กลุ่มชาติพันธุ์ : ไทใหญ่

  • ชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ : ไทใหญ่
  • ชื่อเรียกตนเอง : ไต, คนไต, ไตโหลง, ไตหลวง, ไตใหญ่, ไทหลวง
  • ชื่อที่ผู้อื่นเรียก : ไทใหญ่, เงี้ยว, ฉาน, ชาน, ชาวไต, ไทเหนือ, ไทมาว
  • ภาษาที่ใช้พูดและเขียน : ตระกูลไท-กะได
  • มิติทางประวัติศาสตร์ที่มีผลต่อการเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ :

    ชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์

              ไต หรือไทใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ภาษาตระกูลไท-กะได และเรียกตัวเองว่า “คนไต” การจะนิยามตัวเองว่าอะไรนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ แม้โดยภาพรวมพวกเขาจะเรียกตัวเองว่า “คนไต” และรับรู้ว่าคนอื่นเรียกตัวเองว่าอะไร แต่บางครั้งพวกเขาเองก็เลือกใช้คำเรียกตัวเองเหล่านั้นอย่างยืดหยุ่น เช่น เมื่อสื่อสารระหว่างคนไตด้วยกันพวกเขานิยามตัวเองว่า “คนไต” ที่อาจต่อท้ายด้วยชื่อเมืองหรือถิ่นที่อยู่ของอีกกลุ่ม เช่น ไต-เมืองมาว, ไต-เมืองยาง, ไต-เกงตุง (เชียงตุง) หากต้องการสื่อสารกับคนไทยหรือสยาม พวกเขาก็พร้อมจะนิยามตัวเองว่า “ไทใหญ่” เพื่อสื่อถึงความเป็น “พี่น้อง” ร่วมชาติพันธุ์ หรือในกรณีที่หากต้องการสื่อสารในระดับนานาชาติและประเด็นการต่อสู้ในทางการเมืองของรัฐฉานในพม่า พวกเขามักจะนิยามตัวเองว่า “Shan” เพื่อแสดงถึงความเป็นเอกภาพในดินแดนของตนเอง

              การนิยามหรือเรียกชื่อตัวเองมีความยืดหยุ่นและเป็นพลวัตร ลื่นไหลไปตามช่วงเวลาและสถานการณ์ แต่ในรายงานชิ้นนี้ผู้ศึกษาจะขอใช้คำว่า “ไทใหญ่” ในการเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์นี้เป็นหลักเนื่องจากเป็นคำเรียกพวกเขาอย่างทางการที่คนไทยรู้จักและยอมรับกันอย่างกว้างขวางเพื่อให้เนื้อหาของรายงานชิ้นนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ผู้เขียนจะใช้คำเรียกชื่ออื่น ๆ บ้างตามบริบทของเนื้อหาในแต่ละหัวข้อ

              ชื่อเรียกตนเอง :   ไต, คนไต          

              ไต, คนไต เป็นคำที่คนไทใหญ่เรียกตัวเอง อย่างไรก็ตามที่มาของคำว่า “ไต” นั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่มาก นักโบราณคดีจำนวนหนึ่งกล่าวกันว่ามาจากภาษาจีนว่า ‘เทียน’ ที่แปลว่าฟ้า บ้างก็ว่ามาจากภาษาจีนคำว่า ‘ต้า’ ที่ออกเสียงในสำเนียงกวางตุ้งว่า ไต่ แปลว่า ใหญ่ หรือสำเนียงจีนกลางออกเสียงว่า ไต้ แปลว่าสวรรค์ (ลุงก็อด 2538) ขณะที่ จิตร ภูมิศักดิ์วิเคราะห์ว่าคำว่า “ไต” หรือ “ไท” น่าจะเป็นภาษาไทยดั้งเดิม ไม่ใช่ภาษาจีนหรือภาษาอื่นใด หมายถึง “คน” เหมือนชื่อที่กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ใช้เรียกตัวเอง มากกว่าจะแปลว่า “อิสระ” หรือเป็นไท (จิตร ภูมิศักดิ์, 2524: 546-550) 

              ชื่อที่คนอื่นเรียก :  ชาน, ฉาน, ไทใหญ่, เงี้ยว, ไทเหนือ-ไทมาว

              ชาน, ฉาน (Shan) เป็นคำที่ชาวพม่าใช้เรียกคนไทใหญ่ และภายหลังในยุคอาณานิคมชาวอังกฤษก็เรียกคนไทใหญ่ว่า ฉาน ตามคนพม่า จึงเป็นคำที่นานาชาติใช้เรียกคนไทใหญ่ ข้อสันนิษฐานของนักวิชาการส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าคำว่า ฉาน หรือ ชาน เป็นคำที่มีรากเหง้าเดียวกันกับคำว่า เซียม สยาม ชาม และวิเคราะห์ว่ารากศัพท์จริง ๆ น่าจะกร่อนเสียงมาจากคำว่า ฉะยาม ที่เป็นการออกเสียงแบบสันสกฤต หากแต่ชาวพม่าออกเสียงสะกด ม สะกดเป็นแม่กนแทนคำว่า ชาม จึงกลายเป็น ชาน (จิตร ภูมิศักดิ์, 2524: 10-15) 

              ชาวพม่ามีธรรมเนียมในการแยกความแตกต่างของคนไตหรือไทใหญ่ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่คือ ฉานเบอร์มา (Burmese Shans), ฉาน ตาโยก (Chinese Shans/Shan Tayok) และ ฉานคำตี่ (Hkamti Shans) ฉานเบอร์มานั้นหมายถึงชาวไทใหญ่ในรัฐฉานปัจจุบัน ฉานตาโยก หมายถึงชาวไทใหญ่ในมณฑลยูนาน ประเทศจีน ซึ่งอดีตเคยเป็นเมืองหลักของชาวไทใหญ่เช่นกัน ส่วนฉานคำตี่ ซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นกลุ่มย่อยของเบอร์มาฉาน (Leach 1984:32-34 อ้างใน Jaggapan Cadchumsang 2011:138) ไม่ใช่แค่พม่าเท่านั้นกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ในพม่าก็เรียกชื่อชาวไทใหญ่ด้วยรากศัพท์ที่มาจากคำเดียวกัน ชาวคะฉิ่นเรียกว่า อะชาม ชาวอาชาง ปะหล่อง และชาวว้า เรียกว่า เซียม

              ไทใหญ่ เป็นคำที่คนไทยภาคกลางใช้เรียกคนไทใหญ่ คนไทยเริ่มใช้คำว่า “ไทใหญ่” เมื่อไหร่ และคำ นี้หมายถึงกลุ่มชนใดกันแน่ยังเป็นที่ถกเถียงกันวงวิชาการ นักวิชาการไทยบางคนตั้งข้อสังเกตว่า “ไทใหญ่” คือพวกที่อยู่ทางลุ่มน้ำคง (สาละวิน) และแม่น้ำมาว (แม่น้ำสาขาของอิรวดี) และ “ไทน้อย” หมายถึง กลุ่มคนไทในลุ่มแม่น้ำโขงทางตะวันออกเลยเข้าไปในลาวและเวียดนาม เป็นกลุ่มคนที่ภายหลังอพยพมาเป็นชาวล้านนา ล้านช้างและสุโขทัย และนำไปสู่ความสัมพันธ์ของการเป็น ไทใหญ่และไทน้อย จากหลักฐานการเรียกคำว่า ไทใหญ่ ไทน้อย (ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม และสุจิตต์ วงษ์เทศ 2534 อ้างใน นิติ ภวัครพันธุ์, 2558: 23) 

              มีหลักฐานว่าคนไทยสยาม สามารถรับรู้ถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างพวกตนกับพวกไทใหญ่ได้ดี คือบันทึกของลาลูแบร์ (Simon de La Loubere, 1986: 7) นักการทูตชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาเยือนกรุงศรีอยุธยาใน ค.ศ. 1687-1688 ได้ระบุว่า

    “อนึ่ง ชาวสยามที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงนี้ เรียกตัวเองว่าไทน้อย (Tai Noe) คือสยามน้อย (Little Siam) ตามที่ข้าพเจ้าได้รับคำบอกเล่า ยังมีคนอีกจำพวกหนึ่งซึ่งป่าเถื่อนที่สุดเรียกกันว่าไทใหญ่ (Tai Yai) คือสยามใหญ่ (Great Siam) อันเป็นพวกที่อยู่ทางเขตเขาภาคเหนือ” (Simon de La Loubere 1986: 7 อ้างใน นิติ ภวัครพันธุ์, 2558: 24) 

