กลุ่มชาติพันธุ์ : ซะโอจ

  • ชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ : ซะโอจ
  • ชื่อเรียกตนเอง : ซะโอจ, ชอง
  • ชื่อที่ผู้อื่นเรียก : อูด, ชุอุ้ง, ซะอูด
  • ภาษาที่ใช้พูดและเขียน : ตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก กลุ่มภาษาเปียริก ไม่มีภาษาเขียน
  • มิติทางประวัติศาสตร์ที่มีผลต่อการเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ :

     ชื่อเรียกตนเอง 

              "ซะโอจ" หรือ "ชอง" เป็นชื่อที่ผู้พูดเรียกภาษาของตัวเองและเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ของพวกเขา 

              ชื่อที่ผู้อื่นเรียก

              "อูด" "ชุอุ้ง" "ซะอูด" โดยปกติชาวซะโอจไม่ชอบเมื่อคนอื่นเรียกพวกเขาว่า "อูด" ซึ่งเป็นคำพ้องเสียงที่แปลว่า "ฟืน" ในภาษาของพวกเขา อีกทั้งบังเอิญมีความหมายเหมือนกับคำว่าอูฐในภาษาไทย  (Isara Choosri ,2007 :27) 

  • เอกสารอ้างอิง :

    เนื้อหาโดย นายคำรณ  วังศรี   เครือข่ายชาติพันธุ์ชอง จังหวัดจันทบุรี

    ปีงบประมาณ 2562, วันที่อัพโหลด 29 กันยายน 2562 

    เอกสารอ้างอิง

    • เจตน์จรรย์  อาจไธสง และคณะ. (2560). รายงานผลการวิจัย เรื่อง อัตลักษณ์ทางสังคมและวัฒนธรรม “ชาวชอง-ชาวซำเร” ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย-กัมพูชา. (จันทบุรี : คณะเทคโนโลยีสังคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตจันทบุรี). น.64
    • ชิน  อยู่ดี. (2506). เผ่าชอง  รายงานเสนอกองโบราณคดี กรมศิลปากร เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2506 ยังไม่เคยตีพิมพ์.
    • ฐานความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ในชุมชนหลากหลายวัฒนธรรม. (2557). ขนมทองโย๊ะ ชุมชนบ้านหนองบาง อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี. สืบค้น 20 มิถุนายน  2562, จาก https://www.thailocalwisdom.com/index.php/commun/west/item/93-066
    • เทคโนโลยีชาวบ้าน. (2561). ทราบหรือไม่ ไผ่รวกไทยมีกี่ชนิด. สืบค้น 20 มิถุนายน  2562, จาก https://www.technologychaoban.com/bullet-news-today/article_74974
    • โลกละไม. (2554). ขนมทองโยะ. สืบค้น  20  มิถุนายน  2562, จาก http://pleasant-wanderer.blogspot.com/2011/01/blog-post_26.html
    • วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (2562). ภาษาซะโอจ. สืบค้น  20  มิถุนายน  2562, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%88
    • สุดารัตน์  หอมหวน, ปาริฉัตร  สารรัตน์, สุจิตรา  ใยงูเหลือม, พีรญา  อัครกนกสิน, ลลิตา  รามศักดิ์, กมลชนก  ขันทะ,...กรรณิการ์  ตรวจนอก. (2552). เทียนตาตั๊กแตน. จากฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. สืบค้น 20 มิถุนายน 2562, จาก http://www.thaicrudedrug.com/main.php?action=viewpage&pid=70
    • ห้องสมุดออนไลน์. (ม.ป.ป.). ศิลปวัฒนธรรมเพลงพื้นบ้านภาคกลาง เพลงเหย่ย. สืบค้น 20 มิถุนายน  2562, จาก https://sites.google.com/site/library2u/silpa-wathnthrrm/kvs-thradl-cha-ti-nanth/phe-lng-hey-y
    • องค์การบริหารส่วนตำบลหนองเป็ด. (2558). ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่. สืบค้น 20 มิถุนายน  2562, จาก http://www.nhongped.go.th/information/
    • องค์การบริหารส่วนตำบลหนองเป็ด. (ม.ป.ป.). ฐานข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่น ชนเผ่าขมุ-ฌอง. เอกสารอัดสำเนา.
    • อิสระ ชูศรี. ชอุง ภาษาพลัดถิ่นจากกัมพูชา ที่กาญจนบุรี. หน้า 66-73. ใน วัฒนธรรม ปีที่ 54 ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม 2558. โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์. กรุงเทพมหานคร
    • MGR Online. (19 ม.ค. 2553). ภาษาถิ่นที่สูญหาย ความตายของวัฒนธรรม. ผู้จัดการออนไลน์. สืบค้น 20 มิถุนายน 2562, จาก https://mgronline.com/live/detail/9530000008089
    • Choosri, I. (2007). Investigating Contact-induced Language Change: Cases of Chung (Saoch) in Thailand and Cambodia. The degree of doctor of Philosophy (Linguistcs), Faculty of Graduate studies Mahidol University.
    • Choosri, I. (2009). Chung (Saoch) of Thailand and Cambodia: phonological and lexical comparisons. A Journal of Southeast Asian Languages and Cultures: Special Volume Dedicated to Dr. David Thomas, 69-85.

