เมื่อเราหลับ วิญญาณก็ยังตื่นอยู่ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องยึดถือความฝันที่อยู่ภายใต้สามัญสำนึกเสมอไป ในการให้ความกระจ่างเรื่องโชคดีหรือโชคร้าย วิญญาณที่อยู่กลางหน้าผากจะปกป้องคุ้มครองมนุษย์ และคอยระวังภัย วิญญาณจะติดตามเจ้าของร่างไปทุกแห่ง ยกเว้นในกรณีที่วิญญาณอยากอยู่กับบ้านหรือถูกภูติผีที่ชั่วร้ายกักขัง
วิญญาณมีอิทธิพลต่อคนและสิ่งของที่อยู่ใกล้เคียง ด้วยการใช้อำนาจลึกลับที่คล้าย “รังสี” หรือ hơiuh ของวิญญาณ อำนาจนี้ชาวเรืองเกา บาห์นาร์ (Bahnar) จาไร (Jaraï) ฮาลัง (Halang) เรียกว่า อาย (ai)[1] หรือ “อำนาจลึกลับแห่งวิญญาณ”อาย ของคนหนึ่งจะไม่เท่ากับอายของอีกคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้คนที่มี “อาย” (ai) สูงกว่าจึงบังคับคนที่มี “อาย” ต่ำกว่าได้ นอกจากนี้พวกเขายังเชื่อว่าคนที่มี “อาย” สูงสามารถบังคับสัตว์ได้ เช่น นายพรานสามารถใช้ “อาย” สะกดไม่ให้กวางได้ยินเสียงฝีเท้าของคน เพื่อคนจะได้เข้าไปใกล้กวาง และสามารถสะกดให้กวางไปในทิศทางที่เขาต้องการได้ ผู้ที่มี “อาย” หรืออำนาจลึกลับของวิญญาณที่แข็ง ยังสามารถใช้ “อาย” ของเขาบังคับต้นไม้ไม่ให้ล้มทับคนได้
โดยปรกติ คนที่มีเลือดฝาดดีจะมี “อาย” ที่มีอำนาจ และมีพลังในกายเสมอ คนพวกนี้ไม่เกรงกลัวในการทำสิ่งใดและมักประสบผลสำเร็จ ซึ่งเป็นความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งของชาวเรืองเกา ส่วนผู้ที่มีผิวพรรณซีดเซียว ขี้อาย ไม่มีความคิดริเริ่ม ถูกชักจูงได้ง่าย จะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จได้น้อย
อีกประการหนึ่ง ผู้ที่มี “อาย” สูง อาจจะสูญเสีย “อาย” ของเขาด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง ต่อจากนั้นเขาจะมีสุขภาพอ่อนแอลง ไม่มีเลือดฝาด กำลังวังชาลดลง ไม่สนใจสิ่งใด และทำอะไรก็ไม่สำเร็จ เมื่อผู้ป่วยมีอาการเช่นนี้ หมอผีผู้รักษาโรค หรือ “เบอจาว” (bơjâu) ที่ชำนาญก็จะใช้เวทมนตร์ที่เรียกว่า “เบอดางอาย” (bơdâng ai) แปลว่า “ทำให้อายแข็งแรง” เมื่อร่ายเวทมนต์แล้ว หมอผีก็จะเพ่งไปที่วิญญาณของผู้ป่วย ซึ่งหมอผีมีอำนาจบังคับได้
หากผู้ใดทำตัววุ่นวาย โมโหง่าย และกราดเกรี้ยว ก็แสดงว่า “อาย” มีพละกำลังมากกว่าร่างกายของคน ๆ นั้น
เมื่อมีคนตายจะด้วยอุบัติเหตุหรือตายตามธรรมชาติก็ตาม ชาวเรืองเกาจะพูดว่า “พลังชีวิต(อาย) ของเขาไปโน่นแล้ว”