              นอกจากนั้น “ไทใหญ่” ยังเป็นชื่อที่คนในพระนครศรีอยุธยา ราว พ.ศ. 2000 ใช้เรียกกลุ่มชาติพันธุ์ลาว บริเวณลุ่มสาละวินตอนเหนือในพม่า ต่อเนื่องถึงลุ่มน้ำพรหมบุตร ในรัฐอัสสัมของอินเดีย...เหตุที่ได้นามว่าไทใหญ่เพราะเป็นดินแดนและผู้คนที่รับศาสนาจากชมพูทวีปแล้วเติบโตเป็นบ้านเมืองก่อนคนไทกลุ่มอื่น ที่เพิ่งรับศาสนาในภายหลัง ส่วนคำว่าไทน้อย เป็นชื่อที่คนในพระนครศรีอยุธยา ใช้เรียกกลุ่มชาติพันธุ์ลาวบริเวณสองฝั่งแม่โขง ทั้งฝั่งขวาคือไทยในปัจจุบันและฝั่งซ้ายคือลาวในปัจจุบันยาวไปจนถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษากตระกูลไท-ลาวลุ่มน้ำดำ-แดง ในเวียดนาม และมณฑลกวางสี กวางตุ้ง ในจีน (สุจิตต์ วงษ์เทศ, 2557:11) 

              อย่างไรก็ตาม เป็นที่แน่ชัดว่า คำว่า “ไทใหญ่” นั้น มีเพียงคนไทยสยามเท่านั้นที่ใช้เรียกชาวไทใหญ่ เพราะไม่ปรากฏว่ามีกลุ่มชาติพันธุ์หรือประเทศใดเรียกคนไทใหญ่ด้วยคำนี้มาก่อน สมพงศ์ วิทยศักดิ์ ตั้งข้อสังเกตว่ามีเพียงชนชาติฮั่นในยุคหนึ่งเรียกไทใหญ่ว่า “ต้าป๋ายยี” และเรียกคนไทอีกกลุ่มหนึ่งว่า “เสี่ยวป๋ายยี” ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า “ไทใหญ่” ที่มาคู่กับ “ไทน้อย” (แปลตรงตัวอาจได้ความว่า “พวกเสื้อขาวใหญ่” และพวกเสื้อขาวน้อย” คำว่า "ป๋ายยี", "ป่ายยี" หมายถึง “เสื้อขาว” คือพวกใส่เสื้อผ้าขาว ซึ่งเป็นคำที่ชนชาติฮั่นใช้เรียกคนไท (สมพงศ์ วิทยศักดิ์พันธุ์, 2542: 11) 

              เงี้ยว เป็นคำที่คนเมืองหรือคนยวนในล้านนาใช้เรียกคนไทใหญ่  แต่เป็นคำที่คนไทใหญ่ไม่ชอบ เพราะส่อไปในทำนองดูถูก (ปิลันธน์ ไทยสรวง 2559 ออนไลน์) 

              ไทเหนือ-ไทมาว เป็นคำที่คนท้องถิ่นอื่น ๆ ในจีนเรียกคนไทใหญ่ เกิดจากใน พ.ศ. 2528  มีสำรวจพบว่ามีประชากรชาวไทเหนือในเขตต่าง ๆ จำนวนประมาณ 360,000 คน ส่วนใหญ่ใช้อักษรและภาษาไทเหนือ จึงถูกคนไทถิ่นอื่นในจีนเรียกว่า “ไทเหนือ” แต่ชาวไทเหนือนิยมเรียกตนเองว่า ไทหลวง หรือ ไทใหญ่ และเนื่องจากกลุ่มคนดังกล่าวตั้งอยู่ลุ่มแม่น้ำมาว หรือมาวโหลง (มาว หลวง) จึงถูกเรียกว่า ไทมาว อีกด้วย (ล้านนาคดี 2551 ออนไลน์) 

              ชื่อเรียกในเชิงอคติทางชาติพันธุ์

              ชื่อเรียกที่ชาวไตหรือไทใหญ่ไม่ชอบใจนักคือ “เงี้ยว” เป็นคำที่คนเมืองหรือคนยวนในล้านนาใช้เรียกคนไทใหญ่  แต่เป็นคำที่คนไทใหญ่ไม่ชอบ เพราะส่อไปในทำนองดูถูก ถึงแม้ว่าชื่อเรียก “ไทใหญ่” จะเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในประเทศไทย หากแต่คำเรียกชื่อ “เงี้ยว” ก็ยังคงมีอยู่ในแถบพื้นที่ภาคเหนือซึ่งเป็นชาวไทยวนที่ใช้เรียกพวกเขาด้วยชื่อนี้มาแต่แรกเริ่ม    

     

    ภาษา

              ตระกูลภาษา 

              ไต หรือไทใหญ่ถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในตระกูล “ไท” ภาษาที่คนไทใหญ่ใช้อยู่ในตระกูลภาษาไท-กะได กลุ่มตะวันออกเฉียงใต้ เช่นเดียวกับ ไทเหนือ ไทอาหม ไทขาว ไทลื้อ ไทสยาม ลาว (เรณู วิชาศิลป์ 2541 หน้า 264) ภาษาไทใหญ่แยกตัวจากออกจากกลุ่มภาษาไทอื่น ๆ มานานมากและเริ่มเห็นความแตกต่างอย่างเด่นชัดในราวศตวรรษที่ 12-13 จากการที่สามารถตั้งรัฐโบราณบนลุ่มแม่น้ำมาว จนขยายอิทธิพลออกไปทั้งทางเหนือและทางใต้ ทางใต้ขยายไปครอบคลุมเมืองยองห้วยในลุ่มน้ำคง ทางเหนือขยายเข้าไปในแคว้นอัสสัม จนก่อให้เกิดกลุ่มชนที่พูดภาษาคล้ายคลึงกันครอบคลุมพื้นที่ทั้งในพม่า อินเดีย จีน ตลดจนภาคเหนือของไทย หรือครอบคลุมลุ่มน้ำ 3 แห่งคือ น้ำคง (แม่น้ำสาละวิน) น้ำอิรวดี และน้ำพรมบุตร (อานันท์ กาญจนพันธุ์ 2538: 8)

              ภาษาพูด 

              ไต หรือไทใหญ่เรียกภาษาพูดของตนว่า กว๋ามไต คำว่า กว๋าว คือคำเดียวกับคำว่า “กำ” ภาษาล้านนา และคำว่า “คำ” หรือ “ความ” ในภาษาไทย แม้กลุ่มคนไทใหญ่ที่กระจายออกไปยังพื้นที่ต่าง ๆ จะพูดภาษาเดียวกัน แต่พัฒนาการทางประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมที่ยาวนานของแต่ละกลุ่ม แต่ละพื้นที่ การสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย ทำให้เกิดสำเนียงการพูดที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น ในรัฐฉานลักษณะการพูดภาษาไทใหญ่จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนตามภูมิภาคคือ ฉานเหนือ ฉานใต้ และฉานตะวันออก ซึ่งทั้งสามกลุ่มนั้นมีระบบเสียงที่แตกต่างกันอยู่บ้าง

              ในฉานเหนือ ซึ่งคนเรียกว่าไทเมา นั้นมีภาษาพูดและภาษาเขียนเหมือนกับชาวไทเหนือในยูนนาน คำศัพท์บางคำจึงมีการหยิบยืมทั้งจากพม่าและจีน ในฉานใต้ เป็นที่ตั้งของเมืองตองจี หรือโตนตี/ต้นตี ในภาษาไทใหญ่ เป็นเมืองหลวงของรัฐฉาน มีภาษาพูดใกล้เคียงกับฉานเหนือ และมีการหยิบยืมคำศัพท์จากภาษาพม่าเป็นจำนวนมาก ส่วนในฉานตะวันออก ซึ่งมีกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไทอยู่มากเช่น ลื้อ ยอง เขิน และมีอาณาเขตติดต่อกับล้านน้าทางภาคเหนือของไทยมานานจึงทำให้มีภาษาพูดและภาษาเขียนที่คล้ายคลึงกันมาก (เรณู วิชาศิลป์ 2541 หน้า 264)