    สัมภาษณ์

    • กุหลาบ  วันทอง. อดีตผู้ใหญ่บ้านบ้านทุ่งนาหมู่ที่ 4. อายุ 61 ปี. 99 หมู่ที่ 4 บ้านทุ่งนา ตำบลหนองเป็ด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี. (6 พฤษภาคม 2562). สัมภาษณ์.
    • จินดา  หม่องสาย. หมู่ที่ 4 บ้านทุ่งนา ตำบลหนองเป็ด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี. (9 พฤษภาคม 2562). สัมภาษณ์.
    • ใจ  วรรณทอง. อายุ 69 ปี. หมู่ที่ 4 บ้านทุ่งนา ตำบลหนองเป็ด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี. (7 พฤษภาคม 2562). สัมภาษณ์.
    • ดอกเทียน  สร้อยทอง. อายุ 54 ปี. 21 หมู่ที่ 4 บ้านทุ่งนา ตำบลหนองเป็ด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี. (7 พฤษภาคม 2562). สัมภาษณ์.
    • ทรง  กากี. อายุ 87 ปี. 19/1 หมู่ที่ 4 บ้านทุ่งนา ตำบลหนองเป็ด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี. (9 พฤษภาคม 2562). สัมภาษณ์.
    • บุญปลูก  สร้อยทอง. หมอพื้นบ้าน. อายุ 82 ปี. 21 หมู่ที่ 4 บ้านทุ่งนา ตำบลหนองเป็ด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี. (9 พฤษภาคม 2562). สัมภาษณ์.
    • มน  กากี. อายุ 66 ปี. 19/1 หมู่ที่ 4 บ้านทุ่งนา ตำบลหนองเป็ด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี. (7 พฤษภาคม 2562). สัมภาษณ์.
    • มนัส  ประเนติ. อายุ 65 ปี. หมู่ที่ 4 บ้านทุ่งนา ตำบลหนองเป็ด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี. (9 พฤษภาคม 2562). สัมภาษณ์.
    • เย็น  อินทผลัม. หมอตำแย. อายุ 73 ปี. 18/1 หมู่ที่ 4 บ้านทุ่งนา ตำบลหนองเป็ด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี. (9 พฤษภาคม 2562). สัมภาษณ์.
    • เลียบ  เษมสันต์. อายุ 81 ปี. 10 หมู่ที่ 4 บ้านทุ่งนา ตำบลหนองเป็ด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี. (9 พฤษภาคม 2562). สัมภาษณ์.
    • สนิท  ประเนติ. ผู้ประกอบพิธีกรรมเผาศพ. อายุ 65 ปี. 5/2 หมู่ที่ 4 บ้านทุ่งนา ตำบลหนองเป็ด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี. (8 พฤษภาคม 2562). สัมภาษณ์.
    • สมควร  ประเนติ. อายุ 73 ปี. 24/1 หมู่ที่ 4 บ้านทุ่งนา ตำบลหนองเป็ด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี. (8 พฤษภาคม 2562). สัมภาษณ์.
    • สุภาพ  บุญสุวรรณ. ผู้ใหญ่บ้านบ้านทุ่งนาหมู่ที่ 4. อายุ 39 ปี. 134 หมู่ที่ 4 บ้านทุ่งนา ตำบลหนองเป็ด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี. (7 พฤษภาคม 2562). สัมภาษณ์.
    • อุดม  กากี. อดีตข้าราชการครู. อายุ 61 ปี. 73 หมู่ที่ 4 บ้านทุ่งนา ตำบลหนองเป็ด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี. (9 พฤษภาคม 2562). สัมภาษณ์.
    • อึ่ง  ยอดน้ำ. หมอหรือพี่เลี้ยงประจำหมู่บ้าน. อายุ 80 ปี. 25 หมู่ที่ 4 บ้านทุ่งนา ตำบลหนองเป็ด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี. (8 พฤษภาคม 2562). สัมภาษณ์.

