คำศัพท์

Disability

        การศึกษาและการนิยาม “ความพิการ” ของมนุษย์ เป็นการอาศัยความรู้ทางการแพทย์แบบตะวันตกและมักจะสร้างการอ้างอิงกับร่างกายของคนปกติที่มีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งในสังคมตะวันตกผู้พิการทางร่างกายจะถูกมองเป็นเหมือนคนป่วยและคนด้อยโอกาส ไม่สามารถทำสิ่งต่างๆได้ด้วยตนเอง  การศึกษาทางมานุษยวิทยาจะอธิบายร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของมนุษย์ด้วยมุมมอง 2 แบบ คือ 1 ความพิการถูกสร้างขึ้นด้วยความคิดเรื่องการซ่อมแซมแก้ไขให้ดีขึ้น 2 ความพิการแต่ละวัฒนธรรมจะมีความหมายต่างกัน

ในฐานะที่ความพิการถูกมองจากศาสตร์หลายสาขาว่าเป็นแนวคิดที่สังคมสร้างขึ้น  นักมานุษยวิทยาพิจารณาว่าความหมายของร่างกายในส่วนที่เป็นรูปลักษณ์และหน้าที่มีความแตกต่างกันด้วยเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม   แต่คำอธิบายทางวัฒนธรรมแตกต่างจากคำอธิบายทางการแพทย์ กล่าวคือ ความพิการในทางการแพทย์หมายถึงลักษณะของร่างกายที่บกพร่องและเสียหาย  ในขณะที่นักมานุษยวิทยาเชื่อว่าวิธีการจัดการกับร่างกาย และสภาพทางสังคมของความพิการถูกกำหนดด้วยเงื่อนไขของคุณค่าทางวัฒนธรรม  ในสังคมที่แตกต่างกัน ความพิการอาจถูกมองด้วยทัศนะทางการเมืองและการปกครอง เช่น นโยบายเกี่ยวกับการดูแลรักษาและฟื้นฟูผู้ป่วย และการให้โอกาสคนพิการทำงานในอาชีพต่างๆ

          การศึกษาของนักมานุษยวิทยา เช่น เบเนดิกต์ อิงสตัด และซูซาน เรย์โนลด์ ไวต์(1995) อธิบายว่าการวิจัยเรื่องความพิการในสังคมนอกตะวันตกยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น   แต่ในปัจจุบันโลกที่สามเริ่มหันมาสนใจวิถีชีวิตของคนพิการมากขึ้น โดยเฉพาะสุขภาพของผู้อพยพพลัดถิ่น และทหารที่กลับจากสงคราม   นักวิจัยในโลกที่สามให้ความสนใจในเรื่องบริบททางสังคมของคนพิการ เพื่อศึกษาว่าคนพิการได้รับแรงกดดันในชีวิตอย่างไร คนพิการถูกถอดทิ้งหรือไม่ หรือมีปัญหาในเรื่องใด

          นักมานุษยวิทยาที่สนใจระบบสัญลักษณ์ ได้ศึกษาวิเคราะห์การปฏิบัติต่อร่างกายของมนุษย์ในวัฒนธรรมต่างๆ เช่น เปรียบเทียบระเบียบทางสังคม หรือการควบคุมร่างกาย การศึกษาเชิงเปรียบเทียบจะทำให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างการควบคุมและการปฏิบัติต่อร่างกายในแต่ละสังคม  ตัวอย่าง  คุณค่าทางจริยธรรมของชาวอเมริกันให้ความสำคัญกับเรื่องการสงเคราะห์ผู้ยากไร้  และผู้พิการในสังคมอเมริกันก็ถูกสอนว่าจะประสบความสำเร็จได้ พวกเขาต้องขยันอดทนและใช้ความพยายาม  ดังนั้นคนพิการจึงต้องฝึกฝนร่างกายของตนเองให้ใช้งานได้ หรือทำสิ่งต่างๆได้

          แนวคิดแบบ Poststructuralism อธิบายว่าร่างกายเปรียบเสมือนบทอ่าน ซึ่งสะท้อนคุณค่าและความหมายทางวัฒนธรรม หรือเป็นเสียงสะท้อนของการถูกกดขี่ข่มเหง  เนื่องจากคนพิการต้องการความช่วยเหลือ ดังนั้นร่างกายของคนพิการจึงถูกกระทำโดยคนอื่น  การกระทำต่อร่างกาย และการปฏิบัติตัวระหว่างผู้ช่วยเหลือกับคนพิการอาจสะท้อนให้เห็นบริบททางสังคม  บทอ่านดังกล่าวนี้อาจเป็นประโยชน์ต่อการทำวิจัยระหว่างผู้ให้ข้อมูลกับนักวิจัยที่เป็นคนพิการ