              ไทใหญ่ในประเทศไทยส่วนมากมีภาษาพูดใกล้เคียงกับรัฐและภูมิภาคที่ตนเองอพยพมา เช่นในจังหวัด เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ที่มีพื้นที่ติดกับฉานใต้ ก็มักจะพูดภาษาไตหลวง ขณะที่ชาวไทใหญ่ในจังหวัดเชียงราย มาจากฉานตะวันออกจึงมีลักษณะการพูดที่ใกล้เคียงกับคนล้านนา หรือบางครั้งพวกเขาก็นิยามตัวเองว่าเป็นคน “ไตอ้อ” คือกลุ่มคนไตที่มีลักษณะการพูดคำลงท้ายด้วยคำว่า “ข้าอ้อ” ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคนไทใหญ่บริเวณชายแดนแม่สายที่อพยพมาจากเมืองกำ เมืองนุง เมือกยาก และเมืองป๊อก ในเชียงตุง รัฐฉาน (วรรณา จันทนาคม 2526 หน้า 3)

              การพูดของคนไทใหญ่ในประเทศไทย แม้จะมีรากฐานมาจากในรัฐฉาน แต่เนื่องจากต้องติดต่อสัมพันธ์กับคนไทย คนเมือง (ล้านนา) ทำให้มีการประยุกต์ใช้ศัพท์ของไทยและล้านนาเข้าไปด้วย ที่สำคัญคือจะมีศัพท์พม่า จีน หรือ อังกฤษ น้อยกว่าคนไทใหญ่ในพม่า ในการลงพื้นที่สัมภาษณ์กลุ่มคนหนุ่มสาวชาวคนไทใหญ่ที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยนานเกินกว่า 10 ปี ทุกคนยอมรับว่า เมื่ออยู่เมืองไทยนาน ๆ การพูดภาษาไทใหญ่ของพวกเขาเปลี่ยนไปมาก มีคำที่เป็นภาษาไทยปนเข้าไปเป็นจำนวนมาก

              ตัวอักษรที่ใช้เขียน 

              คนไทแต่ละกลุ่มแม้รากฐานภาษาอาจจะมาจากต้นตอเดียวกัน แต่จะเห็นได้ว่าแต่ละกลุ่มก็มีการใช้อักษรที่แตกต่างกันไป คือ หากเป็นอักษรที่ใช้ในเขตจังหวัดใต้คง เป่าซาน หลินซาง และซือเหมา (ปัจจุบันอยู่ในประเทศจีน) จะเรียกว่า “ตั๋วถั่วงอก” หรือ “ลิ่กถั่วงอก” ด้วยรูปร่างของตัวอักษรที่เขียนด้วยก้านผักกูดหรือพู่กันจีนมีลักษณะยาว สูง ในขณะที่หากเป็นอักษรไทใหญ่ที่ใช้ในพม่าจะเรียกว่า “ตัวมน” หรือ “ตัวไทป่อง” ด้วยมีรูปร่างกลมเช่นอักษรพม่า อักษรไทใหญ่จะมีรูปร่างต่างกันไปอีก กลายเป็นอักษรอาหม อักษรไทพ่าเก และอักษรไทคำตี่ เป็นต้น แต่ลักษณะพื้นฐานส่วนใหญ่จะเหมือนกันคือ มีจำนวนพยัญชนะและสระใกล้เคียงกัน และไม่มีเครื่องหมายวรรณยุกต์มาแต่เดิม หากมีการเพิ่มเติมรูปพยัญชนะและวรรณยุกต์ภายหลัง พยัญชนะส่วนใหญ่มีเพียง 16-19 รูป และวรรณยุกต์ 4-5 รูป (สมพงศ์ วิทยศักดิ์พันธุ์ 2542 หน้า 12)

              ประวัติความเป็นมาของอักษรไทใหญ่ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ประวัติศาสตร์พม่าส่วนใหญ่ยืนยันว่าชาวไทใหญ่รับเอาอักษรและพุทธศาสนาจากพม่า อย่างไรก็ตามงานเขียนของไทใหญ่เชื่อว่าอักษรไทใหญ่วิวัฒน์มาจากอักษรพราหมี-นาครี อักษรไทใหญ่ 10 ตัวคล้ายคลึงกับอักษรพม่า แต่มี 3 ตัวที่คล้ายคลึงกับอักษรนาครี โดยเฉพาะอักษรตัว “อ” ที่ไม่เหมือนอักษรใดเลยตั้งแต่อดีตมาจนปัจจุบัน แต่คล้ายกับ “อ” ในอักษรมอญในจารึกมอญที่เจดีย์เชวชานดอ ที่จารึกเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 11 มีการณ์คาดว่าอักษรไทใหญ่ในพม่าอาจจะมีวิวัฒนาการมาจากแหล่งต่อไปนี้คือ 1) มาจากธิเบตโดยผ่านอาณาจักรน่านเจ้า เพราะไม่มีอักษรพยัญชนะตัวที่สี่ของแต่ละวรรค (ฆ ญ ฒ ธ) เช่นเดียวกับอักษรธิเบตที่เป็นลักษณะที่สำคัญมาก 2) จากอินเดียตอนใต้ผ่านเมืองแปร ตามประวัติศาสตร์พม่า ไทใหญ่เคยยิ่งใหญ่มีอำนาจครอบครองถึงเมืองแปรก่อนคริสตกาล 3) จากตะแลง (มอญ) แห่งพะโคโดยผ่านเขตลาว ชาวลาวได้มาติดต่อกับชาวตะแลงก่อนที่จะมาพบกับชาวพม่า และบางทีอาจจะนำอักษรที่ยืมมานี้ไปเผยแพร่สู่ชาวไทใหญ่ก็ได้ 4) จากอินเดียใต้ผ่านอาณาจักรจามปา กัมพูชา และเชียงแสน จามปารับเอาอักษรและอารยธรรมจากอินเดียใต้ กัมพูชารับสืบต่อมา และเชียงแสนได้รับสืบทอดมาอีกต่อหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้ตกเป็นเมืองขึ้นของน่านเจ้า (ซาย คำ เมือง 2544:3)

     

  • เอกสารอ้างอิง :

    เนื้อหาโดย  สมคิด แสงจันทร์  นักวิจัยอิสระ 

    ปีงบประมาณ  2563 ,  อัพโหลดข้อมูลเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 