ส่วนชาวมออี (Moï) เชื่อว่าทุกสิ่งมี “อาย” หรืออำนาจลึกลับของวิญญาณในตัวตามสภาพของสิ่งนั้น (ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต)
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อจะได้มีปืนหรือหน้าไม้ที่มีประสิทธิภาพ อาวุธเหล่านี้จะต้องมี “อาย” ที่เข้ากันได้หรือเหมาะสมกับเจ้าของ เพื่อทั้ง 2 ฝ่ายจะได้เห็นใจกันและกัน หาก “อาย” หรือพลังวิญญาณของเจ้าของและของอาวุธเข้ากันไม่ได้ ก็จะล่าสัตว์ไม่ได้
ในการแต่งงาน หาก “อาย” หรือพลังหรืออำนาจของวิญญาณของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแข็งกว่าของอีกฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายที่แข็งกว่าก็จะขับหรือข่มฝ่ายที่อ่อนกว่า และอาจทำให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตายได้ (น่าจะเป็นฝ่ายที่มีดวงอ่อนกว่ามากกว่า (ในกรณีนี้ “อาย”ของชาวเรืองเกาอาจเทียบได้กับดวง(ชะตา) ของไทย-ผู้แปล)
ส่วนในด้านการเพาะปลูก การค้าหรือการสู้รบ พลัง (อำนาจ) ของวิญญาณ หรือ “อาย” ของผู้คนอย่างเดียวไม่พอ ผู้คนต้องมี “อาย” ที่เข้ากันได้กับเจ้าที่อยู่ในท้องที่นั้น ๆ หากทำการเพาะปลูกก็ต้องมี “อาย” ที่เข้ากันได้กับ “อาย” ของพืชผล ในการค้าขายก็ต้องมี “อาย” เข้ากับ “อาย” ของการค้า และในการสู้รบก็ต้องมี “อาย” ให้เข้ากับการป้องกันหมู่บ้าน
เมื่อชาวมออี (Moï) พูดถึงความฝัน หากผู้ฟังต้องการรู้รายละเอียดก็จะถามว่า ที่เห็นในความฝันนั้น อยู่ในโลกนี้ หรือโลกอื่น (ในสำนวนท้องถิ่น : “ข้างนี้” หรือ “ข้างโน้น”) หมายความว่า วิญญาณเห็นและมีปฏิกิริยาโดยตรง หรือผ่านทางร่างกาย ทั้งนี้เพราะโลกที่วิญญาณรับรู้ในฝันนั้นไม่ได้เกี่ยวกับร่างกาย แต่เป็นโลกของวิญญาณ เมื่อวิญญาณพบกวางในฝัน ก็ไม่ใช่กวางที่มีเลือดเนื้อ แต่เป็นวิญญาณของกวาง เมื่อคนฝันว่าเข้าไปในกระท่อม ก็ไม่ใช่กระท่อมในชีวิตประจำวัน แต่เป็นวิญญาณของกระท่อมซึ่งอยู่ในรูปของกระท่อมในโลกอื่น และไม่เหมือนกระท่อมในโลกนี้ นอกจากนี้รูปร่างของสิ่งของแต่ละประเภทที่เห็นในฝันจะแปรเปลี่ยนไป เช่นไหที่เห็นในฝันจะเป็นเพียงเหยือกน้ำ ปลาจะเป็นซีกไม้ ทาสผู้รับใช้จะเป็นแม่ไก่ ฯลฯ เมื่อรู้จักรูปร่างของวิญญาณของสิ่งของหรือของสิ่งที่มีชีวิตที่เห็นในฝันก็จะสามารถทำนายฝันได้ ผู้ที่มีความรู้เรื่องนี้ดีคือหมอผี ซึ่งชาวบ้านจะไปขอความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา
