เขียนโดย Dumoutier, Gustave, 1850-1904 | วันที่เผยแพร่เอกสาร 01/01/2513
ผู้เข้าชม 2093 | จำนวนดาวน์โหลด 0
คะแนนสื่อ
Études sur les Tonkinois = การศึกษาเรื่องราวของชาวตังเกี๋ย
Dumoutier, Gustave, 1850-1904
ไทย - อังกฤษ
ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
M.G. Dumoutier. (Année 1901). Études sur les Tonkinois.Bulletin de l'Ecole française d'Extrême-Orient. Volume 1 Numéro 1 pp. 81-98
ดูเอกสารต้นฉบับจาก www.persee.fr
การศึกษาเรื่องราวของชาวตังเกี๋ย (Études sur les Tonkinois) โดย Monsieur G. Dumoutier ผู้อำนวยการการศึกษาที่ตังเกี๋ย
สรุปความโดย ดร.เสาวนิต รังสิยานนท์ บทความนี้มี 3 ตอน ตอนที่ 1 เรื่องที่อยู่อาศัย ตอนที่ 2 เรื่องการแกะสลัก ตอนที่ 3 เรื่องศิลปะการฝังมุก
I ที่อยู่อาศัย
ที่อยู่อาศัยของชาวตังเกี๋ยในระยะแรกเริ่มสร้างด้วยวัสดุที่หาได้ในป่า เช่น ท่อนไม้ ไม้ไผ่ และใบไม้ กร ะท่อมชนิดนี้เรียกว่า mương ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเขาในตังเกี๋ย กระท่อม mương ยกพื้นสูงด้วยเสา เพื่อปลอดภัยจากสัตว์ร้าย และป้องกันความชื้นจากดิน มุงหลังคาด้วยใบไม้หนา ใต้ถุนบ้านเป็นคอกสัตว์ เล้าไก่ และเป็นที่เก็บฟืน มีบันไดไม้ไผ่พาดขึ้นบนบ้านอันเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัว ซึ่งมีเพียงห้องเดียว โดยใช้ฉากไม้ไผ่กั้นเป็นส่วน ๆ เป็นห้องรวมใช้รับแขกด้วย อีก 2 ห้องเป็นของผู้หญิงและผู้ชาย แยกจากกัน ห้องครัวมีเนื้อที่ประมาณ 2 ตารางเมตร ต่อมาเมื่อมาอาศัยอยู่ในที่ราบใกล้กับแม่น้ำลำธาร ชาวอันนัมก็สร้างบ้านติดกับพื้นดิน มีรั้วกั้นอาณาเขตพื้นบ้านเป็นดินอัดแน่น ฝาทำด้วยไม้ไผ่ มุงหลังคาด้วยใบไม้หรือหญ้าตามแต่จะหาได้ในพื้นที่ ตรงกลางแบ่งเป็นห้องรับแขก ห้องรับประทานอาหาร และห้องบูชาบรรพบุรุษ ส่วนห้องริมเป็นห้องนอนของผู้หญิง บ้านลักษณะนี้สร้างด้วยฟางผสมดินเหนียวหรืออิฐ ไม่มีประตูหลังบ้าน ส่วนบ้านในเมืองย่านการค้า จะยาวตามแนวถนนเพื่อวางสินค้า ห้องที่อยู่ด้านหน้าจึงเป็นส่วนที่ทำการค้าขาย ส่วนห้องอื่นก็เหมือนกับบ้านที่อยู่ตามไร่นาที่กล่าวมาแล้ว ผู้ที่มีฐานะดีก็จะต่อเติมบ้าน และขยายอาณาเขตของบ้านออกไป ด้านในของบ้านบางครั้งจะต่ออีกชั้น แต่เมื่อถูกฝรั่งเศสยึดครองก็มีการห้ามต่อบ้านเป็น 2 ชั้น และห้ามมีหน้าต่างติดถนน ห้ามประดับประดาด้วยงานแกะสลัก และยังห้ามเปิดประตูหน้าบ้านพร้อมกัน 5 บานอีกด้วย บ้านในเมืองไม่มีกำแพงกั้น สถาปัตยกรรมของอันนัมเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้า ๆ โดยยึดหลักความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี จนถึงปี 1901 สถาปัตยกรรมของตังเกี๋ย ยังคงรูปแบบเดิมของจีนตั้งแต่ปี 1109 ก่อนคริสตกาล ทั้งนี้เพราะชาวจีนที่ครอบครองอันนัมตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษได้นำสถาปัตยกรรมมาเผยแพร่ หลังจากนั้นจนถึงศตวรรษที่ 9 เหตุการณ์การเมืองมีผลให้ชาวอันนัมไม่สามารถสร้างสถาปัตยกรรมอย่างอื่น นอกจากป้อมค่าย ในสมัยของ Ðinh Thiên-hoàng อันนัมได้เอกราช จึงสร้างเมืองหลวงที่หัวลุ (Hoa-Lư) ในครั้งนั้นมีการสร้างพระราชวัง ที่ทำการกระทรวง วัด ซึ่งสวยงามเป็นเลิศ แต่หัวลุก็เป็นเมืองหลวงในระยะสั้น (968-1010 ในสมัยราชวงศ์ ดิ่นห์ (Ðinh) และราชวงศ์เล (Lê)) ด้วยถูกทอดทิ้ง และกลายเป็นเพียงซากปรักหักพังในเวลาต่อมาคงเหลือแต่เพียงพระราชวังของจักรพรรดิ Ðinh Tiên-hoàng และจักรพรรดิ Lê Dại-hành ซึ่งต่อมาได้รับการดัดแปลงให้เป็นวัดและดูแลรักษาอย่างดี เมื่ออันนัมรบชนะจามได้นำเชลยศึกมาเป็นจำนวนมาก ชาวจามที่ถูกจับมาก็สร้างวัดในชุมชนที่ตนอาศัย เช่นวัด Chùa Tầo ที่ฮานอยในปัจจุบัน ต่อมากษัตริย์ในราชวงศ์ลิ (Lý) ได้ก่อสร้างวัดพระราชวัง มากมายหลายแห่ง ระหว่างศตวรรษที่ 11-13 จึงมีวัดพูด่อง (Phù-dổng) วัดเย็นลาง (yen-lãng) วัดตรันวู (Trần-vũ) วัดขงจื๊อที่ฮานอย ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นศิลปะแบบ T’ing ของจีน นอกจากนี้หอรบในตังเกี๋ยยังเป็นสถาปัตยกรรมในสมัยราชวงศ์ Tai ของจีน ปลายศตวรรษที่ 18 วัสดุก่อสร้างที่อันนัมใช้นั้นมีเพียงดินเผาและไม้ ดังนั้นจึงไม่สามารถสร้างตึกใหญ่ ๆ ได้ และเมื่อเวลาผ่านไปก็เหลือร่องรอยน้อยมากหรือไม่เหลือเลย ส่วนการสร้างบ้านก็มีกฎเกณฑ์ที่ยุ่งยาก ซึ่งต้องทำตามประเพณี โดยไม่คำนึงถึงสุขลักษณะ การเลือกทำเลสร้างบ้านก็ยาก เพราะเชื่อว่าทำเลของบ้านจะทำให้ครอบครัวมีความสุขหรือย่อยยับได้
II ศิลปะการแกะสลัก
ในตังเกี๋ยมีช่างแกะสลักมากกว่าประเทศใด ๆ ในยุโรป ศิลปะการแกะสลักของเมืองนี้จะพบในวัดเป็นส่วนมาก โดยได้รับแรงบันดาลใจจากจีน และมีศิลปะของจามเจือปนอยู่ ชาวอันนัมจะลอกเลียนแบบของโบราณตลอดเวลา แต่จะติดรูปแบบเพื่อให้ศิลปะแบบโบราณเหมาะสมกับชนิดและพื้นผิวของวัตถุที่จะใช้ชิ้นงานประดับ แต่เขาจะไม่ดัดแปลงหรือทำให้ศิลปะแบบโบราณมีชีวิตชีวา งานแกะสลักที่เกี่ยวกับศาสนาแกะจากไม้ขนุน (jacquier) ใช้ประดับแท่นบูชา ตู้เก็บเครื่องบูชา และประดับตามโบสถ์ วิหารในวัด นอกจากนี้ยังหมายถึงการสร้างพระพุทธรูปในศาสนาพุทธ (คือพระศาสดาศากยมุนี) และรูปปั้นนักบุญในลัทธิเต๋า ซึ่งแสดงให้เห็นความคิดในด้านศิลปะของอันนัมได้อย่างชัดเจน เมื่อพระผู้ใหญ่ถึงแก่มรณภาพก็ทำรูปปั้นของท่านในท่าพนมมือ แต่จะไม่เหมือนตัวจริง เพราะระบายสีทั้งตัว ส่วนใบหน้าและมือมีสีเนื้อ ตรงกันข้ามกับพระพุทธรูปซึ่งเป็นสีทองเหลืองอร่ามทั้งองค์ ผู้ที่ทำงานศิลปะเกี่ยวกับศาสนาแยกตัวอยู่ต่างหาก ไม่รวมกลุ่มกับช่างแกะสลักอื่น ๆ นอกจากนี้ ชาวอันนัมยังทำรูปปั้นของบุคคลในประวัติศาสตร์ เช่น รูปปั้นของกษัตริย์ ดิ่นห์ เธียน เฮือง (Dinh Thièn-hoàng) ที่วัดหัวลู (Hoa-lư) ซึ่งครองราชย์ในปลายศตวรรษที่ 10 และรูปปั้นของกษัตริย์ เล ได ฮานห์ (Lê Dại-hành) ที่วัดในสุสานของกษัตริย์ราชวงศ์เล (Lê) ตัวอย่างรูปหล่อที่สำคัญที่สุดของตังเกี๋ยคือ รูปหล่อนักรบดำ หรือที่เรียกกันว่า “พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่” แห่งฮานอย หล่อด้วยบรอนซ์ หนัก 4 พันกิโล โดยชาวอันนัมในรัชสมัยไฮทอง (Hi-tông) โดยใช้แม่พิมพ์จากจีน ส่วนรูปหล่อด้วยโลหะที่สวยที่สุดของตังเกี๋ยคือ รูปหล่อเทพเจ้าแห่งสงคราม สูงเท่าตัวคน อยู่ในวัดที่ถนนวัวล์ ที่ฮานอย รูปที่แกะจากหินเท่าที่ผู้เขียนรู้จักมีอยู่เพียง 1 รูปในตังเกี๋ย คือรูปแกะสลักศิลปินที่สร้าง “พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของฮานอย” หินที่ศิลปินตังเกี๋ยใช้แกะสลักมาจากภูเขา Ðây และธันห์หัว (Thanh-hoá) นอกจากนี้ช่างแกะสลักชาวอันนัมยังใช้หินสร้างจารึก เพื่ออุทิศหรือเป็นอนุสรณ์ จารึกเหล่านี้บางครั้งก็แกะเป็นภาพนูนต่ำเพื่อใช้ประดับ เช่นที่วัดซิแย็ล (Ciel) ซึ่งเป็นวัดโบราณที่ฮานอย
III ศิลปะการฝังมุก
ในยุคดึกดำบรรพ์ มนุษย์ใช้เปลือกหอยเป็นเครื่องประดับร่างกาย ต่อมามีการพัฒนาเครื่องเรือนและอาวุธ มนุษย์ก็ใช้สิ่งของที่หาได้ในธรรมชาติมาประดับสิ่งของเหล่านี้อย่างมีศิลป์ เมื่อเริ่มมีอารยธรรม จากหลักฐานที่ปรากฏ มนุษย์รู้จักใช้สิ่งต่าง ๆ ฝังลงไปในสิ่งของเครื่องใช้ จากเอกสารจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่น นักรบใช้อานม้าที่ฝังด้วยเปลือกหอย จากหนามไห่ (Nam-hải) ต่อมาศิลปะนี้ก็แพร่หลายในหมู่คนป่าเถื่อนและเร่รอน จนถึงก่อนปลายศตวรรษที่ 18 ปรากฏว่าชาวญี่ปุ่นได้รับศิลปะชนิดนี้จากจีนแล้ว ในขณะที่ชาวอันนัมยังไม่รู้จัก จนกระทั่งเหงียนคิม (Nguyên-kim) แห่งหมู่บ้าน ธวนเหงีย (Thuân-nghia) เป็นผู้นำมาเผยแพร่ในฮานอย ต่อมาเขาได้รับการยกย่อง และมีการสร้างวัดเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา แต่วัดถูกรื้อเพื่อสร้างถนนปอลแบร์ (Paul-Bert) เมื่อฝรั่งเศสยึดครองเวียดนามก็พบว่ามีสิ่งของต่าง ๆ ทำด้วยไม้สีดำหรือลงรัก ฝังมุกสีต่าง ๆ ละลานตา ส่วนลวดลายบนกล่องใส่ของและเครื่องเรือนบางชิ้นคล้ายลวดลายของอาหรับ ในสมัยโบราณชีวิตของศิลปิน เวียดนามในเมืองเว้ (Huê) นั้นลำบากด้วยถูกใช้ให้ทำงาน โดยไม่ได้รับการเอาใจใส่ดูแล ดังนั้นในหัวเมืองจึงมีแต่ช่างฝีมือที่ไม่ชำนาญงาน ส่วนผู้ที่มีความสามารถก็แอบซ่อนอยู่แต่ในบ้าน เพราะกลัวจะถูกบังคับให้ทำงานหนัก หลังจากการปฏิวัติและสงคราม งานศิลปะก็ถูกนำออกจากบ้านขุนนาง และวัดออกสู่ตลาด ชาวยุโรปก็ซื้อไปจนหมด ต่อมาเมื่อศิลปินมีอิสระในการทำงานมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่างฝังมุกก็พัฒนาฝีมือ ทำให้ชิ้นงานมีความละเอียด อ่อนช้อย
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อดาวน์โหลดเอกสาร เข้าสู่ระบบ *