          การศึกษาประสบการณ์ทางร่างกายของนักมานุษยวิทยา ได้แก่ การศึกษาของโรเบิร์ต เมอร์พี เรื่อง The body Silent (1987)    เมอร์ฟีค้นพบว่าตนเองมีปัญหาที่กระดูกสันหลัง และทำให้เขาต้องกลายเป็นอัมพาต งานศึกษาของเมอร์ฟีอธิบายว่าความสัมพันธ์ทางสังคมคือโรคชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเขาเป็นอัมพาต  และโรคของความสัมพันธ์นี้ก็ทำให้ชีวิตเขายากลำบากมากกว่าการป่วยทางร่างกาย   ความพิการของเมอร์ฟีและการสูญเสียสังคมทำให้เขาย้อนกลับมามองวัฒนธรรมของตนเอง โดยเปรียบตนเองเป็นคนต่างด้าว เหมือนการเข้าไปศึกษาในวัฒนธรรมอื่น  เมอร์ฟีพบว่าเมื่อร่างกายของเขาพิการ เขาก็เหมือนคนที่ไร้สังคมและไร้สถานภาพทางสังคม แต่เมอร์ฟีกลับมองเห็นเงื่อนไขทางวัฒนธรรมที่เขาดำรงอยู่ชัดเจนขึ้น

          การศึกษาของกีย์ล่า แฟรงค์ ใน ปีค.ศ.1988 เป็นการศึกษาคนที่พิการแขนขามาตั้งแต่กำเนิด  แฟรงค์พบว่าคนพิการเหล่านี้ไม่คิดว่าตนเองไร้ความสามารถหรือเป็นคนพิการ และไม่ต้องการที่จะใส่แขนขาเทียม   แต่คนในสังคมคิดว่าคนพิการเหล่านี้ต้องการความช่วยเหลือ   เรื่องเล่าจากประสบการณ์อาจทำให้เข้าใจความหมายของร่างกาย และเปิดเผยให้เห็นสถานะของมนุษย์ที่ต้องแสวงหาความคิดสร้างสรรค์  นอกจากนั้นเรื่องเล่ายังทำให้เห็นความคิดทางวัฒนธรรมที่มีต่อร่างกายและการสูญเสียร่างกาย ทำให้มองเห็นสถาบันทางสังคมที่เข้าไปกำหนดวิธีคิดต่างๆ

          การศึกษาของ แมริลีน ฟิลลิปส์ (1990) เป็นการศึกษาเรื่องเล่าของนักเรียนระดับมัธยมที่เป็คนพิการ  การศึกษาพบว่าวัฒนธรรมอเมริกันที่นำไปสู่การอธิบายความพิการก็คือคนพิการเปรียบเสมือน “ของที่ถูกทำลายให้เสียสภาพ”  คำเปรียบเปรยนี้มาพร้อมกับวาทกรรมของสื่อ ระบบทุนนิยม และการแพทย์ที่เอาคนพิการไปเป็นจุดขาย   คำอธิบายทางการเมืองอธิบายว่าคนพิการคือผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกาย การศึกษาของฮาร์เลน ฮาห์น (1985) กล่าวว่าคนที่มีร่างกายปกติมีความวิตกกังวลต่อการสูญเสียอวัยวะในร่างกายและไม่อยากอยู่ใกล้คนพิการ  ปฏิกิริยาของคนปกติคือการไม่ยอมยุ่งเกี่ยวและปฏิเสธที่มีแสดงความรักและมีเพศสัมพันธืกับคนพิการ เพราะคิดว่าคนพิการคือตัวประหลาด

          การศึกษาของนอร่า กรอซ (1985) เป็นการศึกษาชุมชนของคนหูหนวก  คนหูหนวกกลุ่มนี้มีการสื่อสารด้วยภาษาสัญลักษณ์ของตัวเอง  การศึกษาของชโลโม่ เดชเช่น (1992) ศึกษาชุมชนของคนตาบอดในอิสราเอล พบว่าคนตาบอดถูกสังคมกีดกันและพวกเขาต้องรวมกันเพื่อช่วยเหลือกันเอง  นอกจากนั้นยังมีการศึกษาของนักมานุษยวิทยาประยุกต์หลายคนที่ทำงานกับแพทย์ และทำให้เข้าใจอาชีพของคนพิการ เช่น การศึกษาของโจเซฟ คัฟเฟิร์ต  ศึกษาเรื่องเล่าของผู้ป่วยในรัฐมานิโตบา พบว่าเครื่องช่วยหายใจมีประโยชน์ในการฟื้นฟูและช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้เป็นอิสระ ถึงแม้ว่าเครื่องนี้จะเป็นผู้สร้างข้อจำกัดแบบใหม่ก็ตาม


ผู้เขียน: ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ

เอกสารอ้างอิง:

Armstrong, J. & Fitzgerald, M. 1996 Culture and disability studies: An anthropological perspective. Rehabilitation Education, 10, 247-304.

David Levinson, Melvin Ember(eds.) 1996. Encyclopedia of Cultural Anthropology. Henry Holt and Hompany, New York. Pp.345-346.

Gold, G. & Duval, L. 1994. Working with disability: An anthropological perspective. Introduction. In G. Gold & L. Duval (editors), Working with disability: An anthropological perspective. Anthropology of Work Review, 15(2-3), 1-2.

Kasnitz, D. & Shuttleworth, R. P. 2001. Anthropology and disability studies. In B. Swadener & L. Rogers (editors), Semiotics and dis/ability: Interrogating categories of difference (pp. 19-42). New York: SUNY Press.


หัวเรื่องอิสระ: ความพิการ