การเข้าไปเห็นโลกของวิญญาณในความฝันนั้นทำให้ชาวเรืองเกาและชาวเผ่าอื่นที่อยู่ใกล้เคียงเชื่อว่าสิ่งของทุกสิ่งมีวิญญาณ
โลกของวิญญาณที่ทำให้สิ่งที่มีชีวิตบนโลกมนุษย์มีชีวิต ไม่ใช่โลกเดียวกันกับโลกที่วิญญาณของมนุษย์เห็นในความฝัน โลกของวิญญาณ (ที่เห็นในฝันมี 2 โลกคือ โลกของเจ้า (iàng) และโลกของความมืด (kiăk) อนึ่งโลก 2 โลกนี้แตกต่างกันมากจนสามารถบอกได้ว่า โลกของวิญญาณคือโลกที่อยู่ “ใกล้” กับโลกของเรา ส่วนโลกของคนตายนั้นคือโลก “อื่น” ด้วยเหตุนี้ หากในความฝันเราเห็นคน ๆ หนึ่ง ซึ่งยังมีชีวิตอยู่แล่เนื้อกวาง ความฝันนี้มีความหมายว่าเราได้ไปร่วมงานเลี้ยงของวิญญาณที่กำลังกินเนื้อควาย แต่หากฝันเห็นคนที่ตายไปแล้วก็จะเห็นว่าเขากำลังกินน้ำจากคนโทน้ำเต้า ที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่าโลกแห่งวิญญาณเรียกกวางในโลกมนุษย์ว่าควาย และควายในโลกแห่งวิญญาณมีบทบาทเช่นเดียวกับกวางในโลกมนุษย์ ตรงกันข้ามในโลกของคนตายบวบเข้ามาแทนที่กวาง
การที่วิญญาณของมนุษย์เกี่ยวข้องกับวิญญาณของคนตาย ในขณะที่มนุษย์หลับนี้ ทำให้ชาวเรืองเกาเชื่อว่าเมื่อวิญญาณไปเกิดในโลกอื่นหลังจากตายแล้ว ก็สามารถตายได้อีก ดังนี้จึงมีการเกิดแล้วตายหลายครั้ง
ชาวเรืองเกาสามารถสรุป และทำนายเหตุการณ์ในอนาคตได้จากการที่คนในโลกมนุษย์ฝันเห็นคนตาย ทั้งนี้สืบเนื่องจากหลักที่ว่า ทุกเหตุการณ์ในโลกมนุษย์เป็นภาพสะท้อนจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในโลกของวิญญาณ ดังนั้น หากมีคนตายในวันนี้ ก็เพราะว่าวิญญาณของเขาได้ออกจากร่างไปนานแล้ว และหากมีกวางมาติดกับดักคืนนี้ ก็แสดงว่าภูติผีได้กินวิญญาณของกวางตัวนั้นนานมาแล้ว หรือวิญญาณของกวางตัวนั้นติดอยู่ในกับดักแห่งเวทมนต์ เมื่อไม่นานมานี้ ด้วยเหตุนี้ ในวันแรกของการหว่านเมล็ดพันธุ์ ชาวเรืองเกาจึงทำกับดักสัตว์อันจิ๋ววางไว้ใกล้กับกระท่อมของเจ้าหรือเอียง เซอรี (Iàng Xơri) และขอให้ภูติผี (หรือวิญญาณอื่น) ส่งวิญญาณของกวางและหมูป่ามาติดกับดักอันจิ๋วที่พวกเขาวางไว้ เพื่อร่างของกวางและหมูป่าจะได้มาติดกับดักจริง ๆ ในเวลาต่อมา
ในการทำนายฝัน หากฝันดี ชาวเรืองเกาจะไม่บอกใคร เพราะกลัวว่าวิญญาณอื่น ๆ จะไม่ช่วยให้เกิดผลดี และความฝันที่ดีนั้นก็อาจจะไม่เป็นจริง แต่หากฝันไม่ดีก็ไม่ต้องบอกให้ใครรู้ เพราะจะทำให้ฝันร้ายนั้นมีโอกาสที่จะเป็นจริงได้