    เอกสารอ้างอิง

    • เกียรติก้อง ศิลปะสนธยานนท์. (2555). ลิเกไทใหญ่ ในบริบทของกระบวนการสร้างจิตสำนึกทางชาติพันธุ์ กรณีศึกษาคณะจ๊าดไตยอดแซงแลงใหม่ หมู่บ้านเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ (วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภูมิภาคศึกษา). มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
    • แก่นจันทร์ มะลิซอ. (2546). การออกแบบผลิตภัณฑ์จากผ้าทอไทใหญ่ บ้านใหม่หมอกจ๋าม อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ (วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาอาชีวศึกษา). คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
    • ขำคม พรประสิทธิ์. (2555). รายงานการวิจัย เรื่อง กลองก้นยาว: ระเบียบวิธีการบรรเลงและการประสมวง. กองทุนวิจัยรัชดาภิเษกสมโภช จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    • ขำคม พรประสิทธิ์. (2559). วัฒนธรรมการบรรเลงดนตรีไทใหญ่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน. วารสารศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2559
    • โครงการพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมและชาติพันธ์ล้านนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2551). ไทใหญ่ ความเป็นใหญ่ในชาติพันธุ์. เชียงใหม่: สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
    • จุฑารัตน์ สุภาษี. (2544). การผลิตและการบริโภคถั่วเน่าของกลุ่มไทใหญ่อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน (วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาโภชนาศาสตร์ศึกษา). มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
    • ชัยสิทธิ์ ด่านกิตติกุล และสิงหนาท แสงสีหนาท. (2549). โครงการภูมิทัศน์วัฒนธรรมในชุมชนไทใหญ่ ในชุดโครงการภูมิปัญญา พัฒนาการ และความสัมพันธ์ระหว่างกันของเรือนพื้นถิ่นไทย-ไท คุณลักษณะของสถาปัตยกรรมสิ่งแวดล้อมในเรือนพื้นถิ่น รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย.
    • โชคนิธินันต์ คุณยศยิ่ง. (2557). องค์ความรู้ของการจัดการปอยส่างลองวัดป่าเป้า อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ (วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการศิลปะและวัฒนธรรม). คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
    • ดนิตา มาตา และคณะ. (2561). รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง เครือข่ายข้ามพรมแดน: ตัวตน และพลวัตทางวัฒนธรรมของชาวไทใหญ่ ในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ.
    • นงนุช จันทราภัย และเรณู วิชาศิลป์. (2541). สังคมและวัฒนธรรมไทบ้านใหม่หมอกจ๋าม. ใน ฉลาดชาย รมิตานนท์ และคณะ (บรรณาธิการ) ไท: Tai (หน้า 287-332). เชียงใหม่: โรงพิมพ์มิ่งเมือง.
    • ปณิธิ อมาตยกุล. (2547). การย้ายถิ่นของชาวไทใหญ่เข้ามาในจังหวัดเชียงใหม่ (วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภูมิภาคศึกษา). มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
    • ปานแพร เชาวน์ประยูร. (2550). บทบาทของพระพุทธศาสนาต่อกระบวนการผลิตซ้ำทางอัตลักษณ์ของชาวไทใหญ่ในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ (วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภูมิภาคศึกษา). มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
    • ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม. (2553). โครงการการออกแบบเบื้องต้นและการศึกษาความเป็นไปได้สำหรับพิพิธภัณฑ์มีชีวิตของเมืองแม่ฮ่องสอน รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย.
    • พิทยา ฟูสาย และคณะ. (2553). โครงการ “กระบวนการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่าสู่จังหวัดแม่ฮ่องสอน กรณีศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ คะยาห์ และกระเหรี่ยง” รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย.
    • เรณู วิชาศิลป์. (2541). สังเขปภูมิหลังของชาวไทใหญ่ในรัฐฉาน. ใน ฉลาดชาย รมิตานนท์ และคณะ (บรรณาธิการ) ไท: Tai (หน้า 255-259). เชียงใหม่: โรงพิมพ์มิ่งเมือง.
    • เรณู อรรฐาเมศร์. (2541). ภูมิปัญญาชาวไทใหญ่กับความเชื่อและพิธีกรรม. ใน ฉลาดชาย รมิตานนท์ และคณะ (บรรณาธิการ) ไท: Tai (หน้า 434-448). เชียงใหม่: โรงพิมพ์มิ่งเมือง.
    • วันดี สันติวุฒิเมธี. (2545). กระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวไทใหญ่ชายแดนไทย-พม่า กรณีศึกษาหมู่บ้านเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา). คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
    • วิสุทธิ์ เหล็กสมบูรณ์ และคณะ. (2552). รายงานการวิจัย เรื่อง การสร้างความหมายทางสังคมวัฒนธรรมของเด็กและเยาวชนไร้สัญชาติในจ๊าดไต (ลิเกไทใหญ่) ภายใต้บริบทการเข้าถึงทรัพยากร : กรณีศึกษาจ๊าดไต บ้านแม่ละนา อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ.
    • ศันสนีย์ กระจ่างโฉม. (2556). องค์ความรู้ด้านการบริโภคอาหารของผู้สูงอายุในกลุ่มชาติพันธุ์ไทยวน ไทลื้อ ไทยอง และไทใหญ่ภายใต้วัฒนธรรมล้านนา. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ.
    • สมคิด แสงจันทร์ . (2559).  Facebook : พื้นที่สาธารณะออนไลน์ของแรงงานไทใหญ่ในประเทศไทย   ใน วารสารสังคมศาสตร์ ปีที่ 28  ฉบับที่  2/2559 (กรกฏาคม-ธันวาคม) หน้า133- 173 เชียงใหม่. วนิดาการพิมพ์.
    • สมคิด แสงจันทร์ . (2560). แรงปรารนาและวัฒนธรรมวัยรุ่นของกลุ่มคนหนุ่มไต ในจังหวัดเชียงใหม่ (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศาสตร์). คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 
    • สมโชติ อ๋องสกุล. (2546). โครงการวิจัยการสร้างประวัติศาสตร์ชุมชนในเชียงใหม่: การสร้างประวัติศาสตร์ท้องถิ่น รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย.
    • สุทัศน์ กันทะมา. (2542). การคงอยู่ของวัฒนธรรมพื้นบ้านของชาวไมใหญ่ (วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ). คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
    • อรวรรณ วิไชย. (2557). วาทกรรมของไทใหญ่ว่าด้วยเรื่องสมเด็จพระนเรศวรมหาราช : กรณีศึกษาลัทธิพิธีและความเชื่อของชุมชนไทใหญ่ อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่. (วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภูมิภาคศึกษา). มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
    • อัมพร จิรัฐกร. (2558). พื้นที่สาธารณะข้ามชาติ การเมืองเรื่องพื้นที่ของแรงงานอพยพไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่. เชียงใหม่:ศูนย์บริการวิชาการ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

     

    สารสนเทศออนไลน์

     

ชุดข้อมูล : แผนที่ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในประเทศไทย

แสดง 1-1 จากทั้งหมด 1 รายการ
จังหวัดที่กระจายตัวตั้งถิ่นฐาน จำนวนครัวเรือน จำนวนประชากร
แม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ ตาก เป็นต้น (ชายแดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือเป็นส่วนมาก)95000
ที่มา:

สุวิไล เปรมศรีรัตน์ และคณะ. (2547). แผนที่ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ


  • บทนำ :

              ไต หรือเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ “ไทใหญ่”  โดยความหมายของคำว่า  “ไต” นั้น หมายถึงคน ขณะที่ชื่อเรียก “ไทใหญ่” นั้น เป็นชื่อที่คนไทยภาคกลางใช้เรียกคนไต หรือกลุ่มคนที่อยู่ในลุ่มน้ำสาละวิน ส่วนชื่อเรียก“เงี้ยว”เป็นคำที่คนยวนในล้านนาใช้เรียกพวกเขา แต่เป็นคำที่คนไทใหญ่ไม่ชอบเพราะส่อไปในทำนองดูถูก ในขณะที่ “ฉาน” นั้นเป็นอีกชื่อเรียกหนึ่งที่ชาวพม่าใช้เรียกชาวไต จวบจนยุคอาณานิคม ชาวอังกฤษก็เรียกชื่อนี้ตามอย่างพม่า ในขณะที่เจ้าของวัฒนธรรมเองนั้น ประสงค์ให้คนทั่วไปเรียกตนเองว่า “ไต” มากกว่าชื่ออื่น ขณะเดียวกันชื่อเรียกนั้นมีการใช้สลับไปมา มีความลื่นไหลและพลวัตรขึ้นอยู่กับมิติความสัมพันธ์

              ไต หรือไทใหญ่ อาศัยอยู่ในแผ่นดินใหญ่เอเชียในตอนเหนือของเวียดนาม ตอนใต้ของจีน ตอนเหนือของลาว ไทย พม่า และในแค้วนอัสสัม ด้านตะวันออกของอินเดีย ในประเทศไทยนั้นกระจายตัวอยู่ในหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือมาเนิ่นนานก่อนยุคการขีดแบ่งเส้นพรมแดน อาศัยอยู่หนาแน่นใน เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอนฯ ในอดีตมีบทบาทสำคัญในการค้าทางไกลด้วยวัวต่าง ม้าต่าง เดินทางเชื่อมโยงเส้นทางการค้าในตอนใต้ของจีน พม่า ตอนเหนือของไทย เข้าสู่ประเทศลาวฯ  ชาวไทใหญ่บางส่วนตั้งชุมชนกระจัดกระจายไปในเส้นทางการค้า ในยุคพระเจ้ากาวิลละปกครองเชียงใหม่นั้นเรียกได้ว่าเป็นยุค “เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง” เมื่อเกิดการสู้รบชนะ ได้รวบรวมผู้คนจากดินแดนต่างๆ เข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนล้านนา ผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ถูกอพยพมาจากชุมชนเดิมและให้กระจายไปอาศัยยังที่แห่งใหม่ เกิดเป็นชุมชนชาติพันธุ์กระจายอยู่ทั่วไปทั้งในเขตเมืองเชียงใหม่และรอบนอก  ในขณะที่กลุ่มชาวไตอีกกลุ่มเคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยในช่วงความไม่สงบภายในประเทศพม่า ผนวกกับแรงดึงดูดด้านแรงงานในประเทศไทย ส่งผลให้ชาวไตจากหลายเมืองในรัฐฉานเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยทางด้านทิศเหนือเพื่อเข้ามาหางานทำและกระจายออกมาสู่จังหวัดอื่นๆ โดยเฉพาะเมืองที่ต้องการแรงงานในกิจกรรม 3D เช่น สมุทรสาคร สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร

              ปัจจุบันคนทั้งสองกลุ่มยังคงดำรงอยู่ในสังคมไทยในสถานะที่ต่างกัน กล่าวคือ คนไตดั้งเดิมติดแผ่นดินมีความเป็นอยู่ที่ยึดโยงกับชุมชนท้องถิ่นและความเป็นรัฐไทย ผสมกลมกลืนกับสังคมและวัฒนธรรมแบบไทย ขณะที่คนไตกลุ่มใหม่ที่เข้ามาเป็นแรงงานนั้นอยู่ในสถานะของแรงงานที่ขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศไทย ทั้งที่มีสถานะถูกกฏหมายและผิดกฏหมาย ในแง่มุมของวิถีวัฒนธรรม คนไตทั้งสองกลุ่มได้รับการยอมรับอย่างมาก เนื่องด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้านั้นสอดคล้องกับสังคมพุทธในประเทศไทย พื้นที่ทางศาสนา พื้นที่ของพิธีกรรม และศิลปกรรม จึงเป็นพื้นที่หลักที่คนไตใช้แสดงออกถึงอัตลักษณ์และตัวตน เช่น การบวชลูกแก้ว หรือปอยส่างลอง การรำโต รำนกกิ่งกะหล่า อันเป็นศิลปะการถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาผ่านงานศิลปะทั้งสิ้น

     

  • ประวัติ/ที่มาของกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ :

    ประวัติศาสตร์

              การศึกษากลุ่มคนไทใหญ่ในเชิงมิติทางประวัติศาสตร์ในยุครัฐชาติ อาจแบ่งได้เป็นสองทางคร่าว ๆ คือ ประวัติศาสตร์และพัฒนาการทางการเมืองของประเทศพม่า และอีกด้านหนึ่งคือพัฒนาการทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับชายแดนและการจัดการกับประชากรในประเทศไทย ในด้านการพัฒนาการทางการเมืองของประเทศพม่านั้น สังคมไตยุคจารีตเป็นสังคมเกษตรกรรม แรงงานเพื่อการผลิตเป็นสิ่งจำเป็น ช่วงอายุของคนหนุ่มจึงเป็นช่วงที่ยาวนานกว่าช่วงอื่น หน้าที่ทางสังคมของคนไตมักสัมพันธ์กับเพศและช่วงอายุ ในงานศึกษาเรื่อง สังคมและวัฒนธรรมไทบ้านใหม่หมอกจ๋าม  ของนงนุช จันทราภัย และเรณู วิชาศิลป์ (2541) กล่าวถึงเพศ และ วัยของชาวไตบ้านใหม่หมอกจ๋ามว่า เพศและวัยเป็นองค์ประกอบสำคัญในการจัดระบบช่วงวัยวัย (Age – grade system) ในสังคมไต การเป็นสมาชิกในกลุ่มชาติพันธุ์ ทำให้สมาชิกต่างผ่านกระบวนการการขัดเกลาทางสังคม (Socialization) และมาตรการควบคุมทางสังคม (Social Control) ตามลำดับช่วงวัยของตน การจัดระบบช่วงวัยจึงเป็นกลไกในการผลิตสมาชิกให้เหมาะสมกับระบบสังคมเกษตรกรรมที่ต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก สมาชิกของสังคมจะถูกจำแนกกลุ่มตามแรงงานและสติปัญญา เพื่อพัฒนาไปสู่วัยที่สูงกว่าระบบช่วงวัยจึงมีความสำคัญต่อการสร้างคุณสมบัติและเอกลักษณ์ของการเป็นสมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ (นงนุช จันทราภัย, เรณู วิชาศิลป์ 2541: 306)

              การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมครั้งใหญ่ในรัฐฉานเกิดขึ้นหลังจากที่อังกฤษยึดพม่าทั้งหมดรวมทั้งรัฐฉานได้อย่างเบ็ดเสร็จในปี พ.ศ. 2429 รัฐบาลอังกฤษใช้วิธีการแบ่งแยกกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ออกเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการปกครอง อาณานิคมอังกฤษได้นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่รัฐฉานสองประการ ประการแรก คือ รูปแบบการปกครองแบบรัฐชาติสมัยใหม่ โดยช่วงทศวรรษที่ 2460 อังกฤษได้เปลี่ยนรูปการปกครองในรัฐฉานใหม่ รวบรวมหัวเมืองต่าง ๆ กว่า 33 หัวเมืองสถาปนาโครงสร้างการปกครองรัฐฉานรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “สหพันธรัฐฉาน” (Federated Shan State) จัดตั้งสภาผู้นำแห่งสหพันธรัฐฉาน (Federal Council of Shan Chiefs) ขึ้นเป็นหน่วยปกครองหลักมีสมาชิกสภาประกอบไปด้วยเจ้าฟ้าเมืองต่าง ๆ ทำหน้าที่ดูแลกิจการภายในและงบประมาณของรัฐ แต่ทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลอังกฤษ การปกครองแบบรัฐสมัยใหม่ของอังกฤษทำให้ความเป็น “รัฐฉาน” ในทางการเมืองการปกครองเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้น สร้างสำนึกทางชาติพันธุ์ที่ไปไกลกว่ายุคจารีตที่สำนึกทางชาติพันธุ์นั้นเชื่อมโยงเฉพาะเมืองต่าง ๆ อย่างเป็นเอกเทศ ผ่านตำนานเรื่องเล่าประจำเมือง ไม่ได้เชื่อมโยงกับความเป็นชาติพันธุ์ไตโดยรวมเหมือนรัฐฉาน.

              ประการที่สอง คือ ความทันสมัย การศึกษา การค้าเสรี การคมนาคม และเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ  รัฐบาลอังกฤษได้ตัดถนน สร้างทางรถไฟ โรงเรียน โรงพยาบาล นำวัฒนธรรมตะวันตกมาเผยแพร่ อังกฤษเปิดบริษัทค้าไม้สัก ทำเหมืองแร่ โดยแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งให้กับพวกเจ้าฟ้า และค่าจ้างให้กับชนชนชั้นแรงงานในรัฐฉาน ดังนั้นภายใต้การปกครองของอังกฤษที่ยาวนานกว่า 70 ปี จึงเป็นช่วงของการปะทะสังสรรค์ระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและวัฒนธรรมท้องถิ่นของไต วิถีชีวิตของคนไต เคลื่อนจากสังคมเกษตร เปิดรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต

              ในระดับชาวบ้านธรรมดา สิ่งที่เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของพวกเขาในช่วงอาณานิคม ไม่ใช่การศึกษาเนื่องจากการศึกษายังกระจุกอยู่กับชนชั้นปกครองเท่านั้น แต่เป็นระบบเศรษฐกิจการค้าสมัยใหม่โดยเฉพาะการค้าไม้และสินแร่ จากการพัฒนาระบบการคมนาคมที่สะดวกสบายมากขึ้น กิจกรรมการค้ารุ่งเรื่องในรัฐฉานเป็นอย่างมาก เกิดคาราวานพ่อค้าไต หรือ พ่อค้าวัวต่าง  ที่ออกเดินทางไปค้าขายยังที่ต่าง ๆ กลายเป็นกิจกรรมทางสังคมที่ทำให้คนหนุ่มคนสาวในยุคนั้นหลายคนสนใจ (ดูใน วราภรณ์ เรืองศรี 2557, นิติ ภวัครพันธุ์ 2558) การเปลี่ยนรูปแบบการปกครองไปสู่รัฐชาติสมัยใหม่ และการเปิดรับความทันสมัยทำให้สังคมและวัฒนธรรมต่าง ๆ ของรัฐฉานเปลี่ยนไป เป็นสังคมที่เปิดกว้างผสมผสานระหว่างความทันสมัยและจารีตนิยม