     

ชุดข้อมูล : แผนที่ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในประเทศไทย

ที่มา:

สุวิไล เปรมศรีรัตน์ และคณะ. (2547). แผนที่ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ


  • บทนำ :

              "ซะโอจ" ชนเผ่าโบราณ ซึ่งอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก กลุ่มภาษาเปียริก ที่ไม่มีภาษาเขียน นอกจากนั้นยังรวมถึงภาษาที่รู้จักกันในชื่อ ชอง, กะซอง, ปอร์ และ สำเหร่ ซึ่งส่วนใหญ่กลุ่มคนเหล่านี้มักกระจัดกระจายตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา   Banteay Prey ซึ่งตั้งอยู่ที่ตั้งตามชายฝั่งทะเลในจังหวัดสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา (ดำรงพล อินทร์จันทร์,ออนไลน์ :ม.ป.ป) ชาวซะโอจเชื่อว่าบรรพบุรุษของพวกเขาใช้ป้อมแห่งนี้เพื่อต่อต้านการโจมตีของชาวไทย หลังจากพ่ายแพ้แก่ชาวไทยประชากรของพวกเขาลดลงอย่างรวดเร็ว มีหมู่บ้านซะโอจชื่อ Long Leh อยู่ริมทะเลกัมปงโสม พวกเขาอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวจากชาวเขมร ซึ่งพวกเขาสามารถรักษาภาษาของตนได้ในช่วงระบอบการปกครองของเขมรแดงในทศวรรษ 1970 ชาวบ้านซะโอจถูกย้ายออกจากชายฝั่งและบางส่วนถูกสังหารโดยกลุ่มคอมมิวนิสต์ (Isara Choosri,2009: 72)

              โดยในช่วงทศวรรษที่ 1830 ชาวซะโอจบางส่วนถูกจับโดยกองทหารสยามในช่วงสงครามระหว่างสยามกับอันนัม (อยู่ในประเทศลาว) (Isara Choosri, 2009: 89-70) สันนิษฐานว่ามีการกวาดต้อนมาทั้งบางบกและทางเรือ  ยุคนั้น ชาวสโอจ หรือชอุ้งในกัมพูชาไม่ใคร่จะพอใจรูปแบบการปกครองของเขมรจึงมาขอความคุ้มครองจากกองทัพไทยที่ตั้งอยู่ที่เมืองโจดกในเวียดนามใต้  กระนั้น พวกเขาได้ถูกส่งมายังสยามโดยทางเรือ ขึ้นบกที่ราชบุรี และถูกโยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานทางด้านเหนือตามลำน้ำแควใหญ่ ในจังหวัดกาญจนบุรี  ในพระราชนิพนธ์เสด็จประภาสไทรโยค ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  มีข้อความที่กล่าวถึง ข่าสอูด ซึ่งน่าจะหมายถึงกลุ่มชาวอูด เช่นเดียวกับในบทความของ ศาสตราจารย์ ชิน อยู่ดี ที่กล่าวถึงชาวอูดที่จังหวัดกาญจนบุรี  อย่างไรก็ดี  คำเรียกชื่อ ข่าสอูดนั้น มาจากคำว่าสโอจ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศกัมพูชา  ซึ่งถูกกวาดต้อนมายังประเทศไทยเมื่อครั้งสงครามไทยและเวียดนาม ในสมัยรัชกาลที่ 3 ( อิสระ ชูศรี .2558.68-70)

