คำศัพท์

Purity and Pollution

       ในหลายวัฒนธรรมจะแยกความแตกต่างระหว่างสิ่งสะอาดและสิ่งสกปรก   สิ่งที่บริสุทธิ์กับสิ่งที่มีมลทิน  ไม่ว่าจะเป็นคนสัตว์หรือสิ่งของก็ตาม บางครั้งการแบ่งแยกนี้เกิดขึ้นโดยความเชื่อทางศาสนา ซึ่งความบริสุทธิ์จะถูกมองว่าเป็นสภาวะจิตใจที่สูงสุด แต่บางครั้งความบริสุทธิ์อาจเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน เช่น เรื่องสุขภาพดีและรสนิยมดี เป็นต้น  อย่างไรก็ตามธรรมชาติไม่มีกฎที่จะแยกความแตกต่างแบบนี้  ความแตกต่างเป็นเรื่องของวัฒนธรรมซึ่งจะมองต่างกัน  ความต่างอาจมีโครงสร้างที่คล้ายกัน คำถามคืออะไรเป็นตัวกำหนดให้แยกความแตกต่างระหว่างความสะอาดและความสกปรก  ความแตกต่างนี้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมอย่างไร

          การแบ่งแยกความสะอาดและสกปรกส่วนใหญ่จะพบในกฎข้อห้ามเรื่องอาหาร  ความสะอาดและความสกปรกเป็นเรื่องทางวัฒนธรรมซึ่งแต่ละสังคมจะมองต่างกัน  ตัวอย่างเช่น หลายวัฒนธรรมมองว่าประจำเดือนของผู้หญิงเป็นสิ่งสกปรก  เมื่อผู้หญิงมีประจำเดือนจะถูกห้ามมิให้ทำงานบางอย่าง และห้ามติดต่อกับผู้ชาย ในบางสังคม เชื่อว่าเด็กทารกแรกเกิดเป็นผู้ที่มีภาวะอันตรายและสกปรก เด็กจะถูกนำตัวไปเข้าพิธีชำระล้างเพื่อให้เป็นเด็กที่บริสุทธิ์   ในสังคมที่มีระบบวรรณะ ทุกคนจะถูกจัดลำดับขั้นของความสะอาด ผู้ที่มีฐานะสูงกว่าจะไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคนที่ต่ำกว่า เพราะคนชั้นล่างมีสภาวะสกปรก  นอกจากนั้นในบางวัฒนธรรม ผู้ที่มีอาชีพเป็นเพชรฆาตจะถือว่าเป็นคนที่ไม่บริสุทธิ์

          กฎของความสะอาดและความสกปรกมักจะอธิบายด้วยเรื่องสุขภาพอนามัย  ความสกปรกจะถูกมองว่าน่าเกลียด น่าขยะแขยง และเป็นตัวนำโรค เช่น ความเชื่อเรื่องการเจ็บป่วยเนื่องจากไปสัมผัสกับสิ่งสกปรก  ในสังคมชนเผ่าเอ็นกาในปาปัวนิวกินี มองว่าการมีเพศสัมพันธ์กับสตรีที่มีประจำเดือนจะทำให้ผู้ชายคนนั้นคลื่นเหียนอาเจียน ทำให้เลือดเปลี่ยนเป็นสีดำ  ทำให้หมดแรงเซื่องซึม ทำให้สติปัญญาโง่เขลา  และอาจเสียชีวิต  กฎเกี่ยวกับความสะอาดและสกปรกเป็นสิ่งที่นักมานุษยวิทยาสนใจ เนื่องจากเรื่องเหล่านี้เชื่อมโยงถึงปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมด้านอื่นๆ เช่น การแบ่งช่วงชั้นทางสังคม การแบ่งแยกบทบาทหน้าที่ทางเพศ การเจ็บป่วย และพิธีกรรมเกี่ยวกับชีวิต  เกี่ยวข้องกับเรื่องระบบนิเวศน์ กำกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและทรัพยากร 

          ในหลายสังคมเชื่อว่าสิ่งของศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวข้องกับอันตราย หากแตะต้องของศักดิ์สิทธิ์อาจทำให้เกิดเจ็บป่วยหรือถึงแก่ความตาย   เจมส์ เฟรเซอร์เขียนหนังสือเรื่อง The Golden Bough(1890) ซึ่งอธิบายว่าในแต่ละวัฒนธรรมมีกฎเกี่ยวกับความสะอาดและสกปรกอย่างไร เช่น หัวหน้าเผ่าในเกาะแปซิฟิกใต้จะมีข้อห้ามต่างๆเพื่อมิให้เกี่ยวข้องกับโลกสามัญชน  กล่าวคือมีกฎว่าหัวหน้าเผ่าเมารีจะต้องไม่สัมผัสภาชนะขณะดื่มน้ำ ถ้าสัมผัสจะต้องนำภาชนะนั้นไปทำลาย  