              ต่อมายุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ในพม่าทวีความรุนแรงมากขึ้น รัฐฉาน ตกลงทำสัญญาปางโหลงกับรัฐพม่าและรัฐชาติพันธุ์อื่น ๆ เพื่อขอเอกราชจากอังกฤษภายใต้เงื่อนไขว่ารัฐฉานมีสิทธิแยกตัวออกจากสหภาพได้หากอยู่ร่วมกันครบ 10 ปี สิทธิการแยกตัวนี้ถูกที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกของสหภาพพม่า (พ.ศ. 2491-2505) กระนั้นก็ตามภายใต้สหภาพพม่า นโยบายการบริหารสหภาพบางประการ สร้างผลกระทบต่อกลุ่มชาติพันธุ์ไม่น้อย จากฐานคิดเรื่องการหลอมรวมชนในชาติให้เป็นเอกภาพ ละเลยความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่มี ทำให้ปัญหาความขัดแย้งทางด้านชาติพันธุ์เริ่มรุนแรงมากยิ่งขึ้นประกอบกับการเมืองในระดับโลกที่กำลังขับเคี่ยวกันภายใต้บรรยากาศของสงครามตัวแทนระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย (เสรีนิยม)  กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ (สังคมนิยม) พม่ากับรัฐฉานกลายเป็นสมรภูมิในการขับเคี่ยวกันอย่างหนัก ด้วยสารพันปัญหาทั้งภายในและภายนอกที่เกิดขึ้น สหภาพพม่าจึงกลายเป็นสมรภูมิรบทั้งจากกลุ่มชาติพันธุ์และกลุ่มมหาอำนาจ

              ต่อมาในช่วงเผด็จการทหาร (พ.ศ. 2505 - 2553) ปัญหาความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในพม่าได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง เผด็จการทหารปรับนโยบายเศรษฐกิจของประเทศมาเป็นสังคมนิยมภายใต้ชื่อว่า “สังคมนิยมวิถีพม่า” (The Burmese Way to Socialism) แล้วยึดกิจการต่าง ๆ ของภาคเอกชนมาเป็นของรัฐนั้น ส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจสังคมการเมืองของพม่าพังทลายลงทันที ในรัฐฉานเองเกิดขบวนการกู้ชาตินำโดยกลุ่มทหาร นักศึกษา พระสงฆ์ รวมถึงชาวบ้านธรรมดา ทางรัฐบาลทหารพม่าเองก็ใช้ยุทธวิธีทางการทหารเข้าปราบปราม ในการตัดกำลังของกองกำลังกู้ชาติกลุ่มต่าง ๆ ด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชนทางเพศ การเกณฑ์ทหาร การบังคับโยกย้ายถิ่นฐานและใช้แรงงานทาส รัฐฉานจึงไม่ใช่ดินแดนที่น่าอยู่สำหรับชาวไตบางกลุ่ม การอพยพโยกย้ายเข้ามาในประเทศไทยจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

              มูลนิธิสิทธิมนุษยชนชาวไต (Shan Human Right Foundation - SHRF) รายงานว่า ในปี พ.ศ. 2539 ผู้นำของพม่าได้ใช้กำลังบังคับประชาชนจากหมู่บ้านในภาคกลางของรัฐฉานกว่า 1,400 แห่งให้ย้ายออกจากถิ่นที่อยู่อาศัย ชาวไตที่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรถูกบังคับให้ย้ายออกจากที่ทำกินเดิมเพื่อไปอยู่ที่ใหม่ในเมืองที่รัฐบาลตระเตรียมไว้ให้ ทำให้สูญเสียที่ทำกินและทรัพย์สินที่เคยครอบครอง ประมาณว่าในปีนั้นมีประชาชนจากรัฐฉานมากกว่า 300,000 คนถูกบังคับย้ายถิ่น และระหว่างปี พ.ศ. 2539-2540 ประมาณว่ามีชาวไตถึง 80,000 คนหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทย (SWAN,2546)

              ต่อมาในยุครัฐบาลกึ่งพลเรือนกึ่งทหารในปัจจุบัน (พ.ศ. 2553-ปัจจุบัน) พม่าได้ปฏิรูปประเทศเปลี่ยนการปกครองจากดเผด็จการทหารมาเป็นการปกครองกึ่งทหารกึ่งพลเรือน เปิดประเทศและเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ในลักษณะกึ่งปิดกึ่งเปิดทางการปกครองเช่นนี้และการเข้ามาของทุนต่างชาติ ได้ก่อให้เกิดปัญหาร่วมสมัยคือ การเข้ามาตักตวงทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การทำเหมือง การทำเขื่อน เป็นต้น นำมาสู่การยึดที่ดินของชาวบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งเป็นเขตที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ แต่การเปิดประเทศและการกำลังจะพัฒนาไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ก็ทำให้องค์กรต่าง ๆ สามารถมีพื้นที่ในการเคลื่อนไหวทางสังคมได้อย่างอิสระมากขึ้น

              ส่วนพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของคนไทใหญ่ในประเทศไทยนั้น คนไทใหญ่จำนวนหนึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนล้านนาและบางส่วนในประเทศไทยมาตั้งแต่ก่อนยุครัฐชาติ คนกลุ่มนั้นก็ผสมกลมกลืนกลายเป็นพลเมืองไทยได้ไม่ยาก เพราะมีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกันทั้งทางภาษา ศาสนา วัฒนธรรม รวมถึงอาหารการกิน

              หากนับในช่วงหลังยุครัฐชาติ ช่วงปี พ.ศ. 2501 เป็นช่วงที่ความขัดแย้งทางด้านชาติพันธุ์ในพม่าเริ่มบานปลาย ในรัฐฉานเริ่มมีกลุ่มกองกำลังกู้ชาติจำนวนหนึ่งเกิดขึ้นเพื่อต่อสู้เรียกร้องเอกราชจากพม่า กองกำลังเหล่านี้เข้ามาอาศัยชายแดนไทย – พม่า เป็นฐานบัญชาการ ประกอบกับรัฐไทยในขณะนั้นต้องการป้องกันการเข้ามาของคอมมิวนิสต์จากจีน จึงได้อาศัยกองกำลังกู้ชาติไตเป็นรัฐกันชน  (Buffer state) ตั้งแต่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เรื่อยไปถึงชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน ยาวนานกว่า 40 ปี เป็นช่วงที่ชายแดนไทย-พม่าเต็มไปด้วยภัยสงครามระหว่างกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์และรัฐบาลเผด็จการพม่า นอกจากนั้นยังมีปัญหายาเสพติดที่ระบาดหนัก  และปัญหาการทะลักเข้ามาของผู้อพยพจากพม่า พื้นที่ชายแดนจึงเต็มไปด้วยชุมชนของผู้อพยพและค่ายลี้ภัย

              การที่กองกำลังกู้ชาติไตเข้ามาอาศัยบริเวณชายแดนเป็นฐานบัญชาการนั้น ได้ก่อให้เกิดชุมชนชาวไตอพยพหลายชุมชนขึ้นทั้งฝั่งไทยและพม่า เพื่อรองรับครอบครัวของทหารและชาวบ้านที่อพยพหนีภัยสงครามเข้ามา ชุมชนเหล่านี้บางแห่งมีสถานะเป็นรัฐซ้อนรัฐไม่อยู่ในการควบคุมทั้งจากรัฐไทยและพม่า บางพื้นที่ถูกประกาศเป็นรัฐอิสระไม่ขึ้นตรงต่อทั้งรัฐไทยและรัฐพม่า แต่อยู่ในการควบคุมของกองทัพ ที่สามารถจัดองค์กรทางการเมืองและวัฒนธรรมของตนเองขึ้นมาได้ เช่น โรงเรียน โรงพิมพ์ โรงพยาบาล ศูนย์ฝึกทหาร เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีชาวไตอพยพอีกจำนวนมากที่อพยพกระจายตัวกันอยู่ตามชายแดนจังหวัดเชียงใหม่ เช่น อำเภอเชียงดาว อำเภอฝาง อำเภอไชยปราการ อำเภอแม่อาย และอำเภอเวียงแหง ในชุมชนชายแดนของไทย ใช้ชีวิตร่วมกับคนไทยและกลุ่มคนอื่น ๆ บริเวณชายแดน หรือสร้างชุมชนของตนเองขึ้นมาใหม่ในที่รกร้างว่างเปล่าตามชายแดน ชาวไตอพยพกลุ่มนี้ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากกองกำลังกู้ชาติมากนัก เนื่องจากไม่ได้อยู่ในพื้นที่ควบคุมของกองกำลังกู้ชาติ ทำให้ผู้อพยพจำนวนมากสามารถกลมกลืนเข้ากับชุมชนชายแดนของไทยได้ เนื่องจากมีภาษาและวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกันดังนั้นชุมชนที่อพยพเข้ามา สถานทางบุคคล การศึกษา ช่วงชั้นอายุ ที่มีความแตกต่างกันของผู้อพยพมาในช่วงนี้ จึงทำให้วิถีชีวิตของคนผู้อพยพแต่ละคนในแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน

              เราจะเห็นการศึกษาวิถีชีวิตของคนไทใหญ่ในช่วงนี้ได้จากงานศึกษาเช่น “กระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวไทใหญ่ชายแดนไทย-พม่า กรณีศึกษาหมู่บ้านเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่” ของวันดี สันติวุฒิเมธี (2545) เป็นงานศึกษาเกี่ยวกับชุมชนชาวไตอพยพที่ให้รายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงภายในชุมชนได้ระเอียด ระหว่างปี พ.ศ. 2501 – 2544 และงานศึกษาเรื่อง สังคมและวัฒนธรรมไทบ้านใหม่หมอกจ๋าม ของนงนุช จันทราภัย และเรณู วิชาศิลป์ (2541) มักฉายภาพให้เห็นถึงพัฒนาการของการโยกย้ายตั้งถิ่นฐาน การปรับตัวให้เข้ากับสังคมไทย รวมทั้งการปรับตัวทางวัฒนธรรม ประเพณีและอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของพวกเขา หลังจากนั้นการศึกษาเกี่ยวกับคนไทใหญ่ในช่วงสามทษวรรษที่ผ่านมาได้ขยับมาศึกษาชาวไทใหญ่ที่อพยพเข้ามาเป็นแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย

              อาจจะกล่าวได้ว่าตอนนี้มีประชากรไทใหญ่อยู่ในประเทศไทยอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ กลุ่มหนึ่งคือคนไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้มานานตั้งแต่ยุคจารีต มาจนถึงยุคก่อนรัฐชาติ และยุคก่อตัวของรัฐชาติ ซึ่งคนไทใหญ่กลุ่มนี้บางส่วนได้ผสมกลมกลืนเข้ากับสังคมวัฒนธรรมไทย จนกลายเป็นพลเมืองไทยไปหมดแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นลูกหลานของคนไทใหญ่ในยุคแรก ๆ ส่วนอีกกลุ่มคือกลุ่มคนไทใหญ่ที่อพยพมาหลังยุคสร้างชาติในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา คนไทใหญ่กลุ่มนี้บางส่วนยังมีความเชื่อมโยงกับไทใหญ่ในพม่า บางส่วนสามารถสามารถตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยได้แล้ว และบางส่วนยังดำรงชีพด้วยการเป็นแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย

     

    การตั้งถิ่นฐานและการกระจายตัวของประชากร

              ปัจจุบันชาวไทใหญ่มีถิ่นฐานที่อยู่กระจัดกระจายในประเทศต่าง ๆ มากมาย ทั้งในเขตรัฐฉานในภาคเหนือของพม่า ในมณฑลยูนานของสาธารรัฐประชาชนจีน ในรัฐอัสสัมของประเทศอินเดีย ในภาคเหนือของประเทศลาว เป็นต้น ส่วนในประเทศไทยนั้นยังไม่มีการทำแบบสำรวจที่ครอบคลุมชัดเจนว่ามีประชนชาวไทใหญ่อยู่ในพื้นที่ไหนบ้างของไทย โดยเฉพาะจำนวนประชากรที่ไม่มีการระบุแน่ชัด มีเพียงการศึกษาชาวไทใหญ่เป็นกรณี ๆ ไปในแต่ละพื้นที่ แต่ในภาพรวมที่มีชาวไทใหญ่อาศัยอยู่หนาแน่นในประเทศไทยก็คือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ และมีชาวไทใหญ่ที่เป็นกลุ่มแรงงานข้ามชาติอยู่ตามเมืองเศรษฐกิจสำคัญของไทยอย่าง กรุงเทพฯ และอื่น ๆ อีกมาก

              ในประเทศไทย จังหวัดที่มีชาวไทใหญ่อาศัยอยู่เป็นจำนวนมากคือ จังหวะแม่ฮ่องสอน รองลงมาคือเชียงใหม่ เชียงราย และจังหวัดอื่น ๆ มีบ้างประปราย เช่น นครสวรรค์ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก ตาก นครนายก เป็นต้น (วีระพงศ์ มีสถาน 2544:13) แต่เนื่องจากรัฐบาลไทยไม่มีนโยบายจัดการที่ชัดเจนกับกลุ่มชนนี้ ทำให้กลุ่มชาวไทใหญ่รู้สึกถึงความไม่มั่นคงทั้งในเรื่องความปลอดภัยและที่พักพิง ส่งผลให้ชาวไทใหญ่จำนวนมากย้ายถิ่นทะลักเข้าสู่เมืองใหญ่ต่างๆ รวมถึงกรุงเทพมหานครที่เปรียบเสมือนแหล่งรวมชาติพันธุ์หลากหลายซึ่งหลั่งไหลเข้ามาทำมาหากิน (ปิลันธน์ ไทยสรวง 2559 ออนไลน์) ปัจจุบันคนไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยจึงมีความแตกต่างทั้งช่วงระยะเวลาที่เข้ามา เหตุผลที่อพยพ อายุ การศึกษา สถานภาพทางทะเบียนบ้านในประเทศไทย และบริบทพื้นที่ที่ชาวไทใหญ่เข้ามาอาศัยว่าจะเอื้อต่อการรักษาอัตลักษณ์วัฒนธรรมความเป็นไทใหญ่ได้มากน้อยเพียงใด และปรับตัวอย่างไรได้บ้าง

              ไต หรือไทใหญเคลื่อนย้ายเข้ามาในบริเวณภาคเหนือ (ล้านนา) ตั้งแต่อดีต เนื่องจากชาวไทใหญ่มีบทบาทในด้านการค้าขายทั้งในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย และอื่นๆ ซึ่งจากการศึกษาของ ปานแพร เชาวน์ประยูร (2550) ได้อธิบายถึงการตั้งชุมชมของชาวไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่จากอดีตและปัจจุบัน ดังนี้

              1. ชุมชนชาวไทใหญ่ในอดีต ชาวไทใหญ่ในอดีตมีการอพยพเข้ามาในเชียงใหม่ตั้งแต่ยุคสมัยพระเจ้ากาวิลพปกครองนครเชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2325 ที่มีการดำเนินการรวบรวมกำลังคนจากเมืองต่างๆ เรียกว่ายุค “เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง” โดยเข้าไปตั้งถิ่นฐานบริเวณด้านเหนือของเมืองเชียงใหม่ คือ บริเวณประตูช้างเผือก มีสถานที่สำคัญของชาวไทใหญ่ คือ วัดกู่เต้า ซึ่งเป็นวัดนิกายเงี้ยวตามความศรัทธาของชาวไทใหญ่ นอกจากในเมืองเชียงใหม่แล้ว ชาวไทใหญ่ยังกระจายไปตั้งถิ่นฐานในบริเวณรอบนนอกด้วย เช่น ชุมชนบ้านโปง (ตำบลป่าไผ่ อำเภอสันทราย) ชุมชนบ้านกาด (ตำบลบ้านกาด อำเภอแม่วาง) ชุมชนบ้านลาน (ตำบลม่อนขิน อำเภอฝาง) บ้านเวียงหวาย (อำเภอฝาง) ตำบลเวียงแหง และตำบลเปียงหลวงนอกจากนั้นชาวไทใหญ่ยังกระจายไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่

