คำศัพท์

Dowry

       ทรัพย์สินเดิมของฝ่ายหญิง(เจ้าสาว) ก่อนการสมรส หรือ dowry เป็นทรัพย์สินที่พ่อแม่หรือญาติของเจ้าสาวจะส่งให้กับลูกสาวในพิธีแต่งงาน  ตามธรรมเนียมเดิม การส่งทรัพย์สินจะเกิดขึ้นในกรณีที่มีการแต่งงานครั้งแรก และทรัพย์สินนั้นจะถือเป็นสมบัติส่วนตัวของเจ้าสาวเท่านั้น   ธรรมเนียมดังกล่าวนี้พบได้ในหลายวัฒนธรรม ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องมือช่วยให้ผู้หญิงที่แต่งงานมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นักมานุษยวิทยา แจ็ค กูดี้ ศึกษาเปรียบเทียบธรรมเนียมนี้ในหลายสังคมพบว่า ทรัพย์สินที่ให้เจ้าสาวสัมพันธ์กับแบบแผนการแบ่งแรงงานในสังคมเกษตรกรรม

       แทมบายฮ์ เรียกทรัพย์สินนี้ว่า conjugal fund หรือ สมบัติจากการสมรส ซึ่งคู่แต่งงานจะนำไปใช้เพื่อสร้างครอบครัวและยังชีพ   ทรัพย์สินนี้มิใช่เป็นค่าตัวของเจ้าสาว  แต่การจ่ายค่าตัวของเจ้าสาวจะมาจากเจ้าบ่าว  ค่าตัวเจ้าสาวจะมาจากเงินของญาติข้างเจ้าบ่าว เงินค่าตัวนี้จะส่งไปให้ญาติข้างพ่อของเจ้าสาวซึ่งอาจเป็นพี่น้องผู้ชาย   และค่าตัวเจ้าสาวนี้ก็จะกลายเป็นทรัพย์สินของพี่น้องผู้ชายสำหรับนำไปใช้ในการแต่งงานของพวกเขาต่อไป

          การจ่ายเงินค่าสินสอด ต้องทำทั้งฝ่ายชายและหญิง กล่าวคือญาติของเจ้าสาวต้องจ่ายสินสมรส ส่วนญาติของเจ้าบ่าวต้องจ่ายค่าตัวให้เจ้าสาว  แต่การครอบครองสมบัติอาจไม่ได้เกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย     เพราะค่าตัวเจ้าสาวจะตกเป็นของญาติเจ้าสาวเท่านั้น   อย่างไรก็ตาม คำอธิบายการแต่งงานแบบนี้อาจดูง่ายเกินไป  เพราะในบางสังคมจะมีทั้งการจ่ายค่าตัวเจ้าสาวและให้ดอว์รีไปพร้อมกัน   ในการจ่ายสินสมรสหรือเงินขวัญถุงให้เจ้าสาวมักจะเกิดขึ้นในชนชั้นสูง ส่วนการจ่ายสินสอดให้เจ้าสาวโดยเงินของเจ้าบ่าวจะเกิดขึ้นกับชนชั้นล่าง   รูปแบบการเงินขวัญถุงและเงินสินสอดอาจขึ้นอยู่กับเหตุผลส่วนตัว  เช่น ในบางครั้ง ญาติข้างเจ้าบ่าวจะส่งเงินทองให้ครอบครัวของเจ้าสาว ซึ่งเท่ากับเป็นการให้เงินเพื่อเป็นสมบัติจากการสมรส  อาจกล่าวได้ว่าการให้สินสอดแก่เจ้าสาวด้วยเงินของเจ้าบ่าวเป็นการโยกย้ายทรัพย์สิน  แต่การจ่ายเงินขวัญถุง เป็นการครอบครองสมบัติส่วนตัวสำหรับเจ้าสาว

          ในบางกรณี เมื่อทรัพย์สินที่มาจากญาติของเจ้าสาวถูกส่งไปที่อื่น มิได้หมายความว่าทรัพย์สินนั้นจะตกเป็นของเจ้าสาวและเจ้าบ่าว แต่ตกเป็นของพ่อแม่และญาติพี่น้องของเจ้าบ่าว  รูปแบบการจ่ายทรัพย์สินในกรณีนี้ คือการทำให้ดอว์รีเป็นการโยกย้ายสมบัติ  แต่การจ่ายสินสอดให้เจ้าสาว เป็นการครอบครองสมบัติส่วนตัว    การให้สินทรัพย์แก่เจ้าสาวเป็นรูปแบบการแต่งงานที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นมากนัก  จากการศึกษาสังคม 1,267 แห่งในหนังสือเรื่อง Ethnographic Atlas มีเพียง 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่พบว่ามีธรรมเนียมนี้   การศึกษาของชเลเกล และอีลูล ในปี ค.ศ.1987 พบว่าสังคม 186 แห่งมีการแต่งงานที่จ่ายดอว์รีเพียง 6 เปอร์เซ็นต์    ดังนั้นการเกิดดอว์รีจึงไม่สม่ำเสมอ และมีเฉพาะในสังคมแถบเอเชียตะวันออก และเมดิเตอร์เรเนียนเท่านั้น   ในสังคมดังกล่าว การจ่ายดอว์รีจะเกี่ยวข้องกับการที่ผู้หญิงต้องแต่งงานกับผู้ชายที่มาจากชนชั้นสูง หรือมีฐานะร่ำรวยกว่า