          อีมิล เดอร์ไคม์ (1915) อธิบายว่าสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ สร้างขึ้นจากวัฒนธรรม ซึ่งต่างจากสิ่งของธรรมดาสามัญ  ของศักดิ์สิทธิ์จะมีกฎข้อห้ามต่างๆและเชื่อมโยงถึงเรื่องความสะอาดและสกปรก  อาร์โนลด์ แวน เก็นเน็ป(1960) อธิบายว่าพิธีกรรมเพื่อสร้างความบริสุทธิ์มักจะเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านจากสถานะหนึ่งไปสู่อีกสถานะหนึ่ง เช่นพิธีแบ็บติสต์ถือเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์   แมรี  ดักลาส เขียนเรื่อง Purity and Danger(1966) เป็นการศึกษาที่มีพลังเชิงทฤษฎีซึ่งอธิบายเกี่ยวกับสภาวะสกปรก   ดักลาสอธิบายว่าหน้าที่ของสัญลักษณ์คือการแบ่งโลกออกเป็นประเภทต่างๆ ทำให้วัตถุในธรรมชาติมีความต่างกัน แต่วัตถุบางอย่างก็ไม่อาจจัดประเภทได้ หรือเป็นพวกที่คลุมเคลือ สิ่งของประเภทนี้มีความสำคัญต่อความหมายของการจัดประเภท และเป็นสิ่งที่มีอำนาจและเป็นอันตราย  วัตถุที่มีสภาวะสกปรกตลอดเวลาจะไม่มีที่อยู่ที่ชัดเจน หรือจัดประเภทไม่ได้  วัตถุที่สกปรกจะมีสภาวะอันตรายและเป็นของพิเศษ

          ความสะอาด ความสกปรก และความคลุมเคลือมีความหมายแบบธรรมดา กล่าวคือ เป็นความหมายในเชิงพิธีกรรม ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอนามัย  คำถามคือแนวคิดเรื่องความสะอาดและสกปรกนี้จะเป็นเครื่องมือที่ใช้ควบคุมโรคภัยไข้เจ็บใช่หรือไม่  แนวคิดนี้จะดูได้จากการปฏิบัติได้หรือไม่  คำถามนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 นักปราชญ์ชาวยิวชื่อไมมอไนด์ อธิบายว่าข้อห้ามทางศาสนาเกี่ยวกับลีวิติคัสเป็นข้อห้ามทางสุขภาพ  ตัวอย่างเช่น บุคลิกลักษณะของหมูส่อไปในทางสกปรก เพราะหมู่อยู่ในที่ๆไม่สะอาด เนื้อหมูจึงไม่สะอาด  ความรู้เรื่องเชื้อโรคในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทำให้เรื่องความสกปรกแพร่หลาย วงการแพทย์จึงเข้ามาส่งเสริมให้ประชาชนทำความสะอาดร่างกายเพื่อป้องกันโรค เช่น ล้างมือก่อนทำอาหาร   นักมานุษยวิทยาเช่น เอ็ดเวิร์ด บี ไทเลอร์(1958) อธิบายว่าความคิดเรื่องความสกปรกเกิดขึ้นมาจากวิธีการตรวจวัดสุขภาพ ซึ่งนำไปสู่การสร้างธรรมเนียมการล้างมือ อาบน้ำให้ทารก แยกคนป่วยออกมาต่างหาก การใช้ผ้าพันแผล และเก็บศพอย่างมิดชิด

          การศึกษาในเวลาต่อมา ยืนยันว่าความเชื่อเรื่องสิ่งสกปรกในสังคมตะวันตกมีหน้าที่อย่างเดียวกับมาตรการดูแลสุขภาพของชนเผ่า   มาร์วิน แฮร์รริส(1985)ศึกษาผลกระทบจากกฎเรื่องความสกปรกที่มีผลต่อการบริโภค  แฮร์ริสอธิบายว่าข้อห้ามต่างๆทำให้มนุษย์อยู่ห่างไกลจากอาหารที่สกปรก เช่นชาวอิสราเอลไม่กินเนื้อหมู เพราะเชื่อว่าหมูเป็นของสกปรก  อย่างไรก็ตามการศึกษาจากการปฏิบัติ ยังไม่อาจทำให้เข้าเรื่องความสกปรกได้ เพราะการศึกษาเฉพาะกรณีไม่อาจอธิบายในเชิงทฤษฎีที่นำไปศึกษาทุกสังคม  ประเด็นต่อมาคือความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างสังคมกับความเชื่อเรื่องสิ่งสกปรก  เนื่องจากความเชื่อเรื่องสิ่งสกปรกจะเกิดขึ้นกับบุคคลโดยผ่านสถานะทางสังคม หรือในช่วงชีวิตต่างๆ  สิ่งสกปรกจึงเกี่ยวข้องกับระเบียบสังคม