     

  • ประวัติ/ที่มาของกลุ่มชาติพันธุ์ซะโอจ :

              ภาษาพูดตระกูลออสโตรเอเชียติค (Austroasiatic) ที่ใช้พูดกันในจังหวัดกาญจนบุรี มีจำนวน 4 ภาษา ได้แก่ ภาษามอญ ภาษาชอง (เขมรชอง) ภาษาขมุ และภาษาละว้า ภาษาชอง มีผู้พูดภาษาเหล่านี้ประมาณ 60 คน พบเฉพาะบริเวณเขตอำเภอศรีสวัสดิ์ เท่านั้น จากการสัมภาษณ์ ชาวซะโอจในพื้นที่โดยเฉพาะผู้สูงวัยจะเรียกตัวเองว่าชอง โดยผู้เฒ่าชาวชองที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป บอกว่า ทวดของเขานั้นได้เดินทางมาจากจังหวัดพระตะบอง ของประเทศกัมพูชา เมื่อกว่า 200 ปีที่ผ่านมา และเดินทางผ่านทุ่งลาดหญ้า มาตั้งหลักปักฐาน ณ ที่บ้านทุ่งนา (เก่า) ปัจจุบันเหลือผู้ที่พูดภาษาชองได้น้อยลงเนื่องจากมีภาษาต่าง ๆ และความหลากหลายทางวัฒนธรรมในพื้นที่นี้มาก คนรอบข้างมักจะมองและพูดจาดูถูกคนเหล่านี้และมักจะเรียกเขาว่า "อูด" (เจตน์จรรย์  อาจไธสง และคณะ. 2560 น.64)

              การเรียกขานชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ซะโอจนี้ มีชื่อที่เรียกตนเองและคำเรียกขานจากกลุ่มบุคคลภายนอกคำว่า อูด นี้ถูกเรียกจากกลุ่มชาวขมุและละว้ามาก่อน เรียกพวกกลุ่มซะอูดที่ไปหาไม้ฟืนเพื่อนำมาก่อไฟเพื่อหุงหาอาหาร ว่า อูด ๆ ซึ่ง อูด แปลว่าไม้ฟืน กลุ่มซะอูดนี้ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจและโกรธเป็นอันมากก็เลยว่ากลับไปว่า "รู้ไหมว่าฟืนจะเผาหัวพ่อหัวแม่มึง" (ทรง  กากี. สัมภาษณ์ 9 พฤษภาคม 2562)

              พันตรีอิริค  ไซเด็นฟาเด็น นักชาติพันธุ์วิทยาชาวเดนมาร์ก กล่าวว่า "อยู่ที่จังหวัดจันทบุรีและตราด นอกจากนี้ในระหว่างที่ผมไปจังหวัดกาญจนบุรี ได้พบพวกชาวพื้นเมืองที่นั่นเรียกกันว่า อูด หรือ เขมรดง อยู่ที่แควใหญ่ กิ่งอำเภอศรีสวัสดิ์ ผมได้ลองสอบคำพูดอูดดู ปรากฏว่าคล้ายพวกชอง"  เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้พบเรื่องการอพยพของพวกอูดเหล่านี้ ในงานวิจารณ์เรื่องพวกสำเหร่และพวกพอร์ ในจดหมายเหตุสยามสมาคมเล่ม 34 ตอน 1 หน้า 75  กล่าวว่า เมื่อ พ.ศ. 2376  พวก ซา-ออค (Sa-och) ในเมืองกำปอทได้รับความเดือดร้อนจึงไปหาเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตที่เมืองโชดึก เจ้าพระยาบดินทรจึงช่วยส่งพวกเหล่านี้ทางทะเลไปขึ้นที่ราชบุรี พวกนี้ได้ขึ้นไปอาศัยอยู่ตามลำแควใหญ่ในกาญจนบุรีตอนเหนือแถวตำบลหนองบัว, ลาดพร้าว เกาะบุก ต่อมามีผู้เรียกว่าข่าหรือชองอูด ฉะนั้นเท่าที่ทราบในขณะนี้พวกชองอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราด (ชิน  อยู่ดี. (2506) อ้างจาก อิริค ไซเด็นฟาเด็น 2501)