          ดอว์รีคือทรัพย์สินซึ่งอาจเป็นเงินทอง เพชรนิลจินดา เครื่องมือเครื่องใช้ อุปกรณ์การยังชีพ สัตว์เลี้ยง และแม้แต่ทาส  นอกจากนั้นยังอาจเป็นการใช้ที่ดินและที่อยู่อาศัยร่วมกับญาติข้างพ่อของเจ้าสาว   ดอว์รีจึงอาจเป็นมรดกที่มอบให้กับลูกสาว และกลายเป็นสมบัติของเจ้าสาว   กฎของการมีดอว์รีจึงมาจากการเล็งเห็นว่าเมื่อผู้หญิงเสียชีวิตลง หรือ หย่าจากสามี สมบัติจะต้องตกเป็นของผู้หญิง

          นักมานุษยวิทยาหลายคนพยายามที่จะอธิบายการแต่งงานที่มีการจ่ายดอว์รี โดยถามว่าทำไมบางสังคมจึงมีการจ่ายดอว์รี ในขณะที่สังคมส่วนใหญ่ไม่มีธรรมเนียมนี้    การศึกษาของเอเวอลีน โบเซอรัพ (1970) พบว่าการเกิดขึ้นของดอว์รีมาจากเงื่อนไขของการแบ่งแรงงานในภาคเกษตรกรรมตามเพศ  สังคมที่มีการจ่ายสินสอดให้เจ้าสาวมักจะเป็นสังคมที่ผู้หญิงต้องเป็นแรงงานในไร่นา  และผู้หญิงต้องพึ่งพิงเศรษฐกิจจากผู้ชาย และเกิดขึ้นในสังคมที่ผู้ชายมีภรรยาได้หลายคน    โบเซอรัพทำนายว่าค่าตัวเจ้าสาว คือ การที่ผู้หญิงต้องดูแลรับผิดชอบชีวิตของตัวเองและลูกที่จะเกิดมา  ส่วนการจ่ายดอว์รีคือการใช้เงินส่วนตัวของผู้หญิงเพื่อการยืนยันความมั่นคงในอนาคตสำหรับการเลี้ยงดูตนเองและลูกๆ โดยเฉพาะในกรณีที่เงินค่าตัวจากสินสอดมีจำกัด

          อลิซ ชเลเกล และโรฮ์น อีลูล(1988)  อธิบายว่าการแต่งงาน คือการสร้างกฎเกี่ยวกับการครอบครองสมบัติซึ่งแต่ละสังคมจะมีวิธีการต่างกัน  กล่าวคือ การจ่ายค่าสินสอดให้เจ้าสาวจะเกิดขึ้นในสังคมที่ชุมชนเป็นเจ้าของทรัพย์สินร่วมกัน หรือมีความเท่าเทียมกันในการใช้ทรัพยากร  ตรงข้ามกับการจ่ายดอว์รี จะเกิดขึ้นในสังคมที่ยึดถือทรัพย์สินส่วนตัวเป็นหลัก ซึ่งครอบครัวจะเข้าไปจัดการทรัพย์สินเพื่อธำรงและรักษาฐานะและอำนาจทางสังคมของตนเอง   ดอว์รีจะถูกจัดการโดยการสร้างพันธมิตรและการคำนึงถึงฐานะทางเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่าย  การจ่ายดอว์รีจะช่วยให้ญาติพี่น้องของตนยังคงมีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจเหมือนเดิม

          สตีเว่น เจ ซี กูลิน และเจมส์ เอส บอสเตอร์ (1990) นำแนวคิดเรื่องระบการจับคู่ของสัตว์มาอธิบาย โดยกล่าวว่าในสังคมของสัตว์ มีการแบ่งปันทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมกัน  จึงทำให้เกิดการจับคู่ที่ไม่สมดุล และสัตว์ตัวหนึ่งอาจมีคู่ได้หลายตัว    ในสังคมมนุษย์ ซึ่งมีการแบ่งช่วงชั้นที่ซับซ้อน และผู้ชายก็จะมีอำนาจและฐานะทางเศรษฐกิจที่ไม่เท่ากัน   ความแตกต่างทางฐานะทำให้ผู้ชายมีภรรยาได้หลายคน  ผู้ชายจะทำหน้าที่ควบคุมการใช้ทรัพยากร  คำอธิบายดังกล่าวนี้อาจถูกในบางกรณี แต่ก็มีข้อยกเว้นในบางกรณี     ในสังคมที่มีการแบ่งช่วงชั้น จะมีกฎสำหรับให้บุคคลมีผัวเดียวเมียเดียว   ส่วนในสังคมที่ผู้ชายมีฐานะใกล้เคียงกัน การจับคู่จะไม่เกี่ยวข้องกับการครอบครองทรัพยากร และผู้ชายจะไม่แข่งขันกันเพื่อเลือกคู่ 

          แต่ในสังคมที่ผู้ชายมีฐานะต่างกัน ผู้ชายต้องเลือกคู่ให้เหมาะสมกับฐานะทางเศรษฐกิจของตน  ผู้ชายที่ร่ำรวยไม่ต้องแข่งกับผู้ชายคนอื่น แต่ผู้หญิงที่เป็นภรรยาต้องแข่งขันกับผู้หญิงคนอื่นที่มาเป็นภรรยาโดยมีสามีคนเดียวกัน  การมีภรรยาหลายคนไม่ได้ทำให้ผู้หญิงได้รับประโยชน์จากสามีที่ร่ำรวย  ตรงข้ามกับสังคมที่มีกฎผัวเดียวเมียเดียว  ฐานะทางเศรษฐกิจที่ต่างกันมาจากกฎการห้ามมีภรรยาหลายคน  ภรรยาของสามีที่ร่ำรวยไม่ต้องพบกับสภาวะแย่งชิงทรัพยากรกับภรรยาคนอื่นๆ  ดังนั้นภรรยาจึงกลายเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจต่อสามี และการจ่ายดอว์รีก็จะเกิดขึ้นมาเพื่อทำให้ผู้หญิงมีฐานะเท่าเทียมกับชาย

          การศึกษาระบบการแต่งงานของโบเซอรัพ (1970) ชลีเกลและอีลูล(1988) และ กูลินและบอสเตอร์(1990) มีประเด็นร่วมกันบางอย่าง  กล่าวคือ การศึกษาทั้งสามบ่งชี้ว่า ดอว์รีคือการแข่งขันทางเศรษฐกิจ  ตัวอย่างเช่น การศึกษาของโบเซอรัพ อธิบายว่าเมื่อผู้หญิงได้รับทรัพย์สินน้อย พวกเธอก็จะแข่งขันกับภรรยาคนอื่นๆเพื่อทำให้สามีเอาใจและเลี้ยงดูเธอ  ส่วนการศึกษาของชลีเกล และกูลินก็ชี้ให้เห็นรูปแบบการแข่งขันที่ชัดเจน  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฐานะ อำนาจ หรือ โอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น   

          ทฤษฎีแต่ละแบบจะถูกตรวจสอบได้โดยการพิสูจน์ว่าดอว์รีจะเกิดขึ้นเฉพาะสังคมที่มีเงื่อนไขของตัวเองหรือไม่  เนื่องจากดอว์รีจะปรากฏขึ้นโดยสัมพันธ์กับกฎการมีผัวเดียวเมียเดียวและสังคมที่มีการแบ่งช่วงชั้นมากกว่าที่จะเกิดขึ้นกับสังคมที่ให้ความสำคัญกับสมบัติส่วนตัว หรือสังคมที่ผู้หญิงไม่ต้องทำงานในภาคเกษตรกรรม  รูปแบบดังกล่าวนี้บอกให้ทราบว่าดอว์รีจะเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ต้องมีการแข่งขันเพื่อผู้หญิงจะได้ครอบครองสามีที่มีฐานะร่ำรวยและยึดกฎผัวเดียวเมียเดียว


ผู้เขียน: ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ

เอกสารอ้างอิง:

Anderson, S. 2007, "The economics of dowry and brideprice" in the Journal of Economic Perspectives, 21(4), pp. 151-174.

David Levinson ,Melvin Ember. (eds.) Encyclopedia of Cultural Anthropology. Henry Holt and Company, New York. 1996, pp.359-360.

Stevan Harrell and Sara A. Dickey, 1985. Dowry Systems in Complex Societies. Ethnology, Vol. 24, No. 2 pp.105-120.         

Tambiah, Stanley J. 1989. "Bridewealth and Dowry Revisited: The posit of women in Sub-Saharan Africa and North India". Current Anthropology 30 (4): 426.      

Tambiah, Stanley; Goody, Jack 1973. Bridewealth and Dowry. Cambridge UK: Cambridge University Press.


หัวเรื่องอิสระ: ทรัพย์สินของเจ้าสาว