เพื่อที่จะขัดขวางไม่ให้ฝันร้ายกลายเป็นความจริง เช่นความฝันที่บอกว่าการล่าสัตว์จะไม่ได้ผล บอกการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ ชาวเรืองเกาจะเล่าความฝันร้ายนี้แก่สิ่งของที่น่าเกลียด น่าขยะแขยงหรือสกปรกเพื่อวิญญาณ (หรือภูติผี) จะได้รังเกียจ และฝันร้ายนั้นจะได้ไม่เป็นจริง หากฝันร้ายในตอนกลางคืน ทันทีที่ตื่นจะต้องเอาไม้ท่อนเล็ก ๆ เคาะที่ช่องประตู พร้อมกับกล่าวคำพูดเพื่อให้ฝันร้ายจบลงที่นี่ (ดูหน้า 526)
ถึงแม้จะเชื่อความฝัน ชาวเรืองเกาก็ยังยอมรับว่าความฝันไม่ได้เป็นจริงเสมอไป เพราะวิญญาณของคนอาจผิดพลาดได้ หรือคนที่ฝันมีหลายวิญญาณ และวิญญาณดวงใดดวงหนึ่งสามารถที่จะเดินทางไปโลกอื่นได้ โดยที่ร่างกายไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด
ผู้เขียนได้ถ่ายทอดเรื่องเล่าเกี่ยวกับวิญญาณของชาวฮาลัง (halang) และของชาวจาไร (Jaraï) ไว้ในหน้า 526 (ท้ายหน้า)-หน้า 528 ซึ่งทั้ง 2 เรื่องพูดถึงวิญญาณที่ออกจากหูในรูปของตั๊กแตนหรือแมงมุม แล้วกลับเข้าร่างที่ยังหลับอยู่ทางหูเช่นกัน
กุญแจทำนายฝัน
เนื่องจากคำทำนายฝันของชาวเรืองเกาขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในความฝัน ดังนั้นผู้เขียนจึงจำแนกความฝันตามเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของชาวเรืองเกา เช่น 1) การปลูกข้าว 2) การค้าขาย 3) การประมงและการล่าสัตว์ 4) การสร้างหมู่บ้านหรือการสร้างบ้าน 5) การสู้รบ 6) โรคภัยไข้เจ็บและความตาย 7) พิธีแต่งงาน ตัวอย่างเช่น
1) เมื่อเริ่มถางป่าทำไร่หรือเมื่อเริ่มหว่านเมล็ดพันธุ์ หากฝันเห็นหลุมฝังศพเก่าล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่ เป็นลางว่าฝนจะตกต้องตามฤดูกาล หรือเป็นปีที่ชุ่มชื้น เพราะหลุมฝังศพเก่าที่ล้อมรอบต้นไม้ใหญ่เป็นสัญลักษณ์ของความชุ่มชื้น และฝันเห็นบึงหรือหนองน้ำ เป็นลางว่าจะมีข้าวเต็มยุ้ง ฯลฯ
2) เมื่อจะไปแลกเปลี่ยนสินค้า ทวงหนี้สินหรือปรับไหมผู้ใด หากฝันเห็นคนโทน้ำเต้า หมายความว่าจะได้ไห เนื่องจากคนโทน้ำเต้าเป็นรูปร่างของวิญญาณที่แยกออกมาจากไห หากฝันว่าลงเรือทวนกระแสน้ำในแม่น้ำ หมายความว่าจะค้าขายได้กำไรดี “อาย” ของผู้ขายจะแข็งกว่าผู้ซื้อ และหากฝันว่าเดินทางตามกระแสน้ำ เป็นสัญญาณว่าจะไม่ได้อะไร “อาย” ของคนอื่นจะแข็งกว่าของเรา ฯลฯ
3) เมื่อจะไปล่าสัตว์ด้วยปืนหรือวางกับดักสัตว์ หากฝันว่าไปเก็บใบไม้ในป่าและได้ใบไม้เต็มกระบุงที่ใช้สะพายหลัง แสดงว่าเป็นลางดี เช่นเดียวกัน ถ้าฝันว่าเห็นคนขนกลองจะเป็นลางที่ดีมาก เพราะเป็นสัญญาณว่าจะล่ากวางได้ เนื่องจากกลองหุ้มด้วยหนังกวาง ฯลฯ