              2. ชุมชนชาวไทใหญ่ในปัจจุบัน ชาวไทใหญ่ที่อพยพเข้ามาในจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 เป็นต้นมา บางกลุ่มเป็นกลุ่มที่มีการสร้างเครือข่ายข้ามพรมแดนระหว่างชาวไทใหญ่ด้วยกันเอง ดังนั้นผู้ที่อพยพเข้ามาจึงเข้ามาอาศัยอยู่กับเครือข่ายของตนเองที่อาศัยอยู่ก่อนแล้วในจังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ในเมืองเชียงใหม่ ที่มีชาวไทใหญ่อาศัยอยู่มาก ได้แก่ชุมชนวันกู่เต้าและวัดป่าเป้า เนื่องจากเป็นบริเวณที่อยู่อาศัยดั้งเดิมของชาวไทใหญ่ นอกนั้นชาวไทใหญ่ที่ไม่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ญาติพี่น้อง ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่เข้ามาเป็นแรงงาน โดยเฉพาะการก่อสร้าง หรือการทำงานในโรงงาน มักอาศัยอยู่บริเวณสถานที่ก่อสร้าง และมีการย้ายที่อยู่อาศัยไปตามลักษณะงาน การตั้งถิ่นฐานจึงไม่เป็นหลักแหล่งดังเช่นกลุ่มที่เข้ามาก่อน สำหรับพื้นที่รอบนอกเมืองเชียงใหม่นั้น ก็ยังคงมีชาวไทใหญ่อาศัยอยู่หลายพื้นที่ เช่น อำเภอเวียงแหง อำเภอแม่อาย และอำเภออื่นๆ ลักษณะของชาวไทใหญ่ที่ตั้งถิ่นฐานในจังหวัดเชียงใหม่จำแนกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ (ปณิธิ อมาตยกุล, 2547)

              3. ชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่อย่างถูกกฎหมาย มีบัตรประจำตัวประชาชน เป็นกลุ่มคนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเข้ามาในประเทศไทยก่อนปี พ.ศ. 2521 ได้รับสิทธิการโอนสัญชาติเป็นสัญชาติไทย ส่วนใหญ่มีครอบครัว โดยบุตรหลานได้สัญชาติไทยเช่นกัน ชาวไทใหญ่กลุ่มนี้โดยพื้นฐานแล้ว เป็นกลุ่มที่มีความรู้ มีการศึกษา ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับมัธยมปลายหรืออุดมศึกษา มีทักษะทางด้านภาษาอังกฤษ เมื่ออพยพเข้ามาจึงสามารถประกอบอาชีพที่ต้องใช้ทักษะความรู้ได้ เช่น พนักงานเสนอขายสินค้าของที่ระลึก มัคคุเทศก์ และองค์อิสระที่เกี่ยวข้องกับไทใหญ่ (NGOs) เป็นต้น มีรายได้ประมาณ 5000-10,000 บาทต่อเดือน ชาวไทใหญ่กลุ่มนี้จะไม่ตั้งถิ่นฐานเป็นกลุ่มใหญ่ แต่จะอาศัยอยู่กระจัดกระจายในจังหวัดเชียงใหม่ ในอำเภอเมือง อำเภอหางดง อำเภอแม่ริม อำเภอสันทราย และอำเภออื่นๆ

              4. ชาวไทใหญ่ที่เข้ามาทำงาน ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน เป็นกลุ่มคนที่อพยพเข้ามาหลังปี พ.ศ. 2521 เพื่อเข้ามาทำงาน มีทั้งกลุ่มคนที่เข้ามาอย่างถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย นอกจากนั้นบางส่วนอพยพเข้ามาพร้อมครอบครัว บางส่วนมาแต่งงานสร้างครอบครัวกับคนไทย ส่วนเด็กที่อพยพเข้ามามักจะบวชเป็นสามเณรเพื่อศึกษาต่อในจังหวัดเชียงใหม่ ทั้งนี้ กลุ่มที่เข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมาย ส่วนใหญ่จะทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาด ลูกจ้างในร้านค้า โรงงานทอผ้า โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า รายได้ประมาณ 700-2,000 บาทต่อเดือน และยังมีบางส่วนที่ประกอบอาชีพค้าขาย รายได้ไม่แน่นอน ประมาณ 200-500 บาทต่อวัน นอกจากนั้นกลุ่มที่เข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมาย ส่วนใหญ่ทำงานด้านก่อสร้าง บางส่วนเป็นลูกจ้างในสวนผลไม้ มักได้รับค่าตอบแทนเป็นรายวัน ประมาณ 35-120 บาทต่อวัน

              กลุ่มที่ประกอบอาชีพรับจ้างต่าง ๆ มักจะอาศัยอยู่กับนายจ้าง หรือสถานที่ที่นายจ้างจัดไว้ให้ จะไม่ได้อาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มใหญ่ แต่จะกระจัดกระจายกันไปตามลักษณะของการประกอบอาชีพ ส่วนชาวไทใหญ่ที่ประกอบอาชีพก่อสร้าง มักจะพักอาศัยรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่บริเวณใกล้เคียงที่ทำงาน ลักษณะที่อยู่อาศัยจะสร้างเป็นกระท่อมเล็ก ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย

     

  • วิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ :

    วิถีชีวิต 

              ชาวไทใหญ่ดั่งเดิมที่ตั่งถิ่นฐานในเมืองเชียงใหม่ ในอดีตแต่ละครัวเรือนจะประกอบอาชีพหลายอย่าง ไม่ยึดประกอบอาชีพใดอาชีพหนึ่ง (สมโชติ อ๋องสกุล, 2546) ได้แก่

              1. การค้าวัวต่าง  พ่อค้าวัวต่างส่วนใหญ่เป็นชาวไทใหญ่ ในช่วงฤดูแล้ง พ่อค้าวัวต่างจะรวมกลุ่มเป็นขบวน รวบรวมผลผลิตสินค้าภายในท้องถิ่นไปแลกเปลี่ยนสินค้ากับหมู่บ้านอื่นๆ กลับมาในท้องถิ่น เส้นทางการค้าวัวต่างมีทั้งระยะไกล เช่น เชียงใหม่ถึงมะละแหม่ง และเส้นทางระยะใกล้ เช่น เชียงใหม่ถึงฝาง ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาทางด้านการคมนาคม การสร้างทางรถไฟและการสร้างถนนทำให้บทบาทของพ่อค้าวัวต่างหมดลงไป

              2. การทำหนังพองขาย  ในอดีตชาวไทใหญ่แทบทุกครัวเรือนจะทำหนังพอง ซึ่งเป็นการทำหนังควายแห้งนำมาทอด การขายหนังพองจะขายสองแบบ คือ แบบที่ยังไม่ได้ทอด และแบบที่ทอดแล้ว ขายให้กับพ่อค้าคนกลางที่มารับซื้อเพื่อนำไปขายต่อ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา หลังจากที่เริ่มมีผู้คนจากพื้นที่ต่า งๆ เข้ามาอาศัยในเมืองโดยเฉพาะบริเวณชุมชนช้างเผือก-ป่าเป้า ทำให้การทำหนังพองของชาวไทใหญ่ต้องเลิกกิจการไป เนื่องจากการทำหนังพองใช้กรรมวิธีที่ต้องใช้เชื้อเพลิงความร้อน และมีควันมาก เทศบาลนครเชียงใหม่เกรงว่าจะเกิดอัคคีภัยจึงขอให้เลิกทำหรือย้ายไปทำที่อื่น

              3. การปั้นหม้อ  ชาวไทใหญ่ที่มีอาชีพปั้นหม้อขายจะใช้ดินในบริเวณบ้านที่อยู่อาศัย โดยการขุดดินลงไปเพื่อนำเอาดินเหนียวด้านล่างขึ้นมา นำมาตากแดด แล้วจึงทุบให้ละเอียด นำมาร่อนแล้วจึงผสมน้ำ ขึ้นเป็นรูปทรง นำไปเผาไฟเป็นหม้อดิน ส่วนใหญ่จะขายที่ห้องแถวย่านถนนราชวงศ์

          

    เตาเผาเครื่องปั้นของชาวไทใหญ่ในเชียงตุง

    ที่มา : สมคิด แสงจันทร์ 2558

     

              4. การทำรองเท้ากาบโปก  รองเท้ากาบโปก เป็นภูมิปัญญาของชาวไทใหญ่ เป็นการนำเอาไม้ไผ่หรือไม่ซางมาตัดเป็นพื้นรองเท้า แล้วใช้หนังควายหรือหนังหมูมาหุ้มทั้งด้านบนและล่าง และเย็บหนังติดกัน ส่วนใหญ่ทำขึ้นเพื่อใช้ถวายพระภิกษุ

              5. การทำนา  ชาวไทใหญ่ที่อาศัยในเมืองเชียงใหม่ ส่วนน้อยที่จะทำนา ที่นาจะอยู่บริเวณหลังโรงเรียนโกวิทธํารงเชียงใหม่ รูปแบบการทำนาเป็นการจ้างแรงงานท้องถิ่นมาทำ