               แต่เดิมชาวซะโอจตั้งถิ่นฐานอยู่ห่างจากลำแม่น้ำแควใหญ่ประมาณ 5 กิโลเมตร ต่อมา  ปี พ.ศ. 2523 รัฐบาลไทยมีความพยายามจะสร้างเขื่อนศรีนครินทร์ ส่งผลให้ชุมชนเดิมที่เคยอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำแควใหญ่ถูกน้ำท่วม อันเป็นผลกระทบมาจากการสร้างอ่างเก็บน้ำทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเขื่อนศรีนครินทร์ได้ทำการกักเก็บน้ำเพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า จึงได้ทำการอพยพมาตั้งอยู่ที่ หมู่บ้านหนองหว้า (บ้านทุ่งนาปัจจุบัน) กลุ่มชาติพันธุ์ ในบ้านทุ่งนามี 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มเชื้อสายขมุ กลุ่มเชื้อสายกะเหรี่ยงและกลุ่มเชื้อสายซะโอจ เมื่ออาศัยอยู่ร่วมกันในหมู่บ้านทำให้วัฒนธรรมประเพณีบางอย่างถูกกลมกลืนเข้าด้วยกัน ทำให้อัตลักษณ์หายไปแม้แต่ภาษา ผู้ที่พูดภาษาซะโอจได้กำลังลดจำนวนลง ส่วนมากเป็นผู้ใหญ่ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ที่ยังคงพูดและสื่อสารกันได้ (อิสระ ชูศรี .2558. 68) โดยในพื้นที่บ้านทุ่งนายังคงเหลือครอบครัวชาวซะโอจอยู่เพียง 10 หลังคาเรือน จำนวนประชากรประมาณ 40-50 คน (องค์การบริหารส่วนตำบลหนองเป็ด. 2558)     

          

    แผนที่ตำบลหนองเป็ด (องค์การบริหารส่วนตำบลหนองเป็ด. 2558)

  • วิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ซะโอจ :

              ในชุมชนบ้านทุ่งนา ซึ่งเป็นชุมชนเดียวที่ยังคงเหลือชาวซะโอจอยู่นั้น มีความหลากหลายของกลุ่มคนที่มาจากหลายภูมิภาค แบ่งเป็นชาติพันธุ์หลัก ๆ คือ ซะโอจ (ชอง) ขมุ กะเหรี่ยง ละว้าและคนอีสาน ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธเป็นหลัก มีวัดและที่พักสงฆ์ 2 แห่ง คือ วัดเกาะบุกและวัดทุ่งนาวราราม มีการผสมผสานประเพณีวัฒนธรรม ผู้คนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก เช่น ปลูกมัน ปลูกกล้วย ปลูกผัก เป็นต้น อาชีพรองลงมาคือ รับจ้างทั้งในภาคเกษตรและโรงงานอุตสาหกรรมนอกพื้นที่และในสถานท่องเที่ยวบริเวณเขื่อนศรีนครินทร์ ร้านอาหาร การล่องแพ ลากแพ นอกจากนี้แล้วยังมีอาชีพค้าขายและอาชีพรับราชการ (รวมถึงลูกจ้างชั่วคราวในหน่วยงานของรัฐ)

              ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ ป่าไม้และสัตว์น้ำ

              - ป่าไม้ ตำบลหนองเป็ดมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าไม้ ซึ่งอยู่ในความดูแลของเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าเขาสลักพระ มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญ เช่น ไม้ประดู่ ไม้มะค่าโมง ไม้ตะเคียน ไม้แดง ไม้ชิงชัน ไม้ไผ่ ไม้รวด รวมถึงไม้เบญจพรรณอื่น ๆ

              - สัตว์น้ำ เนื่องจากตำบลหนองเป็ด มีพื้นที่ติดกับขอบอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ ซึ่งมีปลาหลากหลายพันธุ์ เช่น ปลาแรด ปลาชะโด ปลากระสูบ ปลาเวียน ปลาบึก ปลานิลและอีกหลายพันธุ์ (องค์การบริหารส่วนตำบลหนองเป็ด. 2558)

              ชาวซะโอจ บ้านทุ่งนา เดิมตั้งอยู่ห่างจากลำแม่น้ำแควใหญ่ประมาณ 5 กิโลเมตร ประกอบด้วยพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำตรงข้ามกับหมู่บ้านเกาะบุก หมู่บ้านห้วยกลาง  หมู่บ้านเดื่อเวร หมู่บ้านห้วยตะเคียน และหมู่บ้านหาดแดง รวมเป็นพื้นที่ของหมู่บ้านทุ่งนา ตำบลหนองเป็ด มีผู้ใหญ่บ้านปกครองมาทั้งหมด 3 คน คือ 1.นายเสมา  กากี (เสียชีวิตแล้ว) 2.นายเท้ง กากี 3.นางกุหลาบ วันทอง พ.ศ. 2533 - 10 สิงหาคม 2561  คนปัจจุบัน นายสุภาพ  บุญสุวรรณ 10 สิงหาคม 2561 - ปัจจุบัน

              จากคำบอกเล่าต่อ ๆ กันมาของกลุ่มชาติพันธุ์ซะโอจนี้มาจากจังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา โดยมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านทุ่งนา (เก่า) ส่วนใหญ่บริเวณนี้มีคนชองอาศัยอยู่ร่วมกันเฉพาะคนชองประมาณ 10 หลังคาเรือน ประชากร 40-50 คน แล้วย้ายมายังบ้านทุ่งนาในปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2519 เนื่องจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตมีการสร้างเขื่อนศรีนครินทร์ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าส่งผลให้เกิดน้ำท่วม จึงมีการอพยพประชาชนจากบ้านท่ากระดาน บ้านเกาะบุก บ้านทุ่งนา โดยให้สัมปทานที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน จำนวนครัวเรือนละ 20 ไร่ การดำรงชีวิตของผู้คนที่นี่มีวิถีชีวิตที่มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับธรรมชาติ ดิน น้ำ ป่าเขาที่อยู่รอบ ๆ ตัวจนสามารถดำรงชีวิตมาได้ จนกลายเป็นชุมชนที่กระจายอยู่ริมฟากเขื่อนศรีนครินทร์ที่มีการผสมผสานประสบการณ์และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมมาจนถึงปัจจุบัน

              ในอดีตพื้นที่บ้านทุ่งนา (เก่า) มีสภาพเป็นป่าทึบอยู่ชายขอบของหมู่บ้าน มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญ เช่น ไม้ประดู่ ไม้มะค่าโมง ไม้ตะเคียน ไม้แดง ไม้ชิงชัน ไม้ไผ่ ไม้รวก รวมถึงไม้เบญจพรรณอื่น ๆ บริเวณบ้านทุ่งนาแห่งนี้ถือเป็นต้นน้ำที่สำคัญของเขื่อนศรีนครินทร์ มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่สำหรับใช้ในการเดินทาง (ทางน้ำ) เป็นหลัก การเดินทางจะเริ่มต้นจากท่าบ้านทุ่งนาผ่านเขื่อนท่าทุ่งนา บ้านลาดหญ้าและบ้านท่าเสา เพื่อติดต่อค้าขายกับบุคคลภายนอก ได้แก่ พ่อค้าชาวจีน หน่วยงานของรัฐฯ การดำรงชีวิตของผู้คนที่นี่จากอดีตจนถึงปัจจุบันมีวิถีชีวิตที่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับธรรมชาติ ดิน น้ำ ป่าที่อยู่รอบตัวจนสามารถดำรงชีวิตมาได้ ก่อเกิดเป็นชุมชนบ้านป่ากระจายอยู่ริมฟากฝั่งเขื่อนศรีนครินทร์ ที่มีกระบวนการสร้างสรรค์ ผสมผสาน ถ่ายทอดประสบการณ์และมีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมตลอดเวลา

              ในอดีตชาวซะโอจ ทำไร่ ทำนา เอาไว้รับประทานภายในครัวเรือนไม่ขาย ปลูกพริกขี้นก ปลูกละหุ่งบนเขา เอาไว้ขาย ทำได้ 2 ปี แล้วย้ายไปที่อื่น 2-3 ปี เพื่อให้เป็นไร่ซากแล้ววกกลับมาทำใหม่อีก ปลูกมะเขือพวง แตงเปรี้ยว (ลูกมีลักษณะใหญ่ กลมกว่าแตงธรรมดา รสชาติเปรี้ยว) ตัดไม้รวก ไม้ไผ่ เสร็จจะผลผลิตไปขายโดยเดินทางทางน้ำนำมาล่องแพที่ท่าน้ำแควใหญ่โดยเดินทางประมาณ 5 กิโลเมตร การล่องแพหรือเรือยนต์โดยการเดินทางจะผ่านเขื่อนท่าทุ่งนา ไปขายที่บ้านลาดหญ้าและบ้านท่าเสา ใช้เวลาประมาณ 3 วัน ไปขายให้กับพ่อค้าชาวจีน ส่วนละหุ่งจะกะเทาะเมล็ดนำไปขายได้กิโลละ 5 บาท ทางกลับจะซื้อกะปิ น้ำตาล ขนมแห้ง เกลือ ฯลฯ ในปริมาณที่มาก การใช้จ่ายไม่ค่อยแพง มีการช่วยเหลือกันเอาแรงกันเรียกว่า การลงแขก ร่วมกันไม่แยกกันเพราะมีไม่กี่หลังคาเรือน หลังจากเสร็จงานก็จะเลี้ยงข้าวปลาอาหารกัน

              ปัจจุบันมีการขยายตัวของชุมชน มีเส้นทางถนนตัดผ่านหมู่บ้านกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ทำให้การเดินทางไปมาหาสู่กันหรือติดต่อค้าขายมีความสะดวกสบายมากขึ้นหลังจากย้ายที่ย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านทุ่งนาใหม่ เริ่มมีการปลูกพืชเศรษฐกิจต่าง ๆ ได้แก่ มันสำปะหลัง ข้าวโพด พริก ผัก มะละกอ ละหุ่ง ข้าว (พันธุ์ข้าวสร้อยและข้าวลายมีลักษณะเม็ดเล็กสีแดงเป็นข้าวเจ้าแข็ง) ข้าวเหนียวดำ ข้าวเหนียวพื้นบ้าน เมื่อข้าวเริ่มเหลืองหน่อย ๆ ชาวบ้านจะนำมาตำข้าวเม่า) ฯลฯ มีหน่วยงานของรัฐมาส่งเสริมให้ทำหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง

     

  • ครอบครัวและระบบเครือญาติของกลุ่มชาติพันธุ์ซะโอจ :