4) เมื่อจะย้ายหมู่บ้านไปตั้งในที่ใหม่ เมื่อเลือกสถานที่ได้แล้ว ก็ต้องถางป่าก่อนที่จะย้ายเข้าไปอยู่ ในคืนถัดจากนั้น หากฝันเห็นบึงซึ่งเป็นสัญญาณของความสดชื่น หมายความว่าจะมีสุขภาพดีเลิศ หากฝันว่าตนเองจับคนมาเป็นเชลย เป็นลางว่าผู้ฝันจะเจ็บป่วย จะต้องต่อสู้กับวิญญาณ แต่ก็จะชนะและจะหายป่วยในที่สุด ฯลฯ
5) เมื่อจะออกรบทุกครั้งชาวเรืองเกา จะต้องเสี่ยงโชคชะตากับนก (เข้าใจว่าต้องฟังเสียงนกร้อง เช่นเดียวกับการถางป่าเพื่อทำไร่ (ดูในเรื่อง “พิธีเกี่ยวกับที่ดิน (ไร่นา) ของชาวเรืองเกา” – ผู้แปล) แต่ความหวังเรื่องชัยชนะนั้นขึ้นอยู่กับความฝัน เช่นถ้าฝันว่าจับลิงหรือไก่ได้ หมายความว่าจะได้เชลยจากการสู้รบ ฯลฯ
6) ความฝันเกี่ยวกับการเจ็บป่วยหรือความตายของชาวเรืองเกา มีบางประการคล้ายกับความเชื่อของไทย เช่น หากฝันว่าไปเยี่ยมญาติที่ตายไปแล้วและอยู่ที่บ้านของเขา เป็นสัญญาณว่าวิญญาณออกจากร่างและจะตาย หากเจ็บป่วยในคราวหน้า แต่หากในฝันนั้นผู้ฝันไม่พอใจที่จะอยู่บ้านญาติผู้ล่วงลับ ความฝันนั้นจะไม่มีผล และหากฝันว่า ฟันซี่ใดซี่หนึ่งหัก หมายความว่าสมาชิกในครอบครัวคนใดคนหนึ่งจะตายในไม่ช้า
ส่วนความฝันที่เป็นลักษณะเฉพาะของชาวเรืองเกาก็มีหลายเรื่อง เช่น หากใครฝันว่ากินมะเขือ หรืออ้อย หรือกล้วยสุก เป็นสัญญาณว่าเขาผู้นั้นจะเป็นหวัด
หากฝันว่าลงเรือลำใหม่เอี่ยมล่องไปตามแม่น้ำ แสดงว่าร่างกายยังแข็งแรง แต่หากล่องไปตามแม่น้ำด้วยเรือเก่า หมายความว่าผู้ฝันไม่มีกำลังวังชา และจะตายเร็ว เหมือนกับที่ล่องไปตามลำน้ำ หากลงเรือเก่าทวนน้ำเป็นลางว่าผู้ฝันจะป่วยเป็นเวลานาน แต่ไม่ถึงตาย ฯลฯ
7) ความฝันที่เกี่ยวกับการแต่งงาน เช่น หากฝันว่าได้ของขวัญ ได้ยาสูบ ใบไม้หรือผลไม้ เป็นสัญญาณว่าคู่สมรสจะมั่งคั่งร่ำรวย จะปรองดองกัน และไม่แยกทางกัน
หากผู้ใดฝันว่าตนเองไม่ได้ปกปิดร่างกาย หมายความว่าในไม่ช้าคนผู้นั้นจะคบชู้ หรือจะมีสัมพันธ์สวาทกับชู้ หากฝันเห็นคนอื่นอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า เป็นสัญญาณว่าคนผู้นั้นจะประพฤตินอกลู่นอกทาง
[1] หมายเหตุผู้แปล “อาย” (ai) ตามความเชื่อของชาวเรืองเกา อาจเทียบได้กับอำนาจหรือพลังจิตของไทย
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อดาวน์โหลดเอกสาร เข้าสู่ระบบ *