          ในยุคที่ทฤษฎีหน้าที่ยังได้รับความนิยม นักวิชาการทั้งหลายสนใจที่จะศึกษาความเชื่อเรื่องสิ่งสกปรก ซึ่งมีหน้าที่รักษาระเบียบสังคม การศึกษาของเรดคลิฟฟ์-บราวน์(1952) ที่หมู่เกาะอันดามัน อธิบายว่าข้อห้ามต่างๆทำให้สังคมดำรงอยู่อย่างสมดุล   ชาวเกาะอันดามันจะมีข้อห้ามเรื่องอาหาร เด็กๆจะกินอาหารได้บางอย่างเท่านั้น    เชอร์ลีย์ ลินเดนบูม(1972) ทำการวิจัยที่ปาปัวนิวกินี  อธิบายว่าแนวคิดเรื่องความสกปรกเกี่ยวข้องกับกิจกรรมในระบบนิเวศน์ ในสังคมที่มีความกดดันในการควบคุมประชากร มักจะมีแนวโน้มที่จะควบคุมผู้หญิงโดยผ่านเรื่องเพศ เพื่อมิให้มีการสืบพันธุ์มากเกินไป 

          อย่างไรก็ตาม สังคมอาจจะไม่มีความกลมเกลียวกับสิ่งแวดล้อม  นักมานุษยวิทยาในคริสต์ศตวรรษที่ 20 หันมาสนใจเรื่องความแตกต่าง การต่อสู้ดิ้นรนในทางวัฒนธรรม โดยมองว่าความคิดเรื่องสกปรกและสะอาดนำไปสู่การสร้างโครงสร้างสังคม ทำให้เกิดฐานะของคนที่ไม่เท่ากัน  การศึกษาหลายชิ้นสนใจศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง และความสัมพันธ์ที่เกิดจากแนวคิดเรื่องสิ่งสกปรกจากเพศสัมพันธ์  ในหลายวัฒนธรรมเพศของผู้หญิงจะถูกมองว่าสกปรก  เช่นผู้หญิงเดนมาร์กในคริสต์ศตวรรษที่ 19 จะต้องไปให้พระสวดให้พรก่อนที่จะคลอดบุตร เพราะการคลอดเป็นของสกปรก และผู้หญิงที่คลอดลูกจะทำให้ศาสนามีมลทิน  ในสังคมหมู่เกาะปาปัวนิวกินี มีความเชื่อว่าเลือดจากประจำเดือนสตรีเป็นพิษ  ผู้ชายจะไม่เข้าไปใกล้ประจำเดือนของสตรี การออกห่างจากเลือดประจำเดือนนี้สะท้อนให้เห็นโครงสร้างการเมืองระหว่างผู้ชายและผู้หญิง

          ในสังคมที่มีวรรณะ ความสกปรกจะเป็นตัวแบ่งชนชั้นและฐานะของบุคคล ผู้ที่มีฐานะสูงกว่าจะมีความสะอาดกว่า ถ้าคนที่มีฐานะสูงกว่าแตะตัวคนที่ฐานะต่ำกว่าจะทำให้เกิดมลทิน  ระบบชนชั้นวรรณะทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมทางสังคม และการเปลี่ยนวรรณะก็ทำได้ยากมาก


ผู้เขียน: ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ

เอกสารอ้างอิง:

David Levinson and Melvin Ember (ed.) 1996. Encyclopedia of Cultural Anthropology. Henry Holt and Company, New York. Pp.1045-1048.

Douglas, Mary. 1988. Purity and Danger: an analysis of the concepts of pollution and taboo. London: Ark Paperbacks

Malina, Bruce J. 1981 "Clean and Unclean: Understanding Rules of Purity." Pp. 122-152 in The New Testament World. Insights from Cultural Anthropology. Atlanta: John Knox

Parker, Robert 1983 Miasma. Pollution and Purification in Early Greek Religion. Oxford: Clarendon Press


หัวเรื่องอิสระ: ความสะอาดและความสกปรก