              ชาวซะโอจ อาศัยในครอบครัวเดี่ยว (nuclear family) เป็นครอบครัวใหญ่ ซึ่งย้ายมาจากบ้านทุ่งนาเก่าที่ได้รับจัดสรรที่ดินไว้สำหรับยกบ้านครอบครัวละ 2 ไร่ ไว้เป็นสัดส่วนติด ๆ กัน มีพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัวและมีระบบการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียว (monogamy) เมื่อมีครอบครัวถึงจะแยกสมาชิกออกไป โดยจะยกบ้านในที่ดินที่ได้รับจัดสรรไว้สำหรับครอบครัวนั้นที่ได้รับ 2 ไร่ (หมายถึงให้ปลูกบ้านในพื้นที่ 2 ไร่ อยู่ในเขตรั้วเดียวกัน) ลูก ๆ จะดูแลพ่อแม่เมื่อยามแก่เฒ่า ตามประเพณีดั้งเดิม ซึ่งครัวเรือนของชาวซะอูดมีประมาณ 10 หลังคาเรือน มีประชากรประมาณ 40-50 คน ซึ่งมีนามสกุลหลักอยู่ 6 นามสกุล คือ กากี ประเนติ สายสร้อยทอง หงส์ยนต์ ยอดน้ำและสร้อยทอง (สุภาพ  บุญสุวรรณ, สัมภาษณ์)

     

  • การแต่งกายของกลุ่มชาติพันธุ์ซะโอจ :

              ผู้หญิง นุ่งผ้าถุง ใส่เสื้อคอกระเช้า มีผ้าพาดบ่า เมื่อสมัยก่อนบางคนก็นุ่งโจงกระเบน สมัยนี้เขาก็นุ่งใส่ตามยุคตามสมัยกันหมดคล้ายคนไทยเสียส่วนใหญ่ (ใจ  วรรณทอง. สัมภาษณ์)

              ผู้ชาย นุ่งโสร่งหรือใส่กางเกงแพร เสื้อบางครั้งใส่บ้างไม่ใส่บ้าง เวลาไปทำบุญจะใส่เสื้อแขนยาว เสื้อคอกลม กางเกงขายาว กางเกงขาก๊วย ผ้าขาวม้าคาดเอว ใส่ทุกสีแล้วแต่คนชอบ (มน  กากี. สัมภาษณ์)

     

          

    การแต่งกายของผู้ชายและผู้หญิงชาวซะโอจ

  • บ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ซะโอจ :

              ชาวซะโอจ เรียก "บ้าน" ที่เป็นที่อยู่อาศัยว่า "ตรัง" ซึ่งครอบคลุมลักษณะของเรือนแบบต่าง ๆ ลักษณะบ้านเป็นเรือนเครื่องผูก แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ห้องนอน ห้องครัว ห้องนั่งเล่น มีการลดระดับชั้นของตัวบ้าน หลังคาจะมุงด้วยใบพลวง แฝก หญ้าคา จาก กระเบื้องไม้ไผ่ (นำไม้ไผ่แก่มาผ่าครึ่งครอบซ้อนสลับกัน) พื้นบ้านและฝาบ้านใช้ไม้ไผ่ป่า ซึ่งมีเนื้อหนานำมาสับฟากจะทำให้พื้นมีความแข็งแรงทนทาน ใต้ถุนบ้านสูงจากพื้นดินขึ้นอยู่กับจำนวนขั้นบันได (3 5 7 9 ขั้น) ประมาณ 1-2 เมตร มัดด้วยตอกหวายหรือปอ เสาบ้านทำจากไม้แดง เป็นต้น บางครัวเรือนมีการทำนา ยกยุ้งข้าวไม่ใหญ่โตนักสำหรับการเก็บข้าวในปีหนึ่งเท่านั้น เอาไว้ใกล้บ้านเพื่อใช้รับประทานในครัวเรือน

              ปัจจุบันบ้านแบบดั้งเดิมไม่ค่อยจะพบมากนักในทุกวันนี้เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ส่วนใหญ่ที่พอจะมีฐานะนิยมหันมาปลูกบ้านที่สะดวกสบายและคงทนถาวรกว่า มีการมุงหลังคาด้วยกระเบื้องแทนใบไม้ ก่ออิฐแทนการตีฟากด้วยไม